พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 896 ปิดล้อมสำนักเงินตรา
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลิงตู้ฉิง ผู้อาวุโสซากศพตวาดกลับด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “เรื่องของสำนักข้าเจ้าไม่ต้องมาแส่! ในเมื่อเจ้าไม่มีอะไรจะสั่งเสียถ้างั้นก็รีบ ๆ ตายไปซะ!”
เมื่อพูดจบ เขาก็สั่งให้ศพยักษ์เทวะทั้งสี่ลงมือโจมตีทันที
แต่ก่อนที่หมัดของศพยักษ์เทวะทั้งสี่จะพุ่งไปถึงตัวของหลิงตู้ฉิง หลิงตู้ฉิงก็หัวเราะขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาและพูดว่า “ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของศพทั้งสี่ของเจ้าจะนับได้ว่าไม่เลวเมื่อพวกมันอยู่ในโลกเบื้องล่าง แต่เจ้าไม่รู้รึไงว่าตัวเจ้าเองที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของพวกมัน! ทัณฑ์ฟ้าดิน!”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงเขวี้ยงง้าวเทวะพินาศหายไปในอากาศ และจากนั้นชั่วพริบตาถัดมาหัวของผู้อาวุโสซากศพก็หลุดออกจากบ่าทันทีพร้อมกับร่างกายและดวงวิญญาณของเขาก็สลายกลายเป็นฝุ่นผง
เมื่อไร้ซึ่งผู้ควบคุม ศพยักษ์เทวะทั้งสี่ก็ถอนการโจมตีและกลับไปยืนนิ่งไม่ขยับแม้เพียงนิ้วเดียว
สีหน้าของเต๋าเทียนเซียะเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันทีเมื่อเห็นภาพเช่นนี้ จากนั้นเขารีบพุ่งตัวหนีกลับไปที่พระราชวังของเขาอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสซากศพนั้นนับได้ว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาจะพึ่งพาได้ แต่ตอนนี้จู่ ๆ กลับถูกสังหารลงอย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร?
แต่โชคยังดีที่สำนักของเขายังคงมีไพ่ลับอื่นซ่อนอยู่อีกอย่าง ดังนั้นเขาจึงต้องรีบกลับไปเตรียมการในทันที
ในเมื่อเจ้าแห่งหายนะมุ่งมั่นที่จะทำลายสำนักของเขาเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสู้ตายเพราะต่อให้เขาเลือกที่จะหนี หลิงตู้ฉิงก็จะตามล่าเขาไปถึงสุดขอบโลกเพื่อฆ่าเขาให้ได้อยู่ดี
และมันก็เหมือนครั้งอื่น ๆ เมื่อทุกคนเห็นทักษะทัณฑ์ฟ้าดินของหลิงตู้ฉิง พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันคืออะไรกันแน่? แม้แต่เย่เจียงไห่เองก็ยังขมวดคิ้วแน่น
ปัญหาของพวกเขานั้นไม่ใช่แค่เพียงพวกเขาไม่เข้าใจแล้วจะปล่อยผ่านไปได้ เพราะถ้าหากพวกเขาไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร หากพวกเขาเผชิญหน้ากับทักษะนี้พวกเขาเองก็หมดสิทธิ์รอดชีวิตเหมือนกัน
เมื่อคิดกันได้เช่นนี้ พวกเขาจึงรู้สึกโล่งใจที่ตัวเองคิดถูกที่อยู่ฝั่งเดียวกับหลิงตู้ฉิง
“น้องเขย ต่อจากนี้พวกเราจะเอายังไงกันต่อ?” เย่เจียงไห่ถามขึ้น “และถ้าพวกเราสามารถใช้ศพทั้งสี่นี้ได้มันจะประหยัดแรงของพวกเราไปได้มากเลยทีเดียว”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ปล่อยพวกมันไว้แบบนี้ไปก่อน การเชื่อมต่อกับพวกมันใช้เวลานานเกินไป ตอนนี้พวกเราต้องมุ่งหน้าต่อเพื่อกวาดล้างอาณาเขตเงินตราให้เสร็จด้วยตัวของพวกเราเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่มากับหลิงตู้ฉิงทั้งหลายต่างก็แยกย้ายกันไปกวาดล้างกลุ่มกองกำลังที่เหลืออยู่ในอาณาเขตเงินตราทั้งหมด
เมื่อไม่มีการสนับสนุนจากสำนักเงินตราสาขาหลัก บรรดาสาขาย่อยทั้งหลายที่กระจายกันอยู่ทั่วอาณาเขตเงินตราก็ถูกกวาดล้างอย่างง่ายดาย ส่งผลให้ทั่วอาณาเขตเงินตรามีแหวนมิติและอาวุธวิเศษระดับต่าง ๆ หล่นเกลื่อนเต็มพื้นไปหมด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญที่มากับหลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้เก็บพวกมันขึ้นมาแม้แต่ชิ้นเดียว หรือต่อให้เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์พวกเขาก็ยังไม่เก็บพวกมันเช่นกัน
สาเหตุที่พวกเขายังไม่เก็บพวกมันก็เพราะก่อนหน้านี้หลิงตู้ฉิงได้ทำการลบล้างกฎแห่งมิติทั่วทั้งอาณาเขตเงินตราเอาไว้ ซึ่งส่งผลให้แหวนมิติของพวกเขาก็ใช้เก็บของไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นหากพวกเขาขืนเก็บอาวุธเหล่านี้ขึ้นมาพวกเขาจะถือมันไว้ที่ไหน?
ในมือของพวกเขาทุกคนนั้นมีอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ไว้ใช้ต่อสู้อยู่แล้ว ถ้าขืนหยิบขึ้นมาอีกพวกเขาคงต้องคาบมันไว้ที่ปากไม่ก็เหน็บมันไว้ที่รักแร้ หรือหาเชือกมามัดพวกมันติดไว้กับตัว ซึ่งถ้าทำเช่นนั้นมันจะเป็นการทำให้พวกเขาต่อสู้ได้ไม่เต็มที่ไปกันใหญ่
ในเวลาเดียวกัน บรรดาผู้คนที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตรอบ ๆ อาณาเขตเงินตราก็เริ่มสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นในอาณาเขตเงินตรา
ข้อแรกพวกเขาสังเกตได้ว่าม่านพลังที่คอยปกป้องอาณาเขตเงินตราอยู่แต่เดิมนั้นมันถูกทำลายจนแหกเป็นรูโหว่ขนาดยักษ์ ข้อที่สองก็คือพวกเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณที่ผันผวนจากการต่อสู้กันอย่างรุนแรงจนมันทำให้พวกเขารู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันผู้หนึ่งรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่เขามี จากนั้นเขาค่อย ๆ บินเข้าไปในอาณาเขตเงินตราเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แน่นอนว่าเมื่อเขาเข้าไปในอาณาเขตเงินตรา เขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพของศพจำนวนไม่นับถ้วน
ใครกันที่กล้าโจมตีอาณาเขตเงินตราแบบนี้? นี่มันไม่ต่างอะไรกับหาเรื่องตายเลยไม่ใช่หรือไง?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นสมบัติวิเศษมากมายที่หล่นเกลื่อนอยู่บนพื้นแถมรอบ ๆ ก็ไม่มีใครอีกต่างหาก เขาจึงอดใจไม่ไหวรีบพุ่งไปหยิบอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้เขาที่สุดทันที
จากนั้นเมื่อเขาได้อาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือแล้วเขาก็รีบบินหนีออกไปอาณาเขตเงินตราอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเขาบินออกไปถึงเหวมรณะและเหลียวหลังไปมองและพบว่าไม่มีใครบินตามมาเอาเรื่องเขา ความโลภก็เริ่มก็เริ่มครอบงำเขาหนักขึ้น
มีอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์หล่นอยู่บนพื้นมากมาย หากเขาบินกลับไปเก็บมันอีกสัก 4-5 ชิ้น เขาก็จะกลายเป็นเศรษฐีเลยไม่ใช่งั้นเหรอ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงรีบเก็บอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้มาแล้วลงไปในแหวนมิติ และรีบบินวนกลับเข้าไปในอาณาเขตเงินตราอีกรอบ
แต่รอบนี้เพราะความโลภเขาจึงกล้ามากขึ้น
รอบนี้เขาพุ่งไปเก็บอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์หลายชิ้นที่หล่นเกลื่อนพื้นอย่างไม่เกรงใจ แต่เมื่อเขาจะยัดพวกมันเข้าไปในแหวนมิติเขากลับพบว่าแหวนมิติของเขาดันใช้ไม่ได้
เขาขมวดคิ้วด้วยความงุนงงอยู่สักพัก แต่จากนั้นเขาก็ไม่สนใจและใช้วิธีเอาแขนโอบอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ 7-8 ชิ้นเอาไว้ใต้รักแร้
แต่แล้วด้วยความโลภ เขาจึงอยากสำรวจต่อไปอีก ซึ่งผ่านไปสักพักเขาก็ได้เจอกับศพยักษ์เทวะสี่ตนที่ยืนตระหง่านอยู่ราวกับภูเขาสี่ลูก
ในวินาทีแรกที่เขาเห็นพวกมัน เขาตกใจจนแทบหัวใจหยุดเต้น แต่เมื่อเขาเห็นว่ายักษ์ทั้งสี่นี้เป็นเพียงแค่ศพที่ยืนอยู่นิ่ง ๆ จากอาณมณ์ที่ตื่นตระหนกจึงกลายเป็นตื่นเต้นแทน
“ร่างกายใหญ่โตขนาดนี้มันจะต้องมีของดี ๆ ซ่อนอยู่ข้างในแน่นอนจริงไหม? ไหนขอข้าเข้าไปดูในห้วงจิตสำนึกของพวกเจ้าสักหน่อยสิว่ามีสมบัติอะไรซ่อนอยู่รึเปล่า!”
เมื่อพูดจบ เขายกอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือชิ้นหนึ่งฟาดลงไปที่หัวของหนึ่งในศพยักษ์เทวะทันทีเพื่อต้องการที่จะเปิดดูว่าในห้วงจิตสำนึกของศพยักษ์เหล่านี้นั้นมีสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งกว่าที่เขาเก็บมาหรือไม่
แต่แล้วในทันทีที่อาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์สัมผัสลงไปที่หัวของศพยักษ์เทวะ มันส่งผลทำให้เจตจำนงของเต๋าที่สถิตอยู่ในร่างของศพยักษ์ตอบโต้กับภัยคุกคามทันที และด้วยคลื่นพลังของเจตจำนงเต๋าที่สถิตอยู่ในร่างของศพยักษ์ ร่างของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันแหลกสลายในทันที แต่ยังโชคดีที่ดวงวิญญาณของเขายังคงเหลือรอดอยู่ ซึ่งเขาก็รีบบินหนีไปในทันที และหวังว่าเขาจะเจอร่างใหม่ที่เหมาะสมพอที่จะให้เขาเข้าไปสิงได้
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่บินหนีไปทั้ง ๆ ที่เหลือแต่ดวงวิญญาณ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก
ในตอนแรกเขาอุตส่าห์ได้อาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์มาหลายชิ้นแล้วแต่กลับโดนความโลภบังตาจนในตอนนี้มันกลายเป็นว่าไม่เพียงแต่เขาจะไม่ได้สมบัติอะไรเลย แต่ร่างกายของเขากลับถูกทำลายไปอีกต่างหาก!
ทางด้านกลุ่มของหลิงตู้ฉิง ในเวลานี้พวกเขาไม่ได้ใส่ใจกับสมบัติที่หล่นเกลื่อนพื้นเลย เนื่องจากพวกเขาต่างรู้ดีว่าหลังจากที่พวกเขาโค่นสำนักเงินตราลงได้แล้ว สมบัติเหล่านี้มันก็จะตกเป็นของพวกเขาอยู่ดี
หลังจากกระจายกำลังกันกวาดล้างราว 1 เดือน ในที่สุดผู้คนของอาณาเขตเงินตรายกเว้นที่ยังอยู่ในสำนักเงินตราสาขาหลักก็ตายจนหมดไม่มีเหลือ
จากนั้นครึ่งเดือนต่อมา บรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิที่หลิงตู้ฉิงชวนมาทั้งหมดก็มารวมตัวกันจนครบที่หน้าสำนักเงินตรา ซึ่งในเวลานี้รอบ ๆ สำนักเงินตรานั้นมีม่านพลังสีทองอร่ามล้อมอยู่รอบด้านจนไม่มีใครสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในได้
“ม่านพลังนี้เกิดขึ้นจากพลังแห่งความมั่งคั่งของสำนักเงินตรา ซึ่งข้าเองก็จนปัญญาที่จะทำลายมันเหมือนกัน” เย่เจียงไห่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจนใจ “อย่างมากที่สุดพลังเพลิงของข้าก็คงทำลายมันได้บางส่วน แต่สำหรับแกนหลักของม่านพลังนี้ข้าคงทำอะไรมันไม่ได้”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “อืม พลังเพลิงของเจ้านั้นทำลายได้ แต่สิ่งที่มีตัวตนอยู่จริงมันไม่สามารถทำลายพลังที่บังเกิดขึ้นจากความปรารถในใจมนุษย์ได้ ข้อนี้ข้ารู้แต่แรกแล้ว แต่ในเมื่อข้าพาพวกเราทุกคนมาโจมตีแบบนี้มีหรือที่ข้าจะไม่เตรียมตัวมา? ท่านพ่อตา ตอนนี้มันถึงตาท่านลงมือแล้ว!”
หลิงตู้ฉิงหันไปส่งสัญญาณให้กับมี่ตั้วตั้วเมื่อพูดจบ
มี่ตั้วตั้วพยักหน้า “เจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน ท่านใช้พลังเพลิงของท่านเผาม่านพลังนี้ก่อนได้เลย จากนั้นที่เหลือปล่อยให้ข้าเป็นคนจัดการเอง!”