พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 690 สำนักวายุคลั่ง
สายลมอันอ่อนโยนทำให้หลิงตู้ฉิงได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย
หลิงตู้ฉิงรู้แล้วว่าในขณะนี้เทพีสี่ฤดูได้หายไปแล้ว ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกเศร้าใจและดีใจในเวลาเดียวกัน เนื่องจากถึงแม้นางจะหายไป แต่นางยังคงทิ้งส่วนหนึ่งของนางไว้กับมี่ไลในอนาคต
อีกเรื่องหนึ่งที่เขาได้รู้และทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมากก็คือ มันกลับมีเศษเสี้ยวจิตสำนึกของอสูรระดับบรรพบุรุษที่อยู่บนโลกเบื้องบนดันมาปรากฏที่โลกเบื้องล่างแห่งนี้เพื่อทำหน้าที่ปกป้องทายาทของตนเอง?
ที่สำคัญเศษเสี้ยวจิตสำนึกของอสูรระดับบรรพบุรุษที่ปรากฏขึ้นกลับเป็นของเผ่าพันธุ์คุนเป๋ง ซึ่งในตอนแรกที่เขาได้ยินว่าโลกเบื้องล่างนี้มีโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งอาศัยอยู่ เขาก็ประหลาดใจมากพออยู่แล้ว เนื่องจากสายเลือดของอสูรระดับสูงขนาดนี้มันหายากมาก ๆ ที่จะมาอาศัยอยู่ในโลกเบี้องล่าง
ให้ยกตัวอย่างมันเหมือนกับในเวลานี้ที่ภูเขาฟีนิกซ์มีหลิงไช่หยุนเพียงคนเดียวที่เป็นฟีนิกซ์ที่แท้จริง หรือไม่ก็ตำหนักมังกรที่ไม่รู้ว่าในตอนนี้จะมีผู้ที่เป็นมังกรที่แท้จริงอาศัยอยู่บ้างสักตัวหรือเปล่า
แต่ในตอนนี้มันกลับมีทั้งทายาทที่แท้จริงและเศษเสี้ยวจิตสำนึกของบรรพบุรุษคุนเป๋งที่อยู่บนโลกเบื้องบนปรากฏขึ้นพร้อม ๆ กัน ซึ่งแบบนี้มันเรียกได้ว่าแปลกซะยิ่งกว่าแปลก
ต้องรู้ว่าถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวจิตสำนึก แต่สำหรับโลกเบื้องล่างแล้วเพียงเท่านี้ก็นับได้ว่าเป็นอำนาจที่ไร้เทียมทาน
หากไม่ใช่เพราะเศษเสี้ยวจิตสำนึกของบรรพบุรุษคุนเป๋งดันโชคร้ายมาเจอกับเทพีสี่ฤดู เศษเสี้ยวจิตสำนึกของบรรพบุรุษคุนเป๋งก็คงไม่มีวันถูกลบไปจากโลกเบื้องล่างได้แน่นอน
“นายท่าน ใครกันที่ท่านต้องการสังหารในครั้งนี้?” โม่หยูถังถามขึ้นด้วยสีหน้าประหม่า
เมื่อเขาได้ยินว่าหลิงตู้ฉิงกำลังจะเดินทางไปฆ่าคน โม่หยูถังก็อดไม่ได้ที่นึกถึงภาพของแดนกระดูกขาวและกลัวว่ามันจะมีสถานที่เช่นนั้นบังเกิดขึ้นอีก
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เป้าหมายของข้ากำลังซมซานอยากกลับไปที่สันเขาหมื่นอสูร และอาณาเขตวายุคือเส้นทางผ่านเดียวของมันหากมันอยากจะกลับไป ดังนั้นข้าจะไปดักรอมันที่นั่นสักหน่อยพร้อมกับจะไปดูด้วยว่าสำนักวายุคลั่งที่ในอดีตเคยอยู่ภายใต้สันเขาหมื่นอสูรจะกลับมาแล้วรึยัง และยังคงเป็นเหมือนเดิมรึเปล่าหรือว่ากลับใจได้แล้ว”
โม่หยูถังตอบกลับ “นายท่าน ปัจจุบันสำนักวายุคลั่งได้ก่อตั้งขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้ว และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่โด่งดังเท่ากับในอดีต แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็นับว่าไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นในเมื่อพวกมันก่อตั้งขึ้นมาใหม่แล้วก็ต้องมาดูกันว่าพวกมันกลับใจได้แล้วรึยัง หากพวกมันยังเป็นเหมือนในอดีต ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมดอีกรอบ แต่ถ้าพวกมันกลับใจแล้วข้าจะปล่อยพวกมันไป!”
