พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 696 ข่มด้วยชนชั้น
บรรดาผู้คนของสำนักวายุคลั่งต่างรู้สึกโง่งมไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ค่ายกลป้องกันของสำนักพวกเขาถึงได้เปิดใช้งานขึ้นแบบนี้
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้วว่าเหตุผลเดียวที่ค่ายกลป้องกันของสำนักจะเปิดใช้งานนั้นก็ต่อเมื่อพวกเขาเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง
แต่ว่าตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งที่ไหนกัน?
ในเวลาเดียวกับที่ค่ายกลป้องกันสำนักวายุคลั่งถูกเปิดใช้งาน หลงหยาก็สังเกตเห็นว่าบรรดาผู้คนที่ส่งมาให้เขากินนั้นได้หายไปทั้งหมดแล้ว
หลงหยาขมวดคิ้วแน่นทันทีพลางคิดในใจ หรือว่าสำนักวายุคลั่งวางแผนจะทำอะไรกับเขางั้นเหรอ?
ในทันทีที่คิดได้เช่นนี้ หลงหยาก็คืนร่างเดิมของเขาทันที ส่งผลให้ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นสูงกว่า 300 เมตร
บรรดาผู้คนของสำนักวายุคลั่ง เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ หลงหยาขยายร่างใหญ่ขึ้นและจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา พวกเขาจึงต่างพากันสั่นกลัวและคุกเข่าลงไปหมอบกราบกับพื้นพร้อมกับพูดว่า “ท่านอสูร ได้โปรดอย่ากินพวกเราเลย พวกเรามีเนื้อไม่มากหรอกต่อให้ท่านกินพวกเราไปท่านก็ไม่อิ่มแน่นอน!”
หลงหยาตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “หลีต้าฉิง นี่เจ้ากำลังจะทำอะไรกัน?”
หลีต้าฉิง ในเวลานี้ก็รู้สึกตกตะลึงเหมือนกัน เขาเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเปิดใช้งานค่ายกลป้องกันสำนัก แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันออกไปสืบหาว่าใครเป็นต้นตอเปิดใช้งานค่ายกลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเขา หลงหยากลับปรากฏกายขึ้นและถามเขาขึ้นมาก่อน ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องรีบตอบกลับไปในทันที “ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้เป็นคนเปิดใช้งานค่ายกลป้องกันของสำนัก! เป็นใครกัน? ใครกันที่เปิดใช้ค่ายกลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า? จงรีบไสหัวออกมาขอขมาผู้อาวุโสหลงหยาเดี๋ยวนี้!”
ในตอนนี้บรรดาผู้คนของสำนักวายุคลั่งที่ปิดด่านเก็บตัวอยู่ต่างออกมาดูเหตุการณ์กันหมดทุกคน พวกเขาไม่เข้าใจว่าวันนี้เจ้าสำนักของพวกเขาเป็นบ้าอะไรขึ้นมา
“ผู้อาวุโส ทุกคนที่สามารถเปิดใช้งานค่ายกลป้องกันได้ ตอนนี้ออกมารวมตัวกันอยู่ที่นี่หมดแล้ว” หลีต้าฉิงรีบพูดขึ้น “ตอนนี้ท่านสามารถสอบสวนพวกเขาได้เลยว่าใครเป็นคนที่เปิดใช้งานค่ายกลป้องกันรบกวนช่วงเวลาในการดื่มด่ำอาหารของท่าน และท่านสามารถลงโทษมันผู้นั้นได้เลย!”
หลงหยามองไปที่หลีต้าฉิงด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นเขาหันไปถามกับบรรดาผู้คนอื่น ๆ ว่า “เป็นใครกันที่เปิดใช้งานค่ายกลป้องกัน? จงเดินออกมายอมรับแต่โดยดีไม่เช่นนั้นหากให้ข้าเป็นคนหาตัวเอง ข้าจะแยกร่างเจ้าทั้งเป็น!”
“พอได้แล้ว!” โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งทนดูไม่ไหวอีกต่อไปจนต้องตะโกนขึ้นด้วยความโมโห
เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าคนในเผ่าอสูรของเขาจะกล้าทำตัวโอหังยิ่งกว่าตัวเขาที่ผ่านมาซะอีก
ไม่เพียงแต่หลงหยาจะกล้าถ่ายทอดสดฉากการกินมนุษย์ต่อหน้าคนจำนวนมาก แต่เขากลับกล้าทำถึงขนาดข่มขู่บรรดาผู้คนของสำนักวายุคลั่งจนอาจจะทำให้คนเหล่านี้รู้สึกไม่ปลอดภัย
หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ทุกอย่างมันอาจจะบานปลายจนทำให้ใครหลายคนในสำนักวายุคลั่งเอาความลับทั้งหมดออกไปแจ้งกับบรรดาสำนักของมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งเมื่อเป็นแบบนั้นผู้ที่เดือดร้อนที่สุดก็ไม่พ้นจะต้องเป็นสันเขาหมื่นอสูรอย่างแน่นอน
ไอ้หน้าโง่นี่มันคิดว่าบนโลกนี้เผ่าอสูรแข็งแกร่งซะจนไม่ต้องสนใจใครหน้าไหนแล้วเหรอไง ถึงได้กล้าทำอะไรที่บ้าขนาดนี้ขึ้นมา?
ทางด้านของหลงหยา เมื่อมันได้เห็นว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งปรากฏกายขึ้นมันก็ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นายน้อย ทำไมท่านถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้?”
ถึงแม้ว่าหลงหยาจะเป็นอสูรขอบเขตมหาจักรพรรดิ แต่ในท้ายที่สุดมันก็ยังต้องให้ความเคารพต่อทายาทของเผ่าอสูรที่มีชนชั้นเหนือกว่ามัน นี่เป็นกฎที่ไม่ได้ถูกเขียนขึ้น แต่มันก็เข้าใจดีว่านี่เป็นธรรมเนียมที่มันไม่อาจต่อต้านได้
โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “เปิดประตูเคลื่อนย้ายให้กับข้า ข้าต้องการที่จะกลับไปที่สันเขาหมื่นอสูรเดี๋ยวนี้!”
หลงหยาจ้องไปที่หลีต้าฉิงทันที และออกคำสั่ง “นี่เจ้าไม่ได้ยินคำสั่งที่นายน้อยของข้าเอ่ยขึ้นเหรอไง? รีบเปิดประตูเคลื่อนย้ายของสำนักเจ้าเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นล่ะก็…”
“หุบปาก!” โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งรีบตะโกนแทรก
หากเขายังคงปล่อยให้หลงหยาข่มขู่คนของสำนักวายุคลั่งต่อไป มันเป็นไปได้ว่าสำนักวายุคลั่งอาจจะรู้สึกไม่ปลอดภัยจนหลังจากนี้พวกเขาอาจจะตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากบรรดาสำนักของพวกมนุษย์ ซึ่งนั่นจะกลายเป็นหายนะต่อสันเขาหมื่นอสูรในไม่ช้าก็เร็ว
ดังนั้นในตอนนี้โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งจึงต้องวัดดวงว่า หลงหยาจะไม่คิดต่อต้านเขาขึ้นมา เนื่องจากเขาจำเป็นต้องปรามหลงหยาเพื่อปลอบใจพวกผู้คนของสำนักวายุคลั่งไม่ให้หวาดกลัวพวกเขาเผ่าอสูรมากจนเกินไป
หลังจากปรามหลงหย เสร็จ โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งจึงหันไปหาหลีต้าฉิง และพูดว่า “เจ้าอย่าไปใส่ใจคำพูดของหลงหยาให้มากเลย บางทีเขาก็ชอบแสดงอารมณ์แย่ ๆ กับผู้คนรอบกายแต่อันที่จริงแล้วเขาไม่มีอะไรหรอก เอาล่ะตอนนี้เจ้าช่วยเปิดประตูเคลื่อนย้ายให้ข้าที ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องรีบกลับไปที่สันเขาหมื่นอสูรด่วนที่สุด”
หลีต้าฉิงรีบผงกหัวและตอบกลับ “ไม่ต้องกังวลนายท่าน พวกเราจะรีบเปิดประตูเคลื่อนย้ายให้ท่านเดี๋ยวนี้!”
ขนาดหลงหยา เขายังไม่กล้าปฏิเสธ แล้วตอนนี้เจ้านายของหลงยากลับเอ่ยขึ้นด้วยตัวเองเขาจะกล้าชักช้าอยู่ได้ยังไง?
หลีต้าฉิงรีบสั่งให้คนของไปเปิดประตูเคลื่อนย้ายในทันที โดยพักเรื่องค่ายกลป้องกันที่ถูกเปิดขึ้นเอาไว้ก่อนแบบไม่จำเป็นต้องคิด
หลงหยา ซึ่งถูกตำหนิโดยโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งตอนนี้กำลังรู้สึกไม่พอใจ
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียหน้าเมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาคือตัวตนผู้อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิแต่กลับถูกเด็กน้อยผู้นี้ตำหนิเอา แต่เมื่อเขานึกถึงสถานะของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋ง เขาเองก็ไม่มีทางเลือกทำได้แต่กลืนความขุ่นเคืองใจของเขากลับไปอย่างเงียบ ๆ
“นายน้อย พวกมันเป็นแค่ลิ่วล้อของพวกเราเท่านั้น ทำไมท่านถึงต้องพูดจาให้เกียรติพวกมันแบบนี้ด้วย?” หลงหยาส่งโทรจิตไปถามโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋ง
โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งมองไปที่หลงหยา และตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะมีสถานะไม่ต่างอะไรกับทาสรับใช้ของพวกเรา แต่ถ้าหากพวกเรารุนแรงกับคนเหล่านี้มากเกินไป มันจะมีสักวันที่พวกมันจะหันมาแว้งกัดพวกเราเอง ข้อนี้ท่านไม่รู้หรือยังไงผู้อาวุโสหลงหยา!”
“แล้วดูผลงานที่ท่านเพิ่งทำลงไป ท่านเผยภาพที่ท่านกินมนุษย์ให้กับมนุษย์มากมายได้เห็นแถมยังขู่พวกเขาซะจนเริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง ท่านคิดบ้างไหมว่าถ้าหากคนเหล่านี้เอาเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ไปแจ้งกับพวกสำนักของมนุษย์มันจะเกิดอะไรขึ้น? สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพวกสำนักทั้งหลายของมนุษย์มันจะรวมตัวกันทันทีและร่วมมือกันหันปลายดาบมาหาพวกเรายังไงล่ะ! เมื่อถึงเวลานั้นหากเหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รู้ว่าปัญหาทั้งหมดมันเกิดขึ้นมาจากท่านเพียงคนเดียว ท่านคิดว่าท่านแบกรับความเสียหายทั้งหมดที่มันจะเกิดขึ้นไหวไหม?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลงหยาก็สีหน้าเปลี่ยนทันทีและรีบตอบกลับ “นายน้อยข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว!”
ตอนนี้หลงหยารู้แล้วว่าตัวเองได้ทำพลาดไป แต่เขาก็ยังคงรู้สึกติดใจสงสัยอยู่ดีว่าทำไมครั้งนี้โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งถึงได้ดูระวังตัวแบบแปลก ๆ มากกว่าเดิม แต่เขาก็ยังคงไม่กล้าถามมันออกมาตรง ๆ จากนั้นเขาเปลี่ยนประเด็นที่จะคุยแทน “ว่าแต่นายน้อย ผลการรบที่อาณาเขตนภาสำเร็จลุล่วงดีรึเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งเก็บอาการสั่นกลัวของตัวเองไม่ไหวและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าซีดเผือดว่า “พวกเราถูกสังหารจนไม่เหลือ! ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้ามีทักษะความเร็วอันไร้เทียมทานของคุนเป๋ง ข้าเองก็คงจะถูกฝังอยู่ที่นั่นไปแล้ว! ทีนี้เจ้าเข้าใจแล้วรึยังว่าพวกเราเผ่าอสูรไม่ได้ไร้เทียมทานที่สุดบนโลกใบนี้!”
“เป็นไปไม่ได้!” หลงหยารู้สึกกตะลึง
กองทัพอสูรนับล้านรวมไปถึงอสูรขอบเขตจักรพรรดิอีก 10 กว่าตน แถมยังมีอสูรขอบเขตมหาจักรพรรดิร่วมเดินทางไปด้วยกลับตายลงทั้งหมดจนไม่มีเหลือที่อาณาเขตนภาได้ยังไง?
โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เป็นไปไม่ได้งั้นเหรอ? งั้นให้ข้าพูดรายชื่อของผู้สนับสนุนอาณาจักรจันทราให้เจ้าฟังก็แล้วกัน พวกแรกก็คือสันเขาทรราช ถัดมาก็ ตำหนักเต๋าสวรรค์ และต่อมาก็ สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์! ทีนี้เจ้าเข้าใจแล้วรึยังว่าสิ่งที่เจ้าเพิ่งทำลงไปมันไม่สมควรขนาดไหน!?”
โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งไม่กล้าเอ่ยถึงเทพีสี่ฤดู เนื่องจากเขาไม่อยากให้ความลับเรื่องจิตสำนึกของบรรพบุรุษของเขาที่หายไปมันแดงขึ้นมา
ทางด้านของหลงหยา เมื่อได้ยินว่า 3 สำนักมหาอำนาจของมนุษย์ร่วมมือกัน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดในทันที
แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันพูดอะไรออกมา หลีต้าฉิงก็รีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามาและพูดว่า “นายท่าน ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักข้า จู่ ๆ มันก็ใช้งานไม่ได้แล้ว!”
โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งจ้องเขม็งไปที่หลงหยาด้วยสายตาเย็นชา และโทรจิตไปว่า “เห็นไหมว่าเจ้าทำอะไรลงไป? ตอนนี้สำนักวายุคลั่งมันเริ่มจะกระด้างกระเดื่องแล้ว! ช่างมันก่อนตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะคุยอะไรกันอีกต่อไป พวกเรารีบกลับไปที่สันเขาหมื่นอสูรกันก่อนเรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากันใหม่!”
สีหน้าของหลงหยาในตอนนี้กลายเป็นเคร่งเครียดทันที ตอนแรกก็ค่ายกลป้องกันที่ถูกเปิดใช้งานขึ้นและพอมาตอนนี้ก็เป็นประตูเคลื่อนย้ายที่ใช้งานไม่ได้อีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หลงหยาเผยร่างที่แท้จริงของตนเองอีกรอบ และตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “ปิดค่ายกลป้องกันของพวกเจ้าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะทำลายสำนักของพวกเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลอง!”