พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 687 บทเพลงที่ฝังอสูรนับล้าน
ในตอนนี้จุดด้อยของอาณาจักรจันทราก็ถูกเห็นได้อย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่าทหารและผู้เชี่ยวชาญระดับต่ำจะไม่เลว แต่พวกเขาขาดผู้เชี่ยวชาญระดับกลางหรือขอบเขตสวรรค์มากเกินไป
อันที่จริงก่อนหน้านี้อาณาจักรจันทราก็ได้รับผู้เชี่ยวชาญระดับกลางเพิ่มเติมมาเป็นจำนวนมากเหมือนกันจากอาณาจักรเลือดทระนง และอาณาจักรอี้จิ๋นที่พวกเขาเพิ่งผนวกรวมเข้ามา
แต่ถึงแม้จะมีจำนวนผู้เชี่ยวชาญระดับกลางเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม มันก็ต้องดูด้วยว่าฝั่งตรงข้ามของพวกเขาเป็นใคร?
หากเทียบกับบรรดาอาณาจักรทั้งหลายที่อยู่รายล้อมแล้ว แน่นอนว่าจำนวนที่อาณาจักรจันทรามีในตอนนี้มันเพียงพอที่จะบดขยี้อาณาจักรเหล่านั้นได้อย่างสบาย ๆ
แต่ถ้าหากเอามาเทียบกับสันเขาหมื่นอสูรแล้ว ความแตกต่างของพวกเขายังคงห่างกันอยู่หลายช่วงตัว
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เหล่าผู้คนที่ยืนอยู่ด้านข้างหลิงยู่ชานต่างแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาอย่างชัดเจน
เย่ชิงเฉิงไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อดี เนื่องจากนางอยู่ไกลเกินไปจากสำนักของนางเพื่อขอความช่วยเหลือ
หลิงยู่ชานเองก็ยังไม่มีพลังสายเลือด ดังนั้นเขาจึงทำอะไรไม่ได้
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเหลียงเฟ่ยเอ๋อ ต่อให้นางจะใช้เหรียญตราผนึกสวรรค์มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เนื่องจากมันผนึกระดับการบ่มเพาะได้เฉพาะคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับเหนือล้ำเท่านั้น
ส่วนทางด้านมี่ไลก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน
มี่ไลยังไม่ได้สำเร็จวิชาเทวะสี่ฤดูแปรเปลี่ยนด้วยซ้ำ ดังนั้นนางจะไปช่วยคนอื่นได้ยังไง?
แต่แล้วในขณะที่มี่ไลไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อดี จู่ ๆ ยันต์สั่งสวรรค์ที่นางเก็บเอาไว้ในเสื้อก็บินลอยออกมาและคลี่ออกตรงหน้าของนาง
หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์พูดกับมี่ไลทันที “ให้ข้าลงมือเอง!”
มี่ไลรีบถามกลับทันทีด้วยสีหน้าตื่นเต้น “พี่หญิงท่านมีวิธีงั้นเหรอ?”
มี่ไลรู้ดีว่าหญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์นั้นไม่ธรรมดา แต่ว่าคราวนี้ฝั่งตรงข้ามคืออสูรนับล้าน ดังนั้นนางจึงไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าหญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์จะมีวิธีจัดการกับพวกอสูรเหล่านี้จริง ๆ
หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์พยักหน้า “บอกให้พวกเขาหยุดได้แล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสู้ต่อไปอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มี่ไลรีบบอกกับหลิงยี่เทียนทันทีว่า หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์จะเป็นคนจัดการจบเรื่องทั้งหมดเอง ให้หลิงยี่เทียนเรียกคนของเขาทั้งหมดกลับมา
หลิงยี่เทียนได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น เนื่องจากตอนนี้สงครามมันเริ่มไปแล้ว และทั่วทุกมุมของสนามรบคนของเขาก็สู้รบไปทุกที่เต็มไปหมด ดังนั้นเขาจะเรียกคนของเขากลับมาได้ยังไง?
มี่ไลเองก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นเช่นกัน และถามหญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์ว่า “พี่หญิง แบบนี้พวกเราจะเอายังไงกันต่อดี?”
หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์ถอนหายใจ จากนั้นนางตอบกลับว่า “งั้นก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะยังไงเดี๋ยวพวกเขาก็คงต้องหยุดอยู่ดี เอาล่ะในอนาคตเจ้าจงมีความสุขให้มาก ๆ นับจากนี้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้าไม่เกี่ยวกับข้าอีกต่อไปแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มี่ไลที่กำลังจะรีบตอบกลับ นางก็เห็นว่าในขณะนี้หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์ก็ค่อย ๆ ลอยออกมาจากยันต์สั่งสวรรค์ช้า ๆ และเมื่อร่างของนางออกมาจนครบยันต์สั่งสวรรค์ก็สลายหายไปในทันที
หลังจากที่หญิงสาวที่เคยอยู่ในยันต์สั่งสวรรค์ปรากฏกายขึ้น นางก็มองไปที่เหลียงเฟ่ยเอ๋อและจู่ ๆ เหรียญตราผนึกสวรรค์ก็แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว รวมไปถึงหม้อเอกภพที่จู่ ๆ ก็มีอักขระปรากฏขึ้นบนมัน
หลังจากนั้นหญิงสาวที่เคยอยู่ในยันต์สั่งสวรรค์ก็ค่อย ๆ เดินไปหาบรรดาอสูร
ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังเดิน ทุกคนก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในทุกที่ที่หญิงสาวเดินผ่าน สภาพแวดล้อมของบริเวณนั้น ๆ ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อนที่มันจะถูกทำลายจากสงครามในครั้งนี้ ยกตัวอย่างเช่นต้นหญ้าที่ถูกเหยียบตายไปเป็นจำนวนมาก จู่ ๆ ก็เหมือนกับถูกย้อนเวลาให้กลับไปยืนต้นเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น ผืนดินที่เป็นหลุมเป็นบ่อก็กลับเป็นอยู่ในสภาพเดิมที่ประสานกันสนิท
เมื่อหญิงสาวเดินถึงสนามรบ นางก็เริ่มร้องเพลงออกมาและค่อย ๆ เดินเข้าไปยังใจกลางสนามรบที่กำลังมีทั้งคนและอสูรนับล้านต่อสู้กันแบบแลกชีวิต
เสียงที่นางเปล่งออกมาเพื่อร้องเพลงนั้นแผ่วเบาเป็นอย่างมาก แต่ถึงแม้ว่ามันจะแผ่วเบา แต่ทุกคนในสนามรบอันวุ่นวายกลับได้ยินมันเต็มสองรูหูทั้งหมดอย่างแปลกประหลาด
หากเป็นมนุษย์ บทเพลงที่ได้ยินนางร้องออกมานั้นจะมีท่วงทำนองที่เชื่องช้าและเศร้าสร้อยเหนือคำบรรยายจนหัวใจสั่นสะท้าน แต่ถ้าหากเป็นพวกเผ่าอสูรแล้วล่ะก็มันคือท่วงทำนองจังหวะที่รวดเร็วจนมันฟังไม่ได้ศัพท์อะไรเลย
ในขณะที่บรรดาอสูรกำลังได้ยินเพลงที่จังหวะเร็วซะจนฟังไม่ทัน หญิงสาวก็ค่อย ๆ เดินผ่านร่างพวกมันไป แต่ในจังหวะที่นางเดินผ่านร่างพวกมัน พวกมันก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพวกมันแก่ลงเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วราวกับกระพริบตาหนึ่งครั้งเท่ากับผ่านไปร้อยปี!
พวกที่เห็นผลทันตาอันดับแรกก็คือเหล่าอสูรระดับสวรรค์สามัญ พวกมันแก่ขึ้นอย่างรวดเร็วและตายลง…
ถัดมายังไม่ทันที่ซากศพของเหล่าอสูรระดับสวรรค์สามัญจะเน่าเปื่อย อสูรระดับหลุดพ้นสามัญก็ตายลง
ต่อมาเมื่ออสูรระดับสวรรค์สามัญเน่าเปื่อย อสูรระดับเหนือล้ำก็แก่ขึ้นและตายลงตามไป จากนั้นต่อมาวงจรชีวิตแก่และตายลงอย่างรวดเร็วก็เกิดขึ้นกับเหล่าอสูรทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับความแข็งแกร่งที่หญิงสาวเดินผ่านไปทั้งหมด!
บรรดาทหารของหลิงยี่เทียน เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาจู่ ๆ ก็แก่และตายลงในชั่วพริบตา พวกเขาต่างรู้ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พวกเขาต่างหันไปมองสิ่งผิดปกติรอบกายเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นทันที ซึ่งพวกเขาก็ได้เห็นว่ามีหญิงสาวที่งดงามนางหนึ่งกำลังเดินอยู่กลางสนามรบ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบริเวณไหนที่นางเดินผ่าน เหล่าอสูรในบริเวณนั้น ๆ จะแก่ตายลงอย่างรวดเร็วในทันที
แต่มันก็ใช่ว่าเหล่ามนุษย์จะไม่มีผลกระทบใด ๆ เลย ในทุกบริเวณที่หญิงสาวเดินผ่านมนุษย์ทุกคนจะรู้สึกได้ว่าร่างกายของพวกเขาแก่ขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง จากนั้นก็หยุด ซึ่งพร้อม ๆ กันกับระดับการบ่มเพาะของพวกเขาเองก็ทะลวงขึ้นไปยังระดับถัดไปเช่นกัน
สิ่งนี้มันคล้ายกับว่าพวกเขาถูกเร่งขั้นตอนการบ่มเพาะให้สั้นลงช่วงระยะเวลาหนึ่ง บางคนอาจจะร้อยปีหรือบางคนอาจจะถึงพันปีก็มี…
บรรดาอสูรที่ยังเหลือรอดอยู่ เนื่องจากหญิงสาวยังเดินมาไม่ถึงต่างก็ตื่นตระหนกและรู้แล้วว่าหากหญิงสาวคนนี้เดินผ่านพวกมันไปเมื่อไหร่พวกมันจะตายแน่นอน ดังนั้นพวกมันจึงเตรียมพร้อมที่จะโจมตีใส่หญิงสาวทันทีก่อนที่นางจะเดินมาถึงตัวพวกมัน
“นังสารเลว ตายซะ!” อสูรขอบเขตจักรพรรดิตนหนึ่งตะโกนขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้าไปหา หญิงสาวที่เคยอยู่ในยันต์สั่งสวรรค์ และออกหมัดชกออกไป
แต่ยังไม่ทันที่หมัดของมันที่ปล่อยออกไปจะได้เข้าใกล้ร่างของหญิงสาว จู่ ๆ หมัดของมันก็ค่อย ๆ เริ่มกลายเป็นเหี่ยวย่นและเน่าเปื่อย
“นะ..นี่มันพลังแห่งกาลเวลา!” อสูรขอบเขตจักรพรรดิร้องเสียงหลงทันที
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องนี้ บรรดาอสูรทุกตัวต่างสะดุ้งสุดตัวด้วยความตื่นตระหนก!