พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 80 เทศกาลบูชาเพลิง[รีไรท์]
บทที่ 80 เทศกาลบูชาเพลิง[รีไรท์]
หลังจากการนัดพบกับหวงตู้กู่เสร็จสิ้น เจิ้นป่าเจ่าจึงไปต่ออีกสองสถานที่ตามที่เขาได้นัดหมายกับพ่อของเด็กอีกสองคนไว้
โดยปกติแล้วคนอย่างเขาไม่มีวันลดตัวลงมาคุยกับพวกคนระดับนี้ แต่ด้วยเหตุจำเป็นที่เขาไม่มีทางเลือก เขาจึงต้องยอมทนทำไปก่อน
หลังจากพบปะกับพ่อของหยุนเฟยหาว เจิ้นป่าเจ่าได้ยื่นข้อเสนอเดิมที่เขาเคยให้กับหวงตู้กู่พ่อของหวงหลิงซาน
ซึ่งแน่นอนว่าผลสุดท้ายหยุนซ่งเจียงพ่อของหยุนเฟยหาวตอบตกลงเช่นกัน
และด้วยข้อเสนอเดียวกันเจิ้นป่าเจ่าได้มอบโอสถที่เขาบอกว่าสามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็วให้กับหยุนซ่งเจียงไปด้วยอีกจำนวนหนึ่งเพื่อให้นำไปให้กับหยุนเฟยหาวใช้พวกมันในการสังหารหลิงยู่ชานได้ง่ายขึ้น
หลังจากพบกับ หวงตู้กู่และหยุนซ่งเจียงเสร็จ เจิ้นป่าเจ่าจึงมุ่งหน้ากลับคฤหาสน์ตระกูลเจิ้น
หลังจากกลับถึงคฤหาสน์ เจิ้นป่าเจ่าก็ได้เห็น ซูจางเหลียนและซูเหรินอี้ นั่งรออยู่ด้านในโถงรับแขก
เมื่อเห็นเจิ่นป่าเจ่าเดินเข้ามา ซูจางเหลียนรีบลุกขึ้นและพูดพร้อมกับรอยยิ้ม “นายน้อยเจิ้น ท่านมีธุระอะไรให้พวกเราพ่อลูกรับใช้หรือถึงเรียกพวกเรามา?”
เจิ้นป่าเจ่าหัวเราะ “ที่ข้าเรียกท่านให้มาพบวันนี้ นั่นก็เพราะข้ามีเรื่องบางอย่างต้องการให้ท่านและลูกของท่านช่วย หากท่านยินดีช่วยข้า ข้าจะรับพวกท่านเข้าเป็นคนของตระกูลข้าทันที เหรินอี้ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าฝึกฝนเป็นอย่างหนักเพื่องานประลองเทศกาลบูชาเพลิง หากเจ้าช่วยข้า ข้าจะมอบโอกาสบางอย่างให้กับเจ้า”
ซูจางเหลียนถาม “นายน้อยเจิ้น ท่านต้องการให้พวกเราทำอะไร?”
ซูเหรินอี้ที่จ้องเจิ้นป่าเจ่าตาไม่กระพริบ เขาเองไม่เอ่ยถามถึงเงื่อนไขของเจิ้นป่าเจ่าเลย “นายน้อยเจิ้น ตราบใดที่ท่านยินดีจะให้โอกาสข้า ข้าจะทำทุกอย่างตามที่ท่านสั่ง!”
เจิ้นป่าเจ่าเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กน้อยคนนี้เขาจึงไม่สนใจซูจางเหลียนอีก เขาหันไปมองซูเหรินอี้ด้วยสีหน้าอันพึงพอใจจากนั้นจึงพูดขึ้น “ข้าต้องการให้เจ้าฆ่าหลิงยู่ชานบนลานประลองในงานเทศกาลบูชาเพลิง เขาอยู่แค่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 3 เท่านั้น แต่เจ้าที่อยู่ในระดับ 5 แล้วควรจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ข้าจะมอบโอสถบางอย่างให้กับเจ้า ด้วยโอสถนี้ระดับการบ่มเพาะของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงระดับ 6 ภายในไม่กี่วันที่จะถึงงานประลอง นี่น่าจะเป็นงานไม่ยากสำหรับเจ้าจริงไหม?”
ซูจางเหลียนเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรีบพูดขัดขึ้น “แต่นายน้อยเจิ้น พวกเราพ่อลูกไม่ได้มีความแค้นอะไรกับหลิงตู้ฉิงและลูกของเขา พวกเราจะไปฆ่าเขาง่าย ๆ ได้อย่างไร?”
“ก็จริงที่พวกเจ้าไม่มีแค้นต่อพวกเขา แต่ประเด็นสำคัญคือว่าข้ามีความแค้นกับพวกมัน!” เจิ้นป่าเจ่าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากเจ้าต้องการได้รับโอกาสจากข้า เจ้าก็ควรทำประโยชน์ให้ข้าพอใจเสียก่อน ไม่งั้นข้าคงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะรับคนไร้ประโยชน์เข้ามาอยู่ด้วย เจ้าว่าจริงไหม เหรินอี้?”
ซูเหรินอี้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นายน้อยเจิ้น อันที่จริงข้าเองก็รู้สึกว่าหลิงยู่ชานมันเป็นคนที่น่ารำคาญเช่นกัน และอีกอย่างเมื่อตอนวันทดสอบรับคนเข้าสถาบันหงส์เพลิง พ่อของมันก็ดูหมิ่นทุกคนที่นั่นรวมถึงข้าด้วย ซึ่งความขุ่นเคืองใจนี้ข้ากำลังจะหาโอกาสชำระพอดี และตอนนี้ในเมื่อนายน้อยเจิ้นให้โอกาสข้าได้สะสางบัญชีเก่า แน่นอนว่าข้าต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน!”
“ดีมาก!” เจิ้นป่าเจ่ายิ้ม “เหรินอี้ เจ้านี่ความคิดความอ่านของเจ้ามันสมควรเป็นยอดคนจริง ๆ ”เมื่อพูดจบเจิ้นป่าเจ่าโยนแหวนมิติให้กับซูเหรินอี้ “ในนั้นมีเหรียญทองอยู่ 100,000 เหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นค่าจ้างล่วงหน้าที่ข้าให้เจ้าไว้สำหรับการมาเป็นผู้ติดตามข้าในอนาคต และในนั้นยังมีโอสถที่สามารถช่วยยกระดับการบ่มเพาะให้เจ้าได้อยู่ด้วย จำไว้หลังจากเจ้าจบการศึกษาเมื่อไหร่ ข้าจะให้ตำแหน่งเจ้าเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันของข้า!”
“แต่ข้าขอย้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อความแน่นอนของผลที่จะออกมา เจ้าควรที่จะใช้โอสถที่ข้ามอบให้ทันทีที่เจ้ากลับถึงเรือนเจ้า เพื่อยกระดับการบ่มเพาะ เพราะต่อให้เจ้าจะมีระดับที่สูงกว่าหลิงยู่ชาน แต่มันก็ไม่แน่เสมอไปที่เจ้าจะฆ่าเขาได้”
เมื่อซูจางเหลียงเห็นเจิ้นป่าเจ่ามอบโอสถให้ลูกของเขา เขาพยายามขยิบตาส่งสัญญาณให้ซูเหรินอี้เป็นเชิงในความหมาย ‘เจ้าอย่ากินมัน มันอาจเป็นยาพิษบางอย่าง!’
แต่น่าเสียดายที่ซูเหรินอี้แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เขานำโอสถออกจากแหวนและกลืนลงคอไปในทันที
หลังจากกลืนโอสถเข้าไปได้เพียงครู่เดียว ระดับบ่มเพาะของซูเหรินอี้เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งจนสุดท้ายไปหยุดที่ระดับหกขอบเขตหลอมรวมลมปราณ
“นายน้อยเจิ้น ข้าขอขอบคุณมาก” ซูเหรินอี้ขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
“เมื่อกลับไปเจ้าจงกลืนลงไปอีก 1 เม็ด เพื่อให้ระดับการบ่มเพาะของเจ้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นี่ก็เหลืออีกไม่กี่วันกว่าจะถึงงานประลอง เจ้าจงกลับไปเตรียมตัวเถอะ” เมื่อพูดเสร็จเจิ้นป่าเจ่าก็โบกมือส่งสัญญาณให้คู่พ่อลูกกลับไป
หลังออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเจิ้น ซูจางเหลียงรีบพูดกับลูกของเขา “เหรินเอ๋อ ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดจะฆ่าหลิงยู่ชานจริง ๆ ใช่ไหม?”
ซูเหรินอี้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ท่านพ่อ ตอนนี้ตระกูลเจิ้นกำลังให้โอกาสตระกูลเราก้าวหน้านะท่านพ่อ พวกเราจะทิ้งโอกาสนี้ไปไม่ได้ และมันก็ไม่ใช่แค่ข้าต้องฆ่าหลิงยู่ชานบนลานประลองเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? ข้าเชื่อว่ามันไม่มีปัญหาอะไรหรอก และอีกอย่างข้าเองก็ยังแค้นใจพ่อของมันไม่หาย ถือซะว่านี่เป็นการลบคำสบประมาทที่พ่อมันหาว่าข้าเป็นขยะไปด้วยเลยแล้วกัน”
“แต่ว่า…เจ้า…” ซูจางเหลียงพยายามจะหาเหตุผลมาคัดค้านลูกของตัวเอง ถึงขนาดผ่านไปครึ่งค่อนวันเขาก็ยังไม่สามารถพูดอะไรได้เลย
อันที่จริงซูจางเหลียนก็รู้จักนิสัยของลูกชายดี หากลูกชายของเขาได้ตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้วก็ยากที่จะให้เปลี่ยนแปลงความตั้งใจ ซูจางเหลียงจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ตัดกลับมาที่ตระกูลเจิ้น เจิ้นป่าเจ่ากำลังนั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้ามีความสุข เมื่อเห็นว่าแผนทุกอย่างที่วางไว้กำลังเริ่มต้นไปได้ด้วยดี
“ในเมื่อพวกเด็กนั่นกลืนยาของข้าลงไปแล้ว ต่อให้พวกมันไม่อยากทำตามสัญญา แต่ถ้าพวกมันขึ้นไปบนลานประลองเมื่อไหร่แผนของข้าก็ถือว่าสมบูรณ์!” เจิ้นป่าเจ่าหัวเราะอย่างสะใจ
หลิงยู่ชานที่ยังไม่รู้ตัวว่าจะมีเคราะห์หล่นใส่หัวภายในอีกไม่กี่วันที่จะมาถึง ตอนนี้เขากำลังสู้กับซ่งเหวินเถาอย่างขะมักเขม้น
เป้าหมายของหลิงยู่ชานตอนนี้ไม่ใช่การเอาชนะซ่งเหวินเถา ซึ่งเขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาแค่หวังว่าจะสามารถรับมือซ่งเหวินเถาให้ได้เกินหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้นพอ
ถึงแม้ว่าซ่งเหวินเถาจะลดระดับการบ่มเพาะให้เท่ากับหลิงยู่ชาน แต่ด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกันและความเฉียบคมในออกกระบวนท่า เพียงแค่นี้หลิงยู่ชานก็จอดไปตั้งแต่กระบวนท่าแรกที่ปะทะกันในทุกรอบ
หลังจากที่หลิงยู่ชานทุ่มเทอย่างหนักในการสู้กับซ่งเหวินเถาเป็นสิบ ๆ รอบ ในที่สุดระดับการบ่มเพาะของเขาก็ได้ทะลวงไปถึงขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 4
หลังจากหลิงยู่ชานทะลวงระดับได้สำเร็จ เขาก็รีบวิ่งไปหาหลิงตู้ฉิงเพื่อรายงานความสำเร็จ
“นี่มันเร็วเกินไป” หลิงตู้ฉิงเคร่งเครียด “ต่อแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าต้องข่มระดับการบ่มเพาะเอาไว้ให้มากที่สุดจนกว่าเจ้าจะไม่สามารถข่มมันได้ เจ้าต้องมุ่งเน้นความสำคัญที่สุดไปที่การทำให้รากฐานการบ่มเพาะของเจ้ามั่นคง เป้าหมายของเจ้าไม่ใช่การทะลวงไปสู่ขอบเขตรวมแสงดาราให้เร็วที่สุด เป้าหมายของเจ้าอยู่ไกลกว่านั้นมาก พ่อยอมให้เจ้าเสียเวลาอยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณ 10 ปี ยังดีกว่าให้รากฐานของเจ้าไม่มั่นคงและติดอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดาราตลอดชีวิต ทำตามที่พ่อบอกอย่างเคร่งครัด หากเจ้าต้องการบรรลุเป้าหมายที่พ่อตั้งไว้”
หลิงตู้ฉิงไม่ต้องการให้ลูกเขามีจุดจบการบ่มเพาะเหมือนคนปกติทั่วไป เขาต้องการให้ลูกของเขาทุกคนเน้นไปที่การสร้างรากฐานให้มั่นคง ไม่อย่างนั้นพวกเขาไม่มีวันบรรลุไปถึงจุดสูงสุดขอบเขตจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแน่นอน
หลายวันผ่านไป ในที่สุดงานประลองเทศกาลบูชาเพลิงก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
บริเวณจัดงานนั้นตั้งอยู่ที่กลางจัตุรัสเมืองฟีนิกซ์ ซึ่งในตำนานกล่าวว่า ณ กลางจัตุรัสแห่งนี้เป็นจุดเดียวกับที่นกฟีนิกซ์ได้ทำการเกิดใหม่จากเถ้าถ่านและบินขึ้นสู่สรวงสวรรค์
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยทุกคนในเรือนหลิงจึงเตรียมตัวออกจากเรือนเพื่อมุ่งหน้าไปยังจตุรัสกลางเมือง
“นายท่าน ข้าคิดว่าพวกเราควรจะมีรถม้าไว้ใช้งานได้แล้ว” มี่ไลแนะนำ “นายท่านดูพวกเด็ก ๆ สิ ระยะทางที่เราจะต้องเดินไปนั้นค่อนข้างไกล สำหรับผู้ใหญ่คงไม่มีอะไรลำบาก แต่กับเด็กเล็ก ๆ ต้องลำบากแน่นอน โดยเฉพาะนายน้อย วันนี้เขาต้องลงแข่งในงานประลอง การเดินระยะไกลขนาดนี้อาจทำให้เขาเปลืองแรงไปโดยเปล่าประโยชน์”
“ข้ารู้แล้ว ข้าให้คนไปจัดการเรื่องรถม้าเรียบร้อยแล้ว และข้ายังได้ผู้เชี่ยวชาญมาเป็นสารถีให้ข้าด้วย อีกไม่นานพวกเราจะมีรถม้าไว้ในงานได้ตลอดเวลาแน่นอน” หลิงตู้ฉิงตอบ
“นายท่านเตรียมการตอนไหน ทำไมข้าถึงไม่รู้เลย” มี่ไลถามด้วยความสงสัย
“ข้าก็ไปจัดการเรื่องนี้เมื่อคืนก่อนที่ข้าออกไปข้างนอกตอนดึกยังไงล่ะ” เมื่อหลิงตู้ฉิงอธิบายจบเขาได้หันไปหาหลิงยู่ชานและหลิงไช่หยุน “ยู่ชานเข้ามาให้พ่ออุ้มเจ้าไปที่งาน เจ้าจะได้ไม่ต้องเสียพลังไปกับการเดินทาง และไช่หยุนเจ้าเองก็มาให้พ่ออุ้มไปด้วย”
หลิงตู้ฉิงได้อุ้มทั้งหลิงยู่ชานและหลิงไช่หยุนไว้บนแขนเขาคนละข้าง
ส่วนบรรดาเด็กคนอื่นนั้น หลิงตู้ฉิงปล่อยให้พวกเขาเดินตามไป
วันนี้ทุกคนในเรือนหลิงได้มีส่วนร่วมไปเทศกาลบูชาเพลิงหมดทุกคน นอกจากทุกคนจะไปดูการแข่งขันของหลิงยู่ชานแล้วทุกคนก็ต้องการที่จะไปเที่ยวงานเทศกาลอันน่าครื้นเครงงานนี้ด้วย
เมื่อถึงตอนสาย พวกของหลิงตู้ฉิงก็ได้มาถึงจัตุรัสที่จัดงานซึ่งคราคร่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมาก…