พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 695 สมควรตายทั้งหมด
ในเวลานี้ บรรดาผู้คนที่ถูกบังคับจับตัวมาต่างถูกต้อนให้เดินเข้าไปในช่องเขาแคบ ๆ
พวกเขาทุกคนต่างถูกบอกว่า หากพวกเขาสามารถเดินผ่านช่องเขานี้ไปได้พวกเขาทุกคนจะถูกรับเข้าเป็นศิษย์ของสำนักอย่างเต็มตัว
บรรดาผู้คนที่ได้ยินเช่นนี้ต่างก็ต่างก็แสดงสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
บางคนกลัวจนแทบจะหยุดหายใจ เนื่องจากพวกเขารู้เรื่องข่าวลือว่าการทดสอบนี้แท้จริงแล้วมันคือการที่พวกเขาเดินเข้าไปให้อสูรระดับสูงจับกิน
แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีบางคนที่ไม่ได้รู้เรื่องข่าวลือใด ๆ ซึ่งคนพวกนี้แน่นอนว่าแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาในทันที และคิดว่านี่คือโอกาสก้าวหน้าของพวกเขา
บรรดาผู้อาวุโสของสำนักวายุคลั่งเมื่อเห็นว่ามีคนเกินกว่าครึ่งที่ไม่ยอมเดินเข้าไปในช่องเขา พวกเขาจึงพากันใช้กฎแห่งลมเป่าบรรดาผู้คนที่ดื้อดึงให้ลอยกระเด็นเข้าไปในช่องเขาทันทีโดยไม่สนใจว่าคนเหล่านั้นจะอยู่หรือว่าจะตาย
อันที่จริงหลายคนที่อยู่ในสำนักวายุคลั่งนั้นก็ไม่ได้โง่เช่นกัน พวกเขาหลายคนรู้ดีว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อผู้คนเหล่านี้เดินเข้าไปในข้างในช่องเขา
แต่ในเมื่อมันไม่ใช่พวกเขาที่กำลังจะโดนกิน ดังนั้นพวกเขาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และทำตามที่เบื้องบนสั่งมาเท่านั้น
เมื่อเหล่าผู้รับการทดสอบถูกผลักดันเข้าไปด้านในช่องเขาจนหมด หมอกสีดำทมิฬก็ปกคลุมทางเข้าช่องเขาไว้จนมิดไม่ให้เหล่าผู้คนที่อยู่ด้านนอกเห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ด้านใน
บรรดาผู้คนที่รู้เรื่องข่าวลือเมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเขาต่างก็แน่ใจได้เต็มสิบส่วนแล้วว่าหายนะกำลังจะมาเยือนพวกเขาแล้วแน่นอน
ในกลุ่มของผู้คน บางคนที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวทำการปาดคอปลิดชีวิตตัวเองทันที ถึงแม้ว่าพวกเขาจะตาย การฆ่าตัวตายเองมันก็ยังดีกว่าจะต้องถูกอสูรจับกินทั้งเป็น ส่วนบรรดาผู้คนที่มีสันดานโหดเหี้ยมโฉดชั่ว พวกเขาก็เริ่มบ้าคลั่งไล่ฆ่าผู้คนที่อยู่ใกล้ตัว
ในเมื่อพวกเขาจะตายแล้ว ดังนั้นพวกเขาก็ขอสนุกกับการฆ่าคนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะได้ฆ่าคนได้มากสักเท่าไหร่ จู่ ๆ ร่างของเหล่าผู้คนที่กำลังไล่ฆ่าผู้อื่นก็ถูกบังคับลอยหายเข้าไปในหมอกเข้าสู่ปากของหลงหยา
“ไอ้พวกสารเลว พวกแกจะฆ่ากันเองทำบ้าอะไร! ขืนพวกแกตายกันหมดข้าไม่ต้องกินแต่ร่างไร้วิญญาณงั้นเหรอ!?” หลงหยาสบถขึ้นด้วยความหงุดหงิด
ในตอนนี้หลิงตู้ฉิงก็ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วเช่นกัน แต่เขากลับไม่ลงมือทำอะไรทั้งนั้น
จุดประสงค์ที่เขามาสำนักวายุคลั่งก็เพราะเขาต้องการมารอโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋ง
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าพวกคุนเป๋งมีแผนการอะไรอยู่ในใจ แต่ในเมื่อทายาทของพวกมันถูกส่งลงมาพร้อมกับเศษเสี้ยวจิตสำนึกของคุนเป๋งระดับบรรพบุรุษ ดังนั้นแผนการของพวกมันคงจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ดังนั้นในเวลานี้การรอคอยการมาถึงของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดมากกว่าชีวิตของผู้คนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่
หลิงตู้ฉิงมองไปยังหลงหยาที่กำลังเล่นเกมแมวไล่จับหนูกับบรรดาผู้คนทั้งหลายด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นเมื่อเขานึกอะไรได้บางอย่าง หลิงตู้ฉิงจึงสั่งให้มหาวิถีเต๋าวายุฉายภาพการกระทำทั้งหมดของหลงหยาขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือสำนักวายุคลั่งให้ทุกคนในสำนักวายุคลั่งได้เห็นทั้งหมดทุกคน
หลิงตู้ฉิงต้องการที่จะเห็นปฏิกิริยาของเหล่าผู้คนของสำนักวายุคลั่งว่าจะออกมาเป็นแบบไหนเมื่อได้รู้ความจริงนี้ เพื่อที่เขาจะได้ตัดสินใจได้ว่าในสำนักนี้มันมีคนไหนที่สมควรตายและคนไหนที่สมควรถูกไว้ชีวิต
บรรดาผู้คนสำนักวายุคลั่งเมื่อเห็นภาพที่หลงหยากินมนุษย์อย่างโหดเหี้ยม พวกเขาต่างก็แสดงอาการสั่นกลัวและก้มหน้าไม่กล้ามอง แต่ก็มีบางส่วนที่มองภาพที่ฉายด้วยสีหน้าประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องฉายภาพเช่นนี้ให้ทุกคนเห็น
ส่วนบรรดาตัวตนระดับสูงของสำนักต่างก็มองหน้ากันด้วยความงุนงง เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าเป็นใครที่ดันฉายภาพแบบนี้ให้ทุกคนในสำนักเห็น
ทางด้านของหลีต้าฉิง ในเวลานี้เขาได้แต่ทอดถอนใจ เขารู้สึกว่านับจากนี้เขาคงจำเป็นต้องเอาใจเหล่าอสูรให้มากกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกแทนที่และถูกจับกินแน่นอน เนื่องจากไม่ว่าใครก็ตามที่ฉายภาพนี้ขึ้นให้ทุกคนเห็นจะต้องได้ใจของหลงหยาไปเต็ม ๆ
ก่อนหน้านี้หลีต้าฉิงไม่เคยยอมรับกับใครอย่างเป็นทางการเลยว่าเขาจงรักภักดีต่อเหล่าอสูร
แต่พอมาตอนนี้มันกลับมีใครก็ไม่รู้ที่น่าจะเป็นตัวตนระดับสูงของสำนักเขาเองดันกล้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจงรักภักดีกับเผ่าอสูรอย่างเปิดเผยมากกว่าเขาโดยการฉายภาพของหลงหยาให้ผู้คนในสำนักทั้งหมดได้เห็น ซึ่งสิ่งนี้หลีต้าฉิงไม่เคยกล้าที่จะทำมาก่อน
สีหน้าและท่าทางต่าง ๆ ของผู้คนทุกคนในสำนักวายุคลั่งล้วนถูกเห็นโดยหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงมองไปยังเหล่าผู้คนของสำนักวายุคลั่งด้วยสายตาเย็นชา และตัดสินใจได้แล้วว่าทุกคนในสำนักแห่งนี้ล้วนสมควรตายหมดทุกคน!
ที่เขาตัดสินใจเช่นนี้ก็เพราะเขาไม่เห็นว่าจะมีสักคนในสำนักวายุคลั่งที่แสดงตัวออกมาคัดค้านการกระทำเช่นนี้ของสำนัก
ถัดมาหลิงตู้ฉิงจึงสั่งให้มหาวิถีเต๋าวายุทำการหยุดการใช้งานของประตูเคลื่อนย้ายทั้งหมดที่มีในสำนัก เพื่อไม่ให้ใครใช้มันหนีรอดออกไปได้ จากนั้นเขาก็รอการมาถึงของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งด้วยสีหน้าเย็นชา
ส่วนทางด้านของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋ง ในเวลานี้เขาเองก็ใกล้ที่จะถึงอาณาเขตวายุเต็มทีแล้ว
ระยะทางจากอาณาเขตนภาถึงอาณาเขตวายุนั้นหากเป็นคนธรรมดาคงต้องใช้เวลาเดินทางนานหลายสิบปีกว่าจะถึง แต่ด้วยความเร็วอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัวของคุนเป๋ง โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งจึงใช้เวลาเดินทางมาถึงอาณาเขตวายุเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
ตลอดทางที่ผ่านมาโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งไม่หยุดแวะที่ไหนเลยสักที่ เนื่องจากเขากังวลว่าตนเองจะถูกไล่ล่าโดยผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของอาณาจักรจันทรา ดังนั้นเขาจึงต้องรีบมุ่งตรงมาหาสถานที่พักพิงที่ปลอดภัยที่ใกล้ที่สุด ซึ่งสถานที่แห่งนั้นก็คือสำนักวายุคลั่ง
เนื่องจากสำนักวายุคลั่งคือสำนักที่เผ่าอสูรของเขาลงทุนฟื้นฟูก่อตั้งสำนักให้ใหม่ ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าสำนักวายุคลั่งจะไม่ทรยศเขาแน่นอน และอีกเหตุผลที่สำคัญก็คือประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวายุคลั่งนั้นเชื่อมต่อไปที่สันเขาหมื่นอสูรได้โดยตรง ดังนั้นหลังจากที่เขาไปถึงสำนักวายุคลั่งเมื่อไหร่ เขาตั้งใจว่าจะใช้ประตูเคลื่อนย้ายตรงกลับไปที่สันเขาหมื่นอสูรในทันทีเพื่อแจ้งข่าวของอาณาจักรจันทราให้กับคนของเขาได้รู้ให้เร็วที่สุด
ใครจะไปคาดคิดว่าอาณาจักรที่เพิ่งจะโด่งดังขึ้นมากลับมีผู้หนุนหลังเป็นสำนักเต๋าสวรรค์ สันเขาทรราชและมีตัวตนในยุคโบราญคอยปกป้อง
ขุมกำลังระดับนี้เป็นสิ่งที่เผ่าอสูรของเขาจะต้องคอยรระวังเอาไว้เป็นอันดับแรก
ในระหว่างที่ครุ่นคิด ในที่สุดโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งก็เดินทางมาถึงอาณาเขตวายุ และในทันทีที่เขามาถึง เขาก็พุ่งตรงเข้าไปในสำนักวายุคลั่งทันที
แค่เพียงก้าวแรกที่เขาเหยียบเข้าไปด้านในสำนักวายุคลั่ง โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งก็รู้สึกตกตะลึงกับภาพของหลงหยาที่ฉายอยู่บนท้องฟ้า
โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งรู้สึกเดือดดาลในใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาคิดว่าหลงหยาคือคนต้นคิดการฉายภาพการกินมนุษย์แบบนี้
ต้องโง่เง่าและโอหังแค่ไหนกันถึงกล้าทำอะไรแบบนี้?
ถึงแม้ว่าเผ่าอสูรของพวกเขาจะแข็งแกร่งก็จริง แต่ถ้าหากสำนักต่าง ๆ ที่มีมนุษย์เป็นผู้นำได้รู้เรื่องเช่นนี้เข้า บรรดาสำนักต่าง ๆ ของมนุษย์จะต้องร่วมมือกันทำสงครามใหญ่กับพวกเขาอย่างแน่นอน ซึ่งต่อให้พวกเขาจะต้านทานได้ แต่พวกเขาก็ไม่พ้นที่จะต้องเสียหายอย่างหนักและยิ่งในเวลานี้ที่มีขุมกำลังอันแปลกประหลาดอย่างอาณาจักรจันทราปรากฏขึ้นด้วยแล้ว มันยิ่งเป็นเวลาที่แย่มากที่พวกเขาจะมาทำตัวเหิมเกริมแบบนี้
แต่ถึงแม้ว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งจะรู้สึกเดือดดาลในใจ เขาก็ยังไม่อาจพูดอะไรได้มากนักเพราะในตอนนี้เศษเสี้ยวจิตสำนึกของบรรพบุรุษของเขาได้หายไปแล้ว ซึ่งมันเท่ากับว่าเขาในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่สามารถรับรองความปลอดภัยของเขาได้เลย
ถ้าหากเขาขัดแย้งกับหลงหยาในตอนนี้ และหลงหยาโมโหขึ้นมา เขาเองก็คงจะตกอยู่ในที่นั่งลำบากแน่นอน
แต่ในระหว่างที่เขากำลังคิดว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี จู่ ๆ ค่ายกลป้องกันสำนักวายุคลั่งก็ถูกเปิดใช้งานจนสุดพลังอำนาจจนเป็นภาพของกำแพงลมทับซ้อนกันเป็นสิบ ๆ ชั้นล้อมรอบสำนักวายุคลั่งจนมิด
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เหล่าผู้คนของสำนักวายุคลั่งต่างรู้สึกตกตะลึง และสงสัยว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป?