พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 688 กลายเป็นสายลมและหายไปตลอดกาล
บรรดาผู้คนต่างเข้าใจกันแล้วว่าตอนนี้พวกอสูรกำลังถูกเล่นงานโดยพลังแห่งเวลา
แต่ไม่มีใครเคยรู้ว่าพลังแห่งเวลาจะสามารถถูกควบคุมได้แบบนี้ และไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีใครบนโลกนี้ที่สามารถทำได้ และไม่เข้าใจว่าตัวตนระดับนี้มาช่วยอาณาจักรจันทราทำไม?
ในเวลานี้โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาไม่นึกเลยว่าแท้จริงแล้วไพ่ตายใบสุดท้ายของอาณาจักรจันทราคือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถควบคุมเวลาได้!
“ผู้อาวุโส! พวกเราไม่ได้ตั้งใจที่จะล่วงเกินท่าน!” โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งรีบตะโกนขึ้น “นับจากนี้พวกเราเผ่าอสูรขอสัญญาว่าจะไม่บุกอาณาจักรจันทราอีกตลอดกาล และเมื่อไหร่ที่อาณาจักรผงาดขึ้นเป็นใหญ่ พวกเราจะยอมถอยให้!”
กลุ่มอสูรระดับอาวุโสตะโกนขึ้นเช่นกัน “พวกเราเองก็ให้สัญญาว่าจะไม่บุกอาณาจักรจันทราอีกแน่นอนในอนาคต!”
เหล่าอสูรที่ยังคงมีชีวิตอยู่ต่างพากันแย่งตะโกนอ้อนวอนขอชีวิตกันยกใหญ่
แต่น่าเสียดายที่หญิงสาวไม่ได้สนใจในคำอ้อนวอนของพวกมันเลยแม้แต่น้อย นางยังคงเดินหน้าสังหารเหล่าอสูรต่อไปด้วยความเร็วเท่าเดิม
ในระหว่างที่หญิงสาวเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนก็เบ่งบานขึ้นตามหลังของนางส่งผลให้เป็นภาพที่งดงามขัดแย้งกับด้านหน้าที่มีแต่พวกอสูรที่กำลังแสดงสีหน้าหวาดกลัวจนสุดหัวใจ
ในเวลานี้เมื่อโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งและบรรดาอสูรระดับอาวุโสเห็นว่าเหล่าอสูรพวกเดียวกันตายไปหลายแสนตนแล้ว และหญิงสาวไม่มีท่าทีว่าจะหยุดการสังหารครั้งนี้เลย พวกมันจึงเริ่มทนไม่ไหวและตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัวปนเดือดดาล “ผู้อาวุโส มันจะดีที่สุดหากท่านจะหยุดเพียงแค่นี้ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจำเป็นต้องล่วงเกินท่านแล้ว!”
แม้จะได้ยินเช่นนี้ หญิงสาวก็ไม่ได้ผ่อนฝีเท้าลงเลย นางยังคงเดินต่อไปเหมือนเดิมโดยไม่แยแสเสียงอ้อนวอนหรือคำขู่ใด ๆ
ตอนนี้บรรดาอสูรระดับนภาครามเริ่มจะได้รับผลกระทบและตายลงบ้างแล้ว ส่วนอสูรระดับสวรรค์สมบูรณ์เองก็แก่ลงเรื่อย ๆ อย่างเห็นได้ชัด จะมีก็เพียงแต่อสูรระดับอาวุโสที่อยู่ในขอบเขตราชันขึ้นไปที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนมองออก
อันที่จริงมีอสูรมากมายที่พยายามจะหนีไป แต่ในทันทีที่พวกมันบินหนีไปได้ระยะทางหนึ่งจู่ ๆ ร่างของพวกมันก็กลับกลายเป็นว่าย้อนมาอยู่ที่เดิมที่พวกมันเคยยืนอยู่ราวกับว่าการกระทำของพวกมันเมื่อครู่ถูกเวลาย้อนคืน
“ในเมื่อหนีไม่ได้แบบนี้ งั้นพวกเราก็สู้กับนังบ้านี่ให้ตายกันไปข้างกันเถอะ!” เหล่าอสูรที่รู้ตัวว่าหนีไม่ได้หรือต่อให้อยู่เฉย ๆ ก็ตายอยู่ดีตะโกนขึ้นด้วยแววตาบ้าคลั่ง
เมื่อเหล่าอสูรตัดสินใจว่าพวกมันจะสู้ตาย พวกมันจึงระเบิดพลังแฝงที่มีอยู่ในร่างทั้งหมดเข้าจู่โจมหญิงสาวทันที
แต่แล้วในทันทีที่เหล่าอสูรอาวุโสขอบเขตราชันขึ้นไปเริ่มโจมตี พวกมันก็รู้สึกได้ว่าจู่ ๆ ในช่วงเวลาเพียงแค่อึดใจเดียว ร่างของพวกมันก็แก่ลงไปอีก 10,000 ปี และเป็นแบบนี้ทบทวีคูณไปเรื่อย ๆ จนพวกมันแก่ตายสลายหายกลายเป็นฝุ่นผง
แต่การกระทำเช่นนี้ใช่ว่าหญิงสาวจะไม่เสียหายใด ๆ เลย ในตอนนี้ร่างกายของนางเริ่มจะจางลงเรื่อย ๆ
หญิงสาวจ้องไปที่โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋ง ซึ่งในตอนนี้เป็นคนเดียวที่เหลือรอดอยู่จากเหล่าอสูรนับล้าน
หญิงสาวที่เงียบมาตั้งแต่ต้นไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ในที่สุดนางก็พูดขึ้น “คุนเป๋ง!”
ร่างเงาร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากร่างของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋ง มันยิ้มและพูดว่า “อ๋อ ที่แท้ก็เป็นเทพีสี่ฤดูนี่เอง สี่ฤดู เด็กคนนี้คือทายาทของข้าเอง เจ้าช่วยไว้หน้าข้าสักครั้งจะได้ไหม?”
หญิงสาวยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อท่านคุนเป๋งออกหน้าเช่นนี้ ไหนเลยข้าจะกล้าปฏิเสธ?”
แต่ถึงแม้ว่านางจะพูดตกลงแบบนั้น แต่การกระทำของนางกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ในพื้นที่ที่โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งยืนอยู่ เวลาของทั่วทั้งบริเวณนั้นกลับถูกเร่งเร็วขึ้นนับล้านเท่าในชั่วอึดใจ
ร่างเงาที่ปรากฏขึ้นจากร่างของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทั้งโกรธเกรี้ยวทั้งประหลาดใจ “ทำไมเจ้าถึงดึงดันแบบนี้?”
หญิงสาวไม่ตอบกลับอะไร นางเอาแต่โคจรพลังเร่งความเร็วเวลาทั่วบริเวณที่โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งยืนอยู่ให้เร็วขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ ซึ่งความเร็วระดับนี้ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิก็ยังต้องตายในทันที หากเผลอก้าวเข้าไปในบริเวณที่โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งยืนอยู่
ในระหว่างที่เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ร่างของหญิงสาวก็จางลงเรื่อย ๆ ซึ่งแน่นอนว่าร่างเงาที่ปรากฏออกมาจากร่างของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งก็จางลงเช่นกัน
ในตอนนี้ร่างเงารู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก เนื่องจากเมื่อดูจากกระทำแล้ว เทพีสี่ฤดูต้องการจะสังหารทายาทของเขาแน่นอน ซึ่งถ้าหากทายาทของเขาตายลง แผนการของเขาที่เคยวางไว้กับโลกเบื้องล่างทั้งหมดมันจะถูกทำลายลงอย่างยับเยิน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกและต้องสู้กลับอย่างสุดความสามารถเช่นกัน
เมื่อเวลายิ่งผ่านไป ร่างของเทพีสี่ฤดูและร่างเงาที่ปรากฏขึ้นจากโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งก็ค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ
ท้ายที่สุดจิตสำนึกของบรรพบุรุษคุนเป๋งก็ทนไม่ไหวและพูดขึ้นว่า “ข้าสามารถบอกได้ว่าเจตจำนงนี้ของเจ้าเป็นเจตจำนงสุดท้ายที่เจ้าเหลืออยู่แค่เท่านั้น ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงได้ยอมทุ่มจนสุดตัวไม่สนใจว่าเจ้าจะสูญสลายหายไป การกระทำของเจ้าเช่นนี้มันมีความหมายอะไรแอบแฝงรึเปล่า?”
เทพีสี่ฤดูไม่ตอบอะไรกลับทั้งนั้น นางใช้พลังของนางที่เหลือเพียงเฮือกสุดท้ายลบเศษเสี้ยวจิตสำนึกของคุนเป๋งออกไปได้อย่างหมดจด
แน่นอนว่าในตอนนี่ร่างของนางก็ใกล้จะจางหายไปแล้วเช่นกัน
โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งพูดขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด “ท่านผู้อาวุโส โปรเมตตาข้าด้วยเถอะ!”
ก่อนหน้านี้ที่โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งไม่ค่อยจะกลัวอะไรสักเท่าไหร่ก็เพราะเขารู้ดีว่าในร่างของเขามีเศษเสี้ยวจิตสำนึกของบรรพบุรุษคุนเป๋งคอยคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา แต่แล้วในเมื่อตอนนี้เศษเสี้ยวจิตสำนึกของบรรพบุรุษคุนเป๋งที่เคยคุ้มครองเขาถูกลบหายออกไป มันจึงไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกกลัวจนสุดชีวิตเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับบรรพบุรุษของเขา
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งจึงทำได้แค่เพียงอย่างเดียวก็คือเขาต้องยอมก้มหัวให้กับเทพีสี่ฤดู
เทพีสี่ฤดูมองไปที่โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งที่กำลังสั่นกลัว จากนั้นนางเผยรอยยิ้มอันงดงามและค่อย ๆ สลายหายไปเป็นสายลมอันแผ่วเบาโดยที่ไม่ได้โจมตีโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งต่อ
สายลมที่แผ่วเบานั้นล่องลอยผ่านภูเขาและแม่น้ำมากมายจนสุดท้ายก็พัดสัมผัสไปที่แก้มของหลิงตู้ฉิงอย่างอ่อนโยน
เมื่อโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งเห็นว่าเทพีสี่ฤดูหายไปแล้ว เขาก็ไม่กล้าที่จะรั้งอยู่ที่อาณาเขตนภาอีกต่อไป เขารีบใช้ความสามารถพิเศษของเผ่าคุนเป๋ง ซึ่งก็คือความเร็วอันสุดยอดที่ไม่มีใครสามารถตามได้ทันหนีไปทันที
ในเวลาเดียวกัน บรรดาผู้คนของอาณาจักรจันทราต่างก็พากันมองไปที่สนามรบด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
กองทัพอสูรนับล้านตายไปทั้งหมดง่าย ๆ แบบนี้เลยงั้นเหรอ?
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง มี่ไลกลับพึมพำขึ้นว่า “สามี ท่านนี่ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ แต่ไม่ว่าท่านจะน่ารังเกียจขนาดไหน ข้าก็ยังคงรักท่านตราบชีวิตของข้าจะหาไม่!”
“ท่านน้ามี่ ท่านพูดว่าอะไรนะ?” หลิงยี่เทียนถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
เมื่อได้ยินคำถามของหลิงยี่เทียน มี่ไลจึงได้สติกลับคืนมา จากนั้นนางพูดว่า “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเก็บตัวบ่มเพาะและไม่อนุญาตให้ใครเข้ามารบกวนทั้งนั้น!”
เมื่อพูดจบ มี่ไลก็รีบบินกลับไปที่คฤหาสน์สราญรมย์เพื่อเก็บตัวปิดด่านบ่มเพาะทันที
ที่นางเป็นเช่นนี้เนื่องจากว่าเมื่อครู่นางได้เข้าสู่สภาวะหยั่งรู้วิชาเทวะสี่ฤดูแปรเปลี่ยน ดังนั้นนางจึงต้องรีบกลับไปทบทวนความเข้าใจเดี๋ยวนี้