พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 89 พันกระบี่[รีไรท์]
บทที่ 89 พันกระบี่[รีไรท์]
ในตอนนี้หวงยี่เฟยที่มาร่วมชมการประลองที่จัตุรัสด้วยนั้นสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดขณะที่เขาพูดกับมี่ตั้วตั้ว “ข้ากลัวว่า รอบนี้ปรมาจารย์หลิงจะมีปัญหาแล้ว แม้ว่าเขาจะมีวิธีการอันพิสดารมากมาย แต่ความแตกต่างระหว่างระดับของเขากับขอบเขตรวมแสงดารามันกว้างเกินไป”
ในทางกลับกันมี่ตั้วตั้วรู้สึกผ่อนคลายมากในขณะที่เขาพูดตอบ “อาจารย์หวงท่านสบายใจได้ ปรมาจารย์หลิงยังไม่ได้ใช้พลังวิญญาณของเขาเลยด้วยซ้ำ เขาไม่มีวันพลาดพลั้งง่าย ๆ แน่นอน!”
มี่ตั้วตั้วคิดว่าตัวเองรู้จัก ‘ภูมิหลัง’ ของหลิงตู้ฉิงดีที่สุด เขาเข้าใจว่าหลิงตู้ฉิงเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์
ความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์คือยืมพลังแห่งกฎของสวรรค์และโลกมาใช้
หากเขาไม่ได้เดาผิด เมื่อครู่หลิงตู้ฉิงได้ใช้พลังแห่งกฎสวรรค์และโลกเพื่อป้องกันกระแสพลังวิญญาณของหวูชี่คงที่ปล่อยออกมาให้ขาดครึ่งได้อย่างง่ายดาย
ในขณะนี้หวูชี่คงที่อารมณ์กำลังพลุ่งพล่าน เขาแบมือออกและควบแน่นพลังวิญญาณเป็นรูปร่างมือขนาดยักษ์เข้าคว้าตัวหลิงตู้ฉิง
ครั้งนี้เขาใช้พลังขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 5
แต่เมื่อเขาเอื้อมมือออกไป หลิงตู้ฉิงก็หยิบกระบี่ไม้ไผ่ออกมาจากแหวนมิติและเขวี้ยงกระบี่สวนไปที่ฝ่ามือของหวูชี่คง
กระบี่ที่หลิงตู้ฉิงเขวี้ยงไปนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณที่ถูกเสริมด้วยพลังแห่งกฎของโลก มันไม่สามารถหยุดได้ด้วยพลังของมนุษย์ธรรมดาแน่นอน
มันพุ่งเข้าหาฝ่ามือของหวูชี่คงโดยไม่สนกับการผันผวนของสนามพลังที่อยู่รอบตัวหวูชี่คงแม้แต่น้อย
กระบี่ไม้ไผ่ที่เขวี้ยงออกไป มันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ มันเสียบเข้าไปยังกลางฝ่ามือของหวูชี่คงอย่างแม่นยำและทะลุออกไปคล้ายกับฝ่ามือของหวูชี่คงเป็นเต้าหู้อันบอบบาง
ส่งผลให้ฝ่ามือของหวูชี่คงที่ถูกแทงทะลุด้วยดาบไม้ไผ่ เลือดพุ่งสาดกระจายออกจากบาดแผลราวกับน้ำพุ!
หวูชี่คงตกตะลึง การโจมตีเมื่อครู่เขาใช้พลังระดับการบ่มเพาะของขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 5 เขาไม่ควรจะบาดเจ็บโดยใครสักคนที่อยู่ในขอบเขตควบแน่นลมปราณระดับ 4 ไม่ใช่งั้นเหรอ? เกิดอะไรขึ้น?
เขาซึ่งอยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราได้ข่มความแข็งแกร่งของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อไว้หน้าไอ้หนุ่มนี่ แต่ไอ้หนุ่มนี่กลับทำร้ายเขาให้ได้รับบาดเจ็บจนเลือดตกยางออก แถมระดับของไอ้หนุ่มนี่อยู่แค่ขอบเขตควบแน่นลมปราณอีกด้วย เขาไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้
“ตาแก่ เจ้าโจมตีข้าสองครั้งแล้วนะ ข้าขอเอาคืนเจ้าด้วยการแทงเจ้าสักหนึ่งครั้งก็แล้วกัน นี่ข้าถือว่าข้าไว้หน้าเจ้ามากแล้ว” หลิงตู้ฉิงพูดต่อว่า “หากเจ้ารีบไปให้พ้นหน้าข้าตอนนี้ ข้าจะถือว่าเจ้ากับข้าเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน!”
หวูชี่คงโมโหมากกับมือที่บาดเจ็บของเขา เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงเขาก็พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าจะดูถูกข้าเกินไปแล้วไอ้หนุ่ม ข้าอุตส่าห์ออมมือให้เจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าคิดว่าข้าคนนี้ใจดีมากนักสินะ! ได้! แม้ว่าข้าจะฆ่าเจ้าในวันนี้ข้าก็มีเหตุผลไว้อธิบายกับหลิงเจิ้งสงแล้ว!”
หลังจากที่เขาพูดจบร่างของเขาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หวูชี่คงโคจรพลังวิญญาณในร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง บังเกิดเป็นภาพมายาคล้ายดวงดาวปรากฎขึ้นอยู่บนบริเวณกลางอกของตนเอง
ขณะที่พลังวิญญาณโคจรอยู่ในระดับสูงสุด หวูชี่คงได้แผ่พลังวิญญาณส่วนหนึ่งกระจายออกไปเพื่อกดดันหลิงตู้ฉิง แต่ด้วยเหตุที่หวูชี่คงยังคงไม่คุ้นชินกับการควบคุมระดับพลังขอบเขตรวมแสงดาราที่ตัวเองพึ่งทะลวงมา มันจึงกลับกลายเป็นว่าพลังวิญญาณที่เขาแผ่ออกไปเหล่านั้นมันได้กดทับร่างทุกคนที่อยู่ในบริเวณจัตตุรัสทั้งหมด จนทำให้ผู้คนที่เป็นคนธรรมดาแทบจะไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้
“นายท่านโปรดระวังนี่คือหนึ่งในท่าไม้ตายของขอบเขตรวมแสงดารา ท่าไม้ตายนี้จะสามารถเรียกใช้ฝนอุกกาบาตลงมาเข่นฆ่าศัตรูของพวกเขาได้!” กงหยูรีบเตือนหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงในเวลานี้จ้องไปที่หวูชี่คงที่อยู่บนอากาศและพูดอย่างเย็นชาว่า “ฮึ่ม…ข้าอุตส่าห์ให้โอกาสเจ้ารอดตายถึงสองครั้งสองคราแต่เจ้ากลับไม่สำนึก ยังดึงดันที่จะตายอยู่ให้ได้สินะ”
หวูชี่คงคำรามตอบกลับ “ตาแก่ผู้นี้จะแสดงพลังของขอบเขตรวมแสงดาราให้เจ้าได้เห็น วันนี้เจ้าจะต้องตายด้วยน้ำมือของข้าหวูชี่คง!”
มือของหวูชี่คงเริ่มกวัดแกว่งไปมากลางอากาศ ส่งผลให้พลังวิญญาณเริ่มรวมตัวกันและกลั่นตัวเป็นอักษรอักขระขนาดเท่ากำปั้นส่องแสงเจิดจ้าที่มีความหมาย ‘ดวงดาว’
จากนั้นเมื่ออักขระดวงดาวก่อตัวขึ้นสมบูรณ์ หวูชี่คงมองลงไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาโหดเหี้ยม และชี้นิ้วออกคำสั่งอักขระดวงดาวให้พุ่งไปหาหลิงตู้ฉิงทันที
ตอนนี้หลังจากอักขระดวงดาวปรากฎขึ้น บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยลมและเมฆ ทันทีที่อักขระ ‘ดวงดาว’ ดิ่งลงมา สายฟ้าจำนวนหลายสายได้ส่งเสียงคำรามลั่นสั่นสะเทือนท้องฟ้าราวกับวันโลกาวินาศมาถึง
หยิงหวูเจี้ยงตะโกนใส่ฝูงชนที่ยังคงเฝ้าดูความโกลาหล “ไอ้พวกซื่อบื้อทำไมยังไม่หนีไปอีก พวกเจ้าอยากตายนักใช่ไหม?
หยิงหวูเจี้ยงเมื่อตะโกนใส่ฝูงชนเสร็จเขาได้หันกลับมาที่กงหยูและเฮ่อเจี้ยนปิง และพูดต่อ “พวกเราสามคนต้องร่วมมือกันเพื่อป้องกันการโจมตีครั้งนี้ไม่ให้กระจายออกไปบริเวณรอบ ๆ ไม่อย่างนั้นคนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่มาชมการประลองในวันนี้จะต้องตาย! ไอ้นี่มันบ้าไปแล้วหลังจากเหตุการณ์นี้เขาจะต้องถูกผู้เชี่ยวชาญจากเมืองหลวงตามล่าอย่างแน่นอน”
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้ที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา หยิงหวูเจี้ยงรู้ดีว่าตัวเขาเองคนเดียวไม่มีพลังพอจะต่อต้านใด ๆ ได้เลยและยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปกป้องหลิงตู้ฉิง
สิ่งที่ตอนนี้เขาพอจะทำได้ก็คือร่วมมือกับศิษย์พี่ของเขาและชายชราที่เป็นผู้ติดตามของหลิงตู้ฉิงให้ช่วยกันร่วมมือบรรเทาความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้น มิฉะนั้นเขาซึ่งเป็นเจ้าเมืองของเมืองฟีนิกซ์จะต้องตกอยู่ในมรสุมแห่งปัญหาแน่นอน
กลุ่มคนที่เข้าร่วมงานเทศกาลบูชาเพลิงเมื่อได้ยินคำพูดของหยิงหวูเจี้ยง พวกเขาจึงกลับมามีสติอีกครั้ง ตอนนี้พวกเขาอยู่ในรัศมีของฝนอุกกาบาต เมื่อพวกเขารู้ว่าตัวเองจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วยก็แตกตื่นหวาดกลัวและพยายามวิ่งหนี กระทั่งเจิ้นป่าเจ่าที่ยังอยู่บนลานประลองก็เริ่มวิ่งหนีเช่นกัน
“ผู้อาวุโสหวู ช้าก่อนข้ายังอยู่บนลานประลองนะ!” เจิ้นป่าเจ่าตะโกน
“พวกเจ้าต้องป้องกันมันด้วยตัวเอง!” กงหยูพูดอย่างเย็นชากับหยิงหวูเจี้ยง หลังจากที่เขาพูดจบก็ถอยกลับไปยืนด้านหน้ากลุ่มคนเรือนหลิง เขาเริ่มโคจรพลังวิญญาณทั้งหมดที่มีเพื่อสร้างกำแพงพลังวิญญาณเตรียมป้องกันการโจมตีที่จะเข้ามา
แม้ว่ากงหยูจะไม่แน่ใจหลิงตู้ฉิงจะมีไม้เด็ดอะไรมารับมือกับสถานการณ์นี้หรือไม่ แต่เพื่อความปลอดภัยเขาต้องกลับมายืนปกป้องครอบครัวหลิงที่เหลือเอาไว้ก่อน
ทันใดนั้นก็มีคนตบไหล่เขาและพูดว่า “การบ่มเพาะของเจ้าไม่เลวนี่ เจ้ามาถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 11 แล้ว แต่เจ้าควรจะรอคำแนะนำของนายท่านก่อนที่จะเพิ่มระดับไปยังระดับถัดไปด้วยล่ะ”
กงหยูหันกลับมาและเห็นว่าผู้พูดนั่นคือโม่หยูถัง “เจ้า…พ่อบ้าน?…” กงหยูตะลึงไปชั่วขณะ
โม่หยูถังหัวเราะและพูดว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราหรอก เจ้าควรจับตาดูสิ่งที่นายท่านกำลังจะทำต่อไปนี้ให้ดี ๆ ถ้าเจ้าพลาดขึ้นมา ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องเสียใจไปอีกนาน!”
แม้ว่ากงหยูจะรู้สึกสงสัยในตัวโม่หยูถังเป็นอย่างมาก แต่เขาก็หันหน้าไปมองที่เวที
ในขณะนี้หลิงตู้ฉิงมองไปที่อักขระ ‘ดวงดาว’ ที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างช้า ๆ เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าให้โอกาสเจ้า แต่เจ้าก็ยังดื้อด้านไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็จงตายไปซะ!”
เขาสะบัดหลิงจู้ที่อยู่ในมือเขาพร้อมกับส่งพลังวิญญาณของตนเองเข้าไปที่หลิงจู้ ส่งผลให้เส้นขนของมันยืดยาวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ด้วยพลังวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ในทุกเส้นขน หลิงตู้ฉิงจึงแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ของขนทุกเส้นให้แต่ละเส้นเปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นกระบี่พลังวิญญาณ จนบังเกิดภาพอันน่าอัศจรรย์เป็นกระบี่นับพันเล่มกำลังพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ตอนนี้เส้นขนของหลิงจู้ที่กลายเป็นกระบี่วิญญาณนับพันเล่มได้บินตัดเข้าปะทะผ่าอักขระ ‘ดวงดาว’ จนกระจุย กลายสภาพให้พลังที่อัดแน่นอยู่ในอักขระกระจายหายออกไปทันที
แต่พลังของหลิงจู้ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น กระบี่วิญญาณยังคงพุ่งต่อไป พวกมันทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าและพุ่งเข้าหาหวูชี่คง
หวูชี่คง ซึ่งยังลอยอยู่บนท้องฟ้ามองดูผลของฝนอุกกาบาต เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าฝนอุกกาบาตของเขาจะถูกหลิงตู้ฉิงทำลายลงได้ง่าย ๆ เช่นนี้
จากนั้นเขาพบว่า ‘กระบี่บิน’ กำลังพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว เขากลัวมากจนวิญญาณแทบจะออกจากร่าง เขาโคจรพลังวิญญาณและออกตัวบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
แต่น่าเสียดาย หากเทียบความเร็วของกระบี่เหล่านั้นกับความเร็วของหวูชี่คงนั้นมันถือว่าคนละชั้นกันอย่างสิ้นเชิง
ชั่ววินาทีต่อมาคือ กระบี่วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนได้บินแทงทะลุร่างของหวูชี่คงในอากาศซ้ำไปซ้ำมาจนแทบไม่เหลือแม้แต่เศษซากศพ
ก่อนตาย หวูชี่คงได้แต่เพียงเอ่ยออกมาเพียงคำเดียว “ไม่….” เมื่อจบประโยคร่างของเขาก็ถูกกลืนกินไปด้วยกระบี่วิญญาณ
เมื่อหวูชี่คงตายไป กระบี่วิญญาณก็เริ่มสลายตัว
“ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าข้าจะต้องเรียกใช้หลิงจู้กับพวกคนตระกูลเจิ้น ข้าอุตส่าห์จะเก็บมันไว้ใช้กับคนที่แข็งแกร่งกว่านี้สักหน่อย เสียดายของจริง ๆ!” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยความรังเกียจ
เขาเอาหลิงจู้กลับมาและนำมันเก็บไว้ที่หลังศีรษะของตัวเอง
หลิงจู้ตอนนี้เมื่อกลับไปซ่อนอยู่หลังศีรษะของหลิงตู้ฉิง เส้นขนของมันที่ได้ใช้พลังวิญญาณที่สั่งสมไว้ออกไปเป็นจำนวนมาก เมื่อได้หลอมรวมเข้ากับเส้นผมของหลิงตู้ฉิงมันส่งผลทำให้สีผมของเขาเริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีขาวโพลนราวกับสีผมของคนชรา
ตอนนี้ บรรยากาศในจัตุรัสเงียบราวกับป่าช้า
ทุกคนที่อยู่ในจัตุรัสอ้าปากค้าง สายตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึงเมื่อเผชิญกับภาพที่เกิดขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราถูกฆ่าตายภายในพริบตาเดียว!?
ทุกคนต่างมีคำถามเดียวกันเกิดขึ้นในหัว “นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?”
เมื่อภัยคุกคามจากฝนดาวตกหายไป ทุกคนจึงไม่มีความจำเป็นต้องหนี
ทุกคนที่อยู่บริเวณจัตุรัสมองไปยังหลิงตู้ฉิงเป็นสายตาเดียวกัน
สายตาของพวกเขาได้จ้องมองไปยังชายหนุ่มผมขาวสุดลึกลับ ด้วยอาการตื่นตะลึง
เฮ่อเจี้ยนปิงและหยิงหวูเจี้ยง ทั้งคู่เองต่างจ้องไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาเหม่อลอย หากเทียบความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีความน่ากลัวของระดับขอบเขตรวมแสงดาราที่พวกเขารู้โดยเทียบกับคนทั่วไปนั้น พวกเขามีความเข้าใจชัดเจนมากกว่ามาก
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราตายภายในการโจมตีครั้งเดียวเนี่ยนะ? ไหนจะรวมกับท่าไม้ตายนั่นเข้าไปด้วยอีก พวกเขานึกไม่ออกว่าต้องใช้พลังมากขนาดไหนที่จะสามารถลบทั้งพลังวิญญาณจากท่าไม้ตายและรวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราให้หายไปในการโจมตีเดียว
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับจุดสูงสุดของขอบเขตรวมแสงดาราก็อาจจะไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้
เมื่อเหม่อคิดไปได้สักพัก พวกเขาก็นึกถึงแส้หางม้าที่หลิงตู้ฉิงสะบัดใช้
พวกเขาเริ่มเข้าใจว่าแส้อันนั้นน่าจะเป็นคำตอบว่าทำไมหลิงตู้ฉิงที่อยู่ในขอบเขตควบแน่นลมปราณถึงสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญรวมแสงดาราได้
แล้วว่าแต่แส้หางม้านั่นเป็นสมบัติระดับอะไรกันล่ะ?
แล้วทำไมมันถึงทรงอำนาจถึงขนาดที่ทำให้ขอบเขตควบแน่นลมปราณสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญรวมแสงดาราได้?
สำหรับเฮ่อเจี้ยนปิงเขาไม่เพียงแต่ตกตะลึงอยู่ในใจเท่านั้นแต่ในหัวของเขาได้ตะโกนร่ำร้องออกมาอีกประโยคหนึ่ง ‘อาจารย์ ท่านนี่สุดจะฉลาดเลยที่ให้หลานสาวของท่านมาแต่งงานกับหลิงตู้ฉิงคนนี้!’