พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 740 แผนล่อมาฆ่า
เนื่องจากอาณาเขตวิญญาณโลหิตและอาณาเขตสุสานกระบี่นั้นอยู่ติดกัน และสำนักวิญญาณโลหิตกับสำนักกระบี่เอกภพนั้นมีระยะทางห่างกันเพียง 10,000 กิโลเมตร ดังนั้นหมิงยู่ที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับสวรรค์สมบูรณ์จึงใช้เวลาในการเดินทางเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนางก็ถึงที่หมาย
เมื่อหมิงยู่เดินทางถึงสำนักระบี่เอกภพ นางก็ตะโกนขึ้นที่หน้าทางเข้าสำนักทันที “ผู้อาวุโสมู่หยุนชาน ข้าหมิงยู่มาขอเข้าพบ!”
บรรดาศิษย์ของสำนักกระบี่เอกภพเมื่อได้ยินหมิงยู่เรียกชื่อบรรพบุรุษของพวกเขาตรง ๆ แบบนี้พวกเขาก็รู้สึกโมโหในทันที
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทันพูดอะไรออกไป มู่เทียนหยูก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้าหมิงยู่ และถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า “เจ้าสำนักหมิง ท่านต้องการพบกับพ่อของข้าทำไมงั้นเหรอ?”
หมิงยู่โทรจิตบอกกับมู่เทียนหยูทันที “ตอนนี้มีอสูรขอบเขตราชันจากสันเขาหมื่นอสูรมาเยือนสำนักวิญญาณโลหิตของข้าเพื่อขอให้สำนักข้าร่วมมือกับพวกมัน และข้าได้รายงานเรื่องนี้ให้กับนายท่านได้ทราบแล้ว ซึ่งเขาเป็นคนบอกว่าให้ข้ามาตามพ่อของท่านไปจัดการกับอสูรตนนี้ให้กับสำนักของข้า เพื่อที่สำนักของข้าจะได้ไม่ต้องลงมือเอง ไม่เช่นนั้นสำนักของข้าอาจจะมีปัญหาอื่นตามมาในอนาคต”
เมื่อมู่เทียนหยูได้ยินเช่นนี้ เขาก็รีบตอบกลับในทันที “ถ้างั้นเจ้าสำนักหมิงรอสักครู่ก่อน ข้าจะรีบไปตามพ่อของข้ามาเดี๋ยวนี้!”
เมื่อพูดจบร่างของเขาก็หายไปในทันที เพื่อไปตามให้มู่หยุนชานออกมาจากสถานที่ปิดด่าน
ทางด้านของมู่หยุนชาน เมื่อยินเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยจากลูกชายของเขา เขาก็รีบลุกขึ้นและสั่งกับมู่เทียนหยูทันที “เจ้าจงอยู่ที่นี่เพื่อดูแลสำนักให้ดี เดี๋ยวข้าจะออกไปฆ่าอสูรตนนั้นก่อน!”
“ท่านพ่อ ท่านต้องระวังตัวให้ดี นี่มันอาจจะเป็นกับดักที่พวกอสูรล่อให้พวกเราออกไปก็ได้ หรือไม่สำนักวิญญาณโลหิตอาจจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล ดังนั้นข้าแนะนำว่าท่านควรนำกระบี่อาญาสวรรค์ติดตัวไปด้วยเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น” มู่เทียนหยูพูดขึ้น
มู่หยุนชานส่ายหัวและพูดว่า “ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของข้าเข้าใกล้ขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นปลายมากแล้ว และอีกอย่างเต๋ากระบี่ของข้าในตอนนี้ก็บรรลุไปอีกระดับเรียบร้อย ต่อให้ข้าต้องเผชิญกับอสูรขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นปลาย ข้าก็สามารถจัดการมันได้อย่างแน่นอน ดังนั้นกระบี่อาญาสวรรค์ข้าจะทิ้งมันไว้ที่นี่เพื่อคอยปกป้องสำนักในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ส่วนสำนักวิญญาณโลหิตนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย ในเมื่อหมิงยู่มาที่นี่ด้วยตัวเอง มันก็แสดงว่าสำนักวิญญาณโลหิตยังคงเป็นเหมือนเดิมแน่นอน”
หลังจากพูดจบ มู่หยุนชานก็ออกไปเจอกับหมิงยู่ทันที และพูดว่า “พวกเราค่อยคุยรายละเอียดกันระหว่างทางก็แล้วกัน!”
ในระหว่างทาง มู่หยุนชานก็ได้ทราบรายละเอียดต่าง ๆ ของสำนักวิญญาณโลหิตจากปากของหมิงยู่ ซึ่งจากนั้นเขาก็ถามสวนขึ้นว่า “เจ้าสำนักหมิง ข้าอยากจะถามท่านอีกครั้งตรง ๆ ในความคิดของท่านตอนนี้ท่านอยากจะปะทะกับพวกอสูรตรง ๆ ไปเลยหรือต้องการที่จะทำตัวไม่เป็นจุดสนใจเพื่อบ่มเพาะต่อไป?”
หมิงยู่ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “หากดูจากความแข็งแกร่งของสำนักข้าในตอนนี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คงจะไม่พ้นยึดตามแผนที่นายท่านบอกก็คือเก็บตัวสะสมความแข็งแกร่งไปก่อนเรื่อย ๆ เนื่องจากในตอนนี้พวกเรายังไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิเลยแม้แต่คนเดียว”
มู่หยุนชานพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวท่านแค่ทำตามแผนที่ข้าบอกก็พอ อันดับแรกท่านสั่งให้คนของท่านแกล้งตอบตกลงร่วมมือกับอสูรที่มาเยือนสำนักท่านไปก่อนเพื่อให้มันตายใจ แล้วจากนั้นพออสูรตนนั้นออกจากสำนักของท่านไป ข้าจะดักฆ่ามันเอง ด้วยวิธีนี้สำนักของท่านจะได้ไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนฆ่าอสูรและสำนักของท่านจะได้มีเวลาบ่มเพาะกันต่อไปอย่างสงบ”
หมิงยู่หัวเราะ “ผู้อาวุโส นี่ท่านหมายความว่าจะให้สำนักของข้าเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้พวกอสูรมาติดกับ และท่านก็จะได้ฆ่าพวกมันทิ้งเรื่อย ๆ ใช่ไหม?”
“นั่นแหละสิ่งที่ข้าต้องการจะสื่อ!” มู่หยุนชานหัวเราะ “ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็เป็นเหมือนน้ำกับไฟกับพวกอสูรอยู่แล้ว ไม่มันก็พวกเรายังไงก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ดังนั้นการล่อพวกมันมาฆ่าแบบนี้ก็ไม่ถือว่าน่าเกลียดอะไรหรอก ท่านว่าจริงไหม?”
หมิงยู่พยักหน้า “ข้าจะทำตามแผนของท่านก็แล้วกันผู้อาวุโส แต่ว่าข้าอยากจะขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง เมื่อท่านฆ่าพวกอสูรได้แล้ว ข้าอยากจะขอเก็บเลือดของพวกมันเอาไว้ทั้งหมด เพราะข้าจำเป็นต้องใช้เลือดของพวกมันในการบ่มเพาะ ท่านมีอะไรจะขัดข้องไหม?”
หมิงยู่รู้ดีว่าเจ้านายของนางนั้นอยู่คนละขั้วกับพวกอสูรโดยสิ้นเชิง ซึ่งแน่นอนว่าในฐานะที่นางเป็นผู้ติดตามของหลิงตู้ฉิง นางก็ต้องเป็นศัตรูกับพวกอสูรเช่นกัน ดังนั้นนางจึงไม่ลังเลเลยที่จะร่วมมือกับมู่หยุนชานในการกำจัดพวกอสูรทั้งหลาย
แต่ถึงแม้ว่านางจะตกลงให้ความร่วมมือกับมู่หยุนชาน นางก็ยังไม่ลืมที่จะหาผลประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
มู่หยุนชานพยักหน้าและพูดว่า “ไม่มีปัญหา ในเมื่อสำนักของท่านเป็นสำนักที่ต้องใช้เลือดในการบ่มเพาะ ดังนั้นข้าจะให้เลือดของพวกอสูรกับท่านทั้งหมด”
เมื่อตกลงกันได้เช่นนี้ มู่หยุนชานก็ไม่จำเป็นจะต้องไปถึงหน้าสำนักวิญญาณโลหิตเพื่อฆ่าอสูร เขาเพียงแค่ต้องรอให้อสูรออกห่างจากสำนักวิญญาณโลหิต จากนั้นเขาค่อยฆ่ามันก็เท่านั้น
หลังจากนั้นเมื่อหมิงยู่กลับไปถึงสำนักวิญญาณโลหิต นางก็โทรจิตบอกเว่ยกวนในทันที “แสร้งตกปากรับคำกับพวกอสูรไปว่าพวกเราจะยอมร่วมมือกับพวกมัน โดยที่ท่านห้ามเอ่ยคำสาบานกับมันหรือทำสัญญากฎสวรรค์กับพวกมันเด็ดขาด”
เว่ยกวนเมื่อได้ยินคำสั่งแบบนี้ เขาก็รู้ในทันทีว่าเขาต้องทำอะไรต่อไป
ทางด้านของสงอู่ที่คุยกับเว่ยกวนมานานแล้วก็เริ่มรู้สึกที่จะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ จนเขาเริ่มที่จะเริ่มใช้คำพูดข่มขู่ผสมกับหว่านล้อมเพื่อให้เว่ยกวนยอมตกลงกลับมาเป็นพันธมิตรกับสันเขาหมื่นอสูรของเขา
“ผู้อาวุโส เอาแบบนี้ก็แล้วกันในเมื่อท่านยื่นข้อเสนอผลประโยชน์มาให้กับพวกเรามากขนาดนี้แล้วงั้นข้าก็คิดว่าถ้าหากข้ายังปฏิเสธมันก็คงเป็นการเสียมารยาท แต่ว่ามันจะติดก็แค่อย่างเดียวคือข้าอยากจะมั่นใจก่อนว่าทุกอย่างมันจะเป็นแบบที่พวกเราตกลงกันไว้ หากเมื่อไหร่ที่ทรัพยากรที่ท่านตกลงว่าจะให้กับพวกเรามาถึงที่นี่ เมื่อนั้นพวกเราค่อยมาทำสัญญากฎสวรรค์กันอีกทีในตอนนั้นก็แล้วกัน” เว่ยกวนตอบตกลงกับสงอู่ด้วยรอยยิ้มทันที เนื่องจากเขาได้รับคำสั่งไฟเขียวจากหมิงยู่มาแล้ว
สงอู่ขมวดคิ้วและตอบกลับอย่างไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ว่า “เอาแบบนั้นก็ได้! ครั้งหน้าข้าจะพาคนของข้ามาช่วยพวกเจ้าสร้างประตูเคลื่อนย้ายให้ และหลังจากนั้นพวกเราก็ค่อยมาทำสัญญากฎสวรรค์กันในตอนนั้นก็แล้วกัน เอาล่ะ ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวก่อน!”
หลังจากร่ำลาเรียบร้อย สงอู่ก็หันหลังบินจากไปในทันที
เมื่อบินออกมาได้สักพักแล้ว สงอู่ก็หันหลังกลับไปมองสำนักวิญญาณโลหิตพร้อมกับส่ายหัวและพึมพำว่า “เป็นพวกโง่เง่าดีจริง ๆ หากตกลงร่วมมือกับพวกข้าเร็วกว่านี้ก็ไม่ต้องมานั่งลำบากลำบนอะไรจนถึงป่านนี้แล้ว นี่อะไรกัน ผ่านมาหมื่นกว่าปีเพิ่งจะมาคิดกันได้ แต่ก็ดีในเมื่อตกลงง่าย ๆ แบบนี้พวกข้าจะได้มีเผ่ามนุษย์เอาไว้ใช้สอยทดแทนกับสำนักวายุคลั่งที่เสียไป”
จากนั้นสงอู่ก็บินมุ่งหน้าต่อไปยังอาณาเขตสุสานกระบี่
มู่หยุนชานที่ซ่อนตัวอยู่ห่าง ๆ เมื่อเห็นว่าสงอู่บินไปทางอาณาเขตสุสานกระบี่แบบนี้เขาก็ยิ่งไม่รีบร้อนไปกันใหญ่
ในเมื่ออสูรตนนี้โง่เง่าถึงขนาดกล้าเข้าไปในถิ่นของเขา ดังนั้นแผนการที่เขาวางเอาไว้กับหมิงยู่ก็จะยิ่งแยบยลมากกว่าเดิม เพราะถ้าหากเขาฆ่าอสูรตนนี้ในอาณาเขตสุสานกระบี่ มันจะต้องไม่มีใครสงสัยสำนักวิญญาณโลหิตว่ามีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน
ส่วนระดับการบ่มเพาะของสงอู่ ในตอนนี้มู่หยุนชานเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันมีระดับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตราชันขั้นสูงสุด ซึ่งแน่นอนว่าไม่ครณามือของเขาแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าเขาจะอยากให้มันตายที่ไหนมันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา
และแล้วเมื่อสงอู่เข้าไปสู่อาณาเขตสุสานกระบี่ มู่หยุนชานก็ปรากฏตัวขึ้นในทันทีและสังหารสงอู่ภายในชั่วพริบตา จากนั้นเขาก็เก็บศพของสงอู่ และนำไปมอบให้กับหมิงยู่ที่สำนักวิญญาณโลหิต ซึ่งเป็นอันจบแผนการได้อย่างสวยงามของพวกเขา