ในอดีตสำนักวายุคลั่งคือ 1 ใน 13 มหาสำนักที่บุกภูเขาฟีนิกซ์ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์การรบครั้งนั้นจบลงและแดนกระดูกขาวบังเกิดขึ้น หลิงตู้ฉิงก็ตามมาคิดบัญชีถึงสำนัก โดยการทำลายมหาวิถีเต๋าของสำนักจนสูญสลาย สุสานของเหล่าบรรพบุรุษถูกขุดจนไม่เหลือซาก
ด้วยความเสียหายถึงขนาดนั้น มันควรจะเป็นเรื่องยากมาก ๆ ที่สำนักวายุคลั่งจะสามารถกลับมาแข็งแกร่งได้อีกรอบ ดังนั้นถ้าทุกอย่างเป็นไปถามที่โม่หยูถังพูด มันก็ดูเหมือนว่าสันเขาหมื่นอสูรน่าจะมีส่วนที่ช่วยฟื้นฟูสำนักวายุคลั่งอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้ที่สำนักวายุคลั่งจะกลับมาตั้งตัวใหม่ได้เร็วขนาดนี้
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทุกคนก็ได้เดินทางมาถึงอาณาเขตวายุ
ในทันทีที่พวกเขาทุกคนได้มาถึงอาณาเขตวายุ พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังกฎแห่งธาตุลมที่หนาแน่นจากมหาวิถีที่สถิตอยู่ในอาณาเขตวายุ
ในกลุ่มของหลิงตู้ฉิง ขณะนี้ไม่มีใครจำเป็นต้องศึกษากฎแห่งธาตุลมเลยสักคน ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงมองไปที่จ้าวเหมิงลู่เพียงคนเดียว และพูดว่า “จงศึกษาพลังกฎแห่งธาตุลมเหล่านี้ให้ดี ๆ และนำความเข้าใจของเจ้าไปประสานรวมกับกระบี่ของเจ้า มันจะช่วยให้เจ้าสำเร็จเพลงกระบี่ที่ 3 ของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ กระบี่เจ็ดดาวมรณะได้ง่ายขึ้น”
จ้าวเหมิงลู่หัวเราะ “ข้าจะตั้งใจทำความเข้าใจมันให้ดีที่สุด!”
ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของจ้าวเหมิงลู่ยังอยู่แค่ขอบเขตนภาเท่านั้น เนื่องจากนางไม่ได้มุ่งเน้นไปในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะ นางเน้นไปที่การทำความเข้าใจกฏแห่งสวรรค์และโลกมากกว่าเพื่อใช้พวกมันขัดเกลาเต๋ากระบี่ของนาง ดังนั้นต่อให้ระดับการเพาะของนางจะอยู่แค่ขอบเขตนภา แต่ถ้าหากนางเอาจริงขึ้นมานางก็ยังสามารถต่อกรได้กับผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญทั่วไปได้อย่างสบาย ๆ
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ถ้าหากว่าเจ้ามีตรงไหนที่ติดขัดหรือไม่เข้าใจ เจ้าสามารถถามข้าได้ทันที ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้เจ้าได้ฟังทั้งหมด!”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็พาทุกคนออกเดินทางต่อจนท้ายที่สุดเขาก็หยุดลงตรงจุดที่เกือบจะถึงสำนึกวายุคลั่ง ซึ่งเขาสั่งให้ทุกคนหยุดลง
ที่ตั้งของสำนึกวายุคลั่งนั้นอยู่ที่ตรงกึ่งกลางของอาณาเขตวายุพอดิบพอดี ซึ่งในตอนนี้รอบ ๆ สำนึกวายุคลั่งนั้นมีพายุหมุนอันรุนแรงจำนวนมากเคลื่อนที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ บริเวณด้านนอกสำนักราวกับว่าพวกมันเป็นกำแพงธรรมชาติอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งภาพที่เห็นเช่นนี้มันทำให้บรรดากลุ่มคนของหลิงตู้ฉิงไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี
หลิงตู้ฉิงมองไปที่บรรดาพายุหมุนเหล่านั้น จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “นับว่าสำนึกวายุคลั่งฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วจริง ๆ ที่สามารถควบแน่นมหาวิถีเต๋าได้ไวขนาดนี้ เอาล่ะพวกเจ้าทั้งหมดรอข้าตรงนี้ ข้าจะเข้าไปด้านในเพื่อดูสถานการณ์สักหน่อย”
“สามี ถ้าท่านเข้าไปคนเดียวแบบนี้มันอาจเกิดอันตรายขึ้นได้ ให้หมิงยู่ไปกับท่านอีกคนเถอะ” จ้าวเหมิงลู่รีบพูดขึ้น
หลิวเฟ่ยเฟ่ยพูดขึ้นเสริมเช่นกัน “ให้หมิงยู่ตามท่านเข้าไปเถอะ เพื่อความปลอดภัย”
หลิงตู้ฉิงไม่ปฏิเสธความหวังดีของทุกคน เขายิ้มและพูดว่า “เอาแบบนั้นก็ได้ งั้นก็ให้หมิงยู่ตามข้าเข้าไปด้านในก็แล้วกัน”
แน่นอนว่าการที่เขามีหมิงยู่อยู่ข้างกายมันย่อมดีกว่าแน่นอนหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ซึ่งเรื่องที่เขากังวลนั้นไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวเขา เพราะต่อให้เขาไม่มีหมิงยู่ เขาก็มีวิธีการนับร้อยวิธีที่จะสามารถพาตัวเองออกมาได้อย่างปลอดภัย และที่สำคัญแทบจะทุกคนที่อยู่ในสำนึกวายุคลั่งปัจจุบันนี้ล้วนไม่รู้จักเขา ดังนั้นเขาจะมีอันตรายอะไรได้ยังไง?
ฉะนั้นการที่เขามีหมิงยู่ไว้อยู่ข้างกายนั้นไม่ใช่เพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง แต่มันเป็นเพราะเขาจะได้สะดวกยิ่งขึ้นเมื่อถึงเวลาที่เขาต้องฆ่าคน!