พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 9 ใครเป็นคนล้อเล่น[รีไรท์]
บทที่ 9 ใครเป็นคนล้อเล่น[รีไรท์]
ตัวของเขาเองที่เคยอยู่บนจุดสูงสุดของผู้เชี่ยวชาญยังสับสนว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
บุตรชายคนโตของเขาก็มีสายเลือดทรราชย์สวรรค์ บุตรสาวคนเล็กสุดก็มีสายเลือดฟีนิกซ์เพลิงสวรรค์
ทำไมเด็กน้อยสองคนนี้ถึงได้กลายมาเป็นเด็กกำพร้าและได้กลายมาเป็นบุตรบุญธรรมของเขากัน?
หลิงตู้ฉิงถึงกับเหม่อไปชั่วขณะ จากนั้นจึงพูดกับหลิงไช่หยุนอย่างเอ็นดูว่า “ลูกรักเป็นเด็กดีนะ คืนนี้เจ้านอนคนเดียวก่อน เดี๋ยวพ่อขอไปดูพี่ ๆ ของเจ้าก่อน”
หลิงตู้ฉิงต้องการที่จะไปทดสอบกับลูก ๆ ทุกคนของเขาว่าผลที่ออกมาของสายเลือดแต่ละคนจะเป็นเช่นไร
หลิงไช่หยุนพยักหน้าอย่างว่าง่าย
หลังจากหลิงตู้ฉิงเดินจากไปแล้วหลิงไช่หยุนได้จ้องดูรอยหยดเลือดที่นิ้วของตนเองและได้พึมพำ “สายเลือดนกฟีนิกซ์เพลิงสวรรค์…ชื่อนี้มันฟังดูเยี่ยมจังเลย!”
หลิงตู้ฉิงรีบเดินไปยังห้องของบุตรสาวคนที่สองของเขาทันที
เวลาผ่านไปสักพัก…
หลิงตู้ฉิงได้ออกมาจากห้องของบุตรสาวคนที่สองพร้อมกับสีหน้าหน้างุนงง จากนั้นจึงได้เดินไปยังห้องของบุตรคนอื่น ๆ จนครบทุกคนเพื่อเก็บตัวอย่างหยดเลือด เมื่อได้หยดเลือดจนครบหมดทุกคนแล้วเขาจึงรีบกลับไปที่ห้องของตนเองเพื่อทำการตรวจสอบสายเลือดของบุตรชายและหญิงของเขาทุกคน…
“ใครมันกล้าล้อเล่นกับข้าแบบนี้กัน!” ตามหลักการแล้วการกลับชาติมาเกิดใหม่ของเขานอกจากสวรรค์เบื้องบนแล้วก็ไม่ควรที่จะมีใครรู้การกลับมาเกิดของเขาอีก “หรือสวรรค์กำลังล้อเล่นอะไรข้าอยู่?” หลิงตู้ฉิงนอนมองเพดานด้วยสายตาสับสน
หลังจากที่เขาทำการทดสอบบุตรทุกคนแล้วผลที่ออกมามันทำให้รู้สึกพูดไม่ออก บุตรชายคนโตมีสายเลือดทรราชย์สวรรค์ บุตรคนที่สองมีร่างกายวิถีนภาคราม บุตรคนที่สามมีร่างกายเซียนมายา บุตรคนที่สี่สายเลือดแห่งมังกรสงคราม บุตรคนที่ห้าสืบสายเลือดจ้าววิญญาณมิติอ้างว้าง บุตรคนที่หกมีสายเลือดของมหาจักรพรรดิโบราณ บุตรคนที่เจ็ดมีสายเลือดของนกฟินิกซ์เพลิงสวรรค์
เมื่อผลออกมาเป็นแบบนี้ต่อให้หลิงตู้ฉิงโง่แค่ไหนก็ยังเดาได้ว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากลแต่เขาก็ยังเดาไม่ได้ว่าใครเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
และยิ่งไปกว่านั้นสายเลือดของบุตรบางคน อย่างเช่นบุตรชายคนโตของเขาที่มีสายเลือดทรราชย์สวรรค์หากไม่ทำการปลุกสายเลือดด้วยวิธีการพิเศษโดยเฉพาะแล้วบุตรของเขาก็ยังเป็นแค่คนธรรมดาต่อไป ไม่ได้แกร่งกล้าหรือพิเศษไปกว่าคนปกติ
แต่นี่…เด็กเหล่านี้กลับมาอยู่ในการดูแลของเขา ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถที่จะฝึกฝนเด็กเหล่านี้ให้เป็นยอดคนได้นี่มันแปลกมากเกินไป!
เมื่อหลิงตู้ฉิงครุ่นคิดอยู่สักพักจึงตัดสินใจว่าจะพักเรื่องนี้ไปก่อนเพราะยังไงเสียเด็ก ๆ เหล่านี้ในตอนนี้ก็ได้เป็นบุตรของเขาแล้ว เขาตั้งใจว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่วางแผนการนี้ไว้ให้เขาตกหลุมพรางอะไรไว้อย่างไรเขาจะไม่สนเขาจะสอนและฝึกฝนบุตรชายและหญิงของเขาให้ดีที่สุด และต่อให้หลุมพรางมันจะแยบยลสักเพียงใดก็เพียงรอให้เขามีพลังอันแก่กล้าดังเดิมเช่นเดียวกับชาติที่แล้วต่อให้สวรรค์วางหลุมพลางเขา เขาก็ไม่เกรงกลัว
วันต่อมา
หลิงตู้ฉิงตื่นแต่เช้าเพื่อร่างแบบฝึกฝนให้กับบุตรทุกคนของเขา
บนโลกนี้นอกจากหลิงตู้ฉิงคงไม่มีใครเหมาะที่จะเป็นผู้ฝึกฝนเด็กเหล่านี้อีกแล้วเพราะเขาเคยขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของการบ่มเพาะ ขาดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็จะบรรลุไปถึงระดับนิรันดร์กาล
ระหว่างที่หลิงตู้ฉิงกำลังคิดถึงแบบฝึกฝนของบุตรอยู่นั้น พวกเด็กที่โตแล้วก็ออกไปนอกเรือนเพื่อพยายามที่จะหางานรับจ้างเล็กน้อยเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของตระกูล เด็ก ๆ รู้ดีว่าในตอนนี้สถานการณ์ทางการเงินของตระกูลกำลังย่ำแย่
จะเหลือแต่เพียงบุตรสามคนที่อายุน้อยที่สุดยังวิ่งเล่นอยู่ในบ้านเพราะพวกเขายังเด็กเกินไปที่จะหางานทำ หลิงไช่หยุนตอนนี้ซุกอยู่ในวงแขนของหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปยังบุตรอันแสนประหลาดของเขาที่ยังอยู่ในอ้อมแขน จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงเริ่มสอนเคล็ดวิชาพลังชีพหวนคืนให้จ้าวเหมิงลู่ใหม่อีกครั้ง ด้วยเนื้อหาที่ถูกปรับแต่งที่เข้าใจง่ายกว่าเดิม แน่นอนว่าหลิงไช่หยุนก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ รวมไปถึงหลิงฟ่างหัวและหลิงยี่เทียน ซึ่งก็กำลังตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ
หลิงตู้ฉิงที่กำลังสอนจ้าวเหมิงลู่อยู่นั้นไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเด็ก ๆ ที่กำลังตั้งใจฟังอยู่ด้วย เพราะทักษะวิชาพลังชีพหวนคืนนั้นยังไงซะทุกคนก็จะต้องได้ฝึกมันอยู่แล้ว มันเป็นวิชาเพื่อใช้เสริมสร้างและฟื้นฟูความเสียหายของร่างกายระดับพื้นฐานที่มีแต่คุณไม่มีโทษใด ๆ ในการเรียนรู้
จ้าวเหมิงลู่หลังจากศึกษาและเรียนรู้จากหลิงตู้ฉิงมาทั้งวัน ในที่สุดนางก็สามารถเข้าใจเคล็ดของวิชาได้ จากนั้นนางจึงเริ่มฝึกโคจรพลังวิญญาณตามที่ระบุในเคล็ด ‘วิชาพลังชีพหวนคืน’
เมื่อลองโคจรไปได้สักพักนางจึงลืมตาขึ้นและพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้าทำได้แล้ว ข้าเริ่มที่จะฝึกมันได้แล้ว!”
หลิงตู้ฉิงกับหลิงไช่หยุนมองหน้ากัน สองพ่อลูกกลอกตาไปมา แม้กระทั่งหลิงฟ่างหัวและหลิงยี่เทียนก็ยังมองจ้าวเหมิงลู่ด้วยสายตาแปลก ๆ
หลิงตู้ฉิงพูด “เมื่อเจ้าเริ่มที่จะฝึกได้แล้ว เจ้าก็ต้องทำตามสัญญาคือมอบเหรียญทองให้กับข้า! ไม่เช่นนั้นลูก ๆ ของข้าคงจะไม่มีข้าวกินและยังคงต้องออกจากเรือนเพื่อไปหารายได้มาเลี้ยงชีพ”
จ้าวเหมิงลู่พยักหน้าอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “เมืองฟีนิกซ์แห่งนี้ยังไงก็ต้องมีธนาคารปิงปิงตั้งอยู่ใช่ไหม พวกเรารีบไปธนาคารปิงปิงแล้วให้ท่านเปิดบัญชีเหรียญทอง แล้วข้าค่อยโอนเงินให้ท่านกันเถอะ”
นางรู้ว่าตัวเองได้เรียนรู้เคล็ดวิชาอันล้ำค่า นางรู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่ไหลผ่านร่างกายของนางได้ราบลื่นขึ้น
เมื่อนางนึกย้อนไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่นางเจอเขา ชายผู้นี้ไม่เพียงแต่จะสอนวิชาย่อส่วนลึกลับให้นาง แต่เขายังสอนวิชาเกี่ยวกับฟื้นฟูร่างกายที่นับได้ว่ามหัศจรรย์อีกวิชาหนึ่งให้กับนางอีก ทำไมชายผู้นี้ถึงมีน้ำใจกับมากนัก?
เป็นไปได้ไหมที่เขาจะตกหลุมรักข้า?
เขามีบุตรตั้ง 7 คนแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยพูดหรือเอ่ยถึงแม่ของเด็ก ๆ เหล่านี้เลยหรือว่านี่มันเป็นกลลวงที่เขาพยายามจะทำให้นางยอมเป็นของเขาโดยไม่มีข้อแม้ใช่ไหม?
จ้าวเหมิงลู่มีความรู้สึกขัดแย้ง
ความลึกลับและความหยั่งรู้ของหลิงตู้ฉิงทำให้นางเคารพเขาจากใจ อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถยอมรับสถานะคนมีคู่ครองแล้วของหลิงตู้ฉิงได้เลย
หลังจากนั้นนางก็ตามหลิงตู้ฉิงไปที่ธนาคารเพื่อเปิดบัญชีเหรียญทองของเขา
แต่เมื่อถึงเวลาถ่ายโอนเหรียญทองนางได้โอนเงิน 100,000 เหรียญทองให้กับหลิงตู้ฉิงแทน เพราะนางรู้สึกว่านั่นเป็นวิธีเดียวที่จะตอบแทนความมีน้ำใจของเขาได้ ส่วนความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งแบบนั้น…นางยังไม่อยากจะคิดถึงมันในตอนนี้!
หลิงตู้ฉิงไม่ปฏิเสธเงินที่ได้เกินมา 40,000 เหรียญทองเขาแจ้งถอนพวกมันมาจากธนาคารทั้งหมดและเขาจึงนำเหรียญทั้ง 100,000 เหรียญฝากไว้ในแหวนมิติของจ้าวเหมิงลู่ก่อน
เนื่องจากจ้าวเหมิงลู่ได้ให้เงินมาเกิน ในเวลานี้มุมมองของเขาต่อจ้าวเหมิงลู่นั้นได้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีมากขึ้น
“ตอนนี้เราจะทำอะไรกันต่อ?” จ้าวเหมิงลู่ถาม
“ข้าคิดว่าข้าบอกเจ้าแล้ว” หลิงตู้ฉิงพูด “ตอนนี้ข้าจะไปที่หอการค้าและร้านสมุนไพรต่าง ๆ เพื่อซื้อของบางอย่าง”
“ข้าจะให้ประโยชน์กับเจ้าสักหน่อยสำหรับทองที่เจ้าให้มาเกิน!” หลิงตู้ฉิงคิดกับตัวเอง
จ้าวเหมิงลู่พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก “ใช่แล้ว ข้าจำได้ว่าท่านบอกว่าต้องการจะหลอมโอสถ นี่ท่านหลอมโอสถเป็นด้วยงั้นเหรอ?”
“ก็แค่การหลอมโอสถ ข้าทำอะไรได้มากกว่านั้นอีกตั้งเยอะ” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นมาอย่างง่าย ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจ้าวเหมิงลู่จึงรีบถาม “ข้าขอถามท่านได้ไหมว่าทำไมท่านถึงมีความรู้มากมายขนาดนี้?”
หลิงตู้ฉิงกลอกตