พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 75 หลิงฉิงเฟิงถึงตระกูล[รีไรท์]
บทที่ 75 หลิงฉิงเฟิงถึงตระกูล[รีไรท์]
เจิ้นป่าเจ่าที่ตอนนี้กำลังทำสีหน้าบอกบุญไม่รับ กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักใจ “ไอ้เวรนี่มันยังไงกันแน่? ทำไมข้าถึงทำอะไรมันไม่ได้สักที?”
ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 7 หรือแม้แต่ระดับ 5 ล้วนเงียบหายขาดการติดต่อไปตั้งแต่ที่เขาส่งคนเหล่านั้นออกไปเล่นงานหลิงตู้ฉิง
หากว่าเขาไม่ได้รู้ข่าวถึงการพบศพผู้คนกลุ่มหนึ่งถูกทิ้งไว้บริเวณด้านนนอกเมืองเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา เจิ้นป่าเจ่าคงเข้าใจไปแล้วว่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่เขาส่งไปคงย้ายฝั่งไปอยู่กับหลิงตู้ฉิงเรียบร้อย
จี้ชิงหยวนกล่าวพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด “นายน้อย หรือว่าบางทีอาจเป็นฝีมือของคนที่แม่ทัพหลิงส่งมา?”
“ก็ไม่ใช่ว่าคนที่หลิงเจิ้งสงส่งมาระดับไม่สูงนักไม่ใช่หรือไง?” เจิ้นป่าเจ่ากล่าวด้วยอารมณ์ขมขื่น
“ข้าคิดว่าหลิงเจิ้งสงอาจจะส่งผู้เชี่ยวชาญคนอื่นมาอีกกลุ่มอย่างลับ ๆ ไม่เช่นนั้นด้วยระดับของผู้เชี่ยวชาญที่เราส่งไป ไม่มีใครในเมืองฟินิกซ์ที่สามารถสังหารพวกเขาหมดได้ในคราวเดียวแน่นอน” จี้ชิงหยวนเดาขึ้นมา
เจิ้นป่าเจ่าในตอนนี้คิดจนแทบหัวระเบิดก็ยังคิดไม่ออกว่าผลลัพธ์ทั้งหมดมันออกมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร เขาถอนหายใจและพูดขึ้น “ช่างมัน ในตอนนี้เราคงทำได้แค่เพียงรอให้ผู้อาวุโสหวูทะลวงขอบเขตได้สำเร็จก่อน จากนั้นเราค่อยไปล้างแค้นมันใหม่อีกครั้ง”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหลิงเจิ้งสงจะเอ็นดูมันถึงขนาดจะมาด้วยตัวเองที่นี่เพื่อปกป้องมัน” เจิ้นป่าเจ่าที่ในตอนนี้ได้เสียผู้เชี่ยวชาญไปกับหลิงตู้ฉิงเป็นจำนวนมากแล้ว เขารู้สึกยอมไม่ได้ รอบนี้เขาจงใจพร้อมเทหมดหน้าตักเพื่อสังหารหลิงตู้ฉิง หากเขาไม่สามารถสังหารหลิงตู้ฉิงได้ เขาคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหากมีคนอื่นรู้เข้าเรื่องนี้
ตัดมาที่คฤหาสน์เจ้าเมือง ตอนนี้หยิงหวูเจี้ยงและเฮ่อเจี้ยนปิงที่เพิ่งได้รับรายงานพบศพของผู้เชี่ยวชาญระดับสูงจำนวนมากถูกทิ้งไว้อยู่นอกเมือง พวกเขาล้วนแสดงสีหน้าตกตะลึงกับรายงานที่ได้รับ
“ใครเป็นคนทำกัน?” หยิงหวูเจี้ยงขมวดคิ้ว “ฟูเจิน คนนี้เป็นนักฆ่าของตระกูลเจิ้น ระดับการบ่มเพาะอยู่ในของเขตประสานทะเลปราณระดับ 7 เชียวนะ แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนถูกสังหารด้วยเพียงกระบวนท่าเดียวจากคู่ต่อสู้ ใครกันที่ทำได้ขนาดนี้?”
“ต่อให้เป็นข้าก็คงไม่สามารถสังหารเขาได้ด้วยกระบวนท่าเดียว” เฮ่อเจี้ยนปิงส่ายหัว “หรือว่าจะเป็นฝีมือผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตรวมแสงดารา? แต่ว่าในอาณาจักรจันทรานั้นมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราอยู่เพียงหยิบมือ และตระกูลหลิงเองก็มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราแค่เพียงคนเดียว ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ที่แม่ทัพหลิงจะมาปกป้องหลิงตู้ฉิงด้วยตนเองถึงที่นี่”
หยิงหวูเจี้ยงกล่าวขัดขึ้น “ใครจะรู้ ไม่แน่ แม่ทัพหลิงอาจจะซ่อนขุมกำลังของเขาไว้อย่างลับ ๆ บางทีเขาอาจจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราอีกคนก็เป็นไปได้”
ทั้งสองถกเรื่องกันเรื่องหลิงเจิ้งสงกันอย่างดุเดือดอยู่สักพักจนเมื่อไม่ได้ข้อสรุปที่พอจะเป็นไปได้พวกเขาก็ต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน
“เอาล่ะ สำหรับเรื่องนี้เราคงต้องปล่อยไปก่อน ตอนนี้พวกเราควรพุ่งความสนใจไปที่เรื่องเกี่ยวกับลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงเท่านั้น ข้าต้องรีบนำคำตอบไปรายงานให้กับอาจารย์ของเราโดยเร็วที่สุดว่าเด็ก ๆ เหล่านั้นวิเศษอย่างไร ศิษย์น้องตอนนี้เรื่องเทศกาลเจ้าเตรียมการไปถึงไหนแล้ว” เฮ่อเจี้ยนปิงกล่าวถาม
หยิงหวูเจี้ยงหัวเราะพร้อมกับเอ่ยตอบ “ศิษย์พี่ ตอนนี้เหลือเวลาอีก 20 วันก็จะถึงวันเทศกาลบูชาเพลิง ข้าได้เตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว และข้าได้ทราบข่าวแล้วว่าทางด้านของหลิงตู้ฉิงเองจะส่งลูกของเขาเข้ามาร่วมในการประลองนี้แน่นอน แต่ว่าลูกของเขานั้นไม่ได้เป็นศิษย์จากสถาบันใด ๆ เพราะฉะนั้นลูกของเขาจะต้องเข้าร่วมในรอบการประลองคัดเลือกก่อน”
เฮ่อเจี้ยนปิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “ดีเลย ๆ เช่นนั้นเจ้าจัดการให้ข้าได้ไปดูการประลองในรอบคัดเลือกด้วยทันที ข้าต้องการที่จะเห็นเขาในการต่อสู้จริง”
หยิงหวูเจี้ยงแสดงสีหน้าเย้ยหยัน “ศิษย์พี่จะไปดูในรอบคัดเลือกทำไมกัน หากว่าแค่รอบคัดเลือกลูกของหลิงตู้ฉิงยังผ่านไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไรกันที่เราจะต้องให้ความสนใจกับพวกเขาอีก”
“ก็จริงของเจ้า…” เฮ่อเจี้ยนปิงได้ยินเช่นนั้นก็ใจเริ่มเย็นลง
หัวข้อเดียวกันนี้ได้ถูกพูดคุยเช่นเดียวกันในเรือนหลิง
ในบรรดาลูกของหลิงตู้ฉิงมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ถือได้ว่าเริ่มต้นการบ่มเพาะได้แล้วอย่างแท้จริง หนึ่งคือหลิงยู่ชานและสองคือหลิงไช่หยุน
แต่ว่าหลิงไช่หยุนที่ในตอนนี้มีอายุเพียงแค่ 3 ขวบ ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะส่งนางลงสนามประลอง
ผู้เข้าไปประลองจึงมีเพียงแค่คนเดียวคือหลิงยู่ชาน
“นายท่าน งานประลองที่นายน้อยจะเข้าร่วมใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว” โม่หยูถังเตือนหลิงตู้ฉิง “แต่เนื่องจากนายน้อยไม่ได้เป็นศิษย์ของสถาบันไหน ฉะนั้นหลังจากลงทะเบียนเสร็จนายน้อยจะต้องเข้าร่วมการประลองรอบคัดเลือกก่อนในช่วงสิ้นเดือนที่จะถึง”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปจัดการลงทะเบียน” หลิงตู้ฉิงโบกมือสั่งโม่หยูถัง
หลิงตู้ฉิงนั้นไม่ได้กังวลกับรอบคัดเลือกการประลองของหลิงยู่ชานเลยแม้แต่น้อย เขารู้ดีถึงความแข็งแกร่งของลูกชายเขา “เมื่อถึงวันงานประลอง ข้าจะเป็นคนพาเขาไปเอง”
7 วันผ่านไปภายในพริบตา…
ในที่สุดก็ถึงวันเริ่มงานประลองรอบคัดเลือกของเทศกาลบูชาเพลิง
เหตุผลที่ต้องมีการจัดการประลองรอบคัดเลือกขึ้นก็เพื่อให้โอกาสแก่เด็กทั่วไปที่ไม่มีโอกาสได้สังกัดในสถาบันไหน ๆ ได้สร้างชื่อเสียง
ไม่ว่าจะเป็นเด็กจากครอบครัวยากจนที่ไม่มีปัญญาจ่ายค่าศึกษาให้กับบุตรหลานในการเข้าสถาบัน หรือเด็กบางคนที่มีพรสวรรค์แต่มีเหตุผลบางประการที่ไม่สามารถเข้าร่วมกับสถาบันได้ พวกเขาจะได้รับโอกาสเฉิดฉายบนลานประลองเทศกาลนี้เพื่อดึงดูดเหล่าแมวมองที่มาจากบรรดาตระกูลใหญ่ต่าง ๆ ที่อาจจะดึงตัวพวกเขาไปชุบเลี้ยงหรือนำไปฝึกฝนให้อนาคตเป็นผู้คุ้มกันในตระกูลต่อไป
ด้วยภูมิหลังลักษณะนี้ บรรดาเด็ก ๆ ที่มาสมัครเพื่อเข้าร่วมการประลองในรอบคัดเลือกจึงอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก พวกเขาส่วนใหญ่ต่างอยู่ในระดับระหว่างสองไม่ก็สามขอบเขตหลอมรวมลมปราณ แต่ก็มีบ้างบางส่วนที่ยังอยู่ในระดับแค่หนึ่งแต่พวกเขาก็ยังต้องการที่จะมาเสี่ยงโชค
ในทางด้านของหลิงยู่ชาน ซึ่งในตอนนี้อยู่ที่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 3 หลิงยู่ชานนั้นมีความได้เปรียบต่างจากผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ราวฟ้ากับเหว หลิงยู่ชานได้รับทั้งเคล็ดวิชาและการชี้แนะจากหลิงตู้ฉิง แถมเขายังมีคู่ฝึกซ้อมเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณอย่างซ่งเหวินเถาอีก นี่เป็นอภิสิทธิ์การฝึกฝนที่ไม่ว่าใครก็เทียบไม่ได้
ด้วยการฝึกฝนในสภาพแวดล้อมระดับนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่หลิงยู่ชานจะไม่ผ่านรอบการคัดเลือก
ในระหว่างที่งานเทศกาลบูชาเพลิงที่เมืองฟินิกซ์เริ่มขึ้น
หลิงฉิงเฟิงในตอนนี้ได้กลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิงที่เมืองหลวงเรียบร้อย
ในหัวของเขาตอนนี้มีคำถามมากมายผุดขึ้นเต็มไปหมด หลังจากที่เขาถึงคฤหาสน์เขาตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาปู่ของเขาที่ห้องทำงานทันที
เมื่อหลิงฉิงเฟิงไปถึงห้องทำงานของหลิงเจิ้งสง เขากลับเห็นพ่อของเขาหลิงเล่อชานผู้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีคนสำคัญของอาณาจักรจันทราอยู่ที่นั่นด้วย
“ทำไมเจ้าถึงได้กลับมาเร็วเช่นนี้ มีอะไรเกิดงั้นหรือ?” หลิงเจิ้งสงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หลิงฉิงเฟิงส่ายหัวและถามตอบปู่ของเขา “ท่านปู่ ข้าอยากทราบว่านอกจากข้าแล้วท่านได้ส่งผู้อื่นไปที่เมืองฟินิกซ์งั้นหรือ คนผู้นั้นมีแม้กระทั่งตราประจำตัวแม่ทัพของท่าน!”
หลิงเจิ้งสงพยักหน้าและตอบกลับ “ถูกต้อง ข้าได้ส่งเขาไปเอง มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักตัวตนของเขา ถ้าเจ้าได้พบกับเขา และหากเขาได้แสดงตราประจำตัวของข้า นี่ก็แสดงว่าเจ้านั้นไม่สามารถจัดการสถานการณ์ที่นั่นได้อย่างเหมาะสม เอาล่ะถึงเวลาที่เจ้าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองฟินิกซ์ให้ข้าฟังได้แล้ว!”
หลังจากนั้น หลิงฉิงเฟิงจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองฟินิกซ์ให้ปู่และพ่อของเขาฟัง
เมื่อหลิงฉิงเฟิงเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนที่เขาพบกับหลิงตู้ฉิงครั้งแรกที่เรือนหลิง หลิงเล่อชานเริ่มขมวดคิ้ว เขาข้องใจที่หลิงตู้ฉิงบอกว่าหลิงฉิงเฟิงไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับเขา
หลิงเล่อชานมองไปยังหลิงเจิ้งสงที่กำลังแสดงสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าเรื่องที่หลิงตู้ฉิงพูดมานั้นไม่มีอะไรผิดปกติ
และเมื่อหลิงฉิงเฟิงเล่าถึงตอนที่เขาและผู้คุ้มกันถูกโยนออกมาจากเรือนหลิง หลิงเจิ้งสงพูดแทรกออกคำสั่งทันที “ถอดผู้คุ้มกันของเจ้าทั้งสองคนให้กลับเข้าไปทำหน้าที่ในกองทัพทันที ห้ามนำพวกเขากลับมาใช้งานอีกในอนาคต”
“ท่านปู่ ทำไมท่าน…” หลิงฉิงเฟิงกล่าวถามอย่างงุนงง
หลิงเล่อชานยกมือปรามลูกเขาทันที พร้อมกับหันไปหาหลิงเจิ้งสงและพยักหน้ารับทราบ “ท่านพ่อ ข้าจะดำเนินการทันที!”
หลิงเจิ้งสงพูดกับหลิงฉิงเฟิงต่อ “เจ้าเล่าต่อ เกิดอะไรขึ้นกับเรือนหลิงอีกในเมืองฟินิกซ์ ข้าต้องการให้เจ้าเล่าทุกสิ่งที่เจ้ารู้และเจ้าต้องเล่าถึงคำพูดทุกคำและการกระทำทุกอย่างของเจ้ากับผู้คุ้มกันที่กระทำลงไปในช่วงระยะเวลาทั้งหมดที่อยู่ที่นั่น”
จากนั้นหลิงฉิงเฟิงก็เริ่มเล่าต่ออย่างละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พวกเขาได้ประสบระหว่างที่อยู่ในเมืองฟินิกซ์จนถึงตอนที่พวกเขาถูกไล่กลับโดยกงหยู
หลิงเจิ้งสงเมื่อฟังจบเขาจึงส่ายหัว “เฮ้อ…เช่นนั้นพวกเจ้าไม่ต้องส่งผู้คุ้มกันทั้งสองคนนั้นไปที่กองทัพ พวกเจ้าจงส่งสองคนนั้นไปที่หุบเขาหมื่นยอดแทน ให้พวกเขาทั้งคู่เก็บตัวฝึกฝน นี่เพื่อเป็นบทเรียนให้กับพวกเขาในอนาคตและแสดงให้บรรดาบ่าวทุกคนได้เข้าใจว่าเราไม่ต้องการบ่าวที่สอดมือยุ่งเรื่องของเจ้านายมากจนเกินงาม!”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ!” หลิงเล่อชานรับคำสั่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หลิงเจิ้งสงกล่าวกับหลิงฉิงเฟิงต่อ “สำหรับการที่เจ้าไปเมืองฟินิกซ์ครั้งนี้ ข้ายังถือว่าเจ้าสอบผ่าน การกระทำของเจ้ายังถือว่าอยู่ในขั้นพอรับได้แต่เจ้ายังขาดการตัดสินใจในการพลิกแพลงสถานการณ์ จำความผิดพลาดนี้ไว้เป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาตนเอง ในอนาคตเจ้าจะต้องเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่าง ๆ ต่อจากพ่อเจ้า เจ้าจงจำไว้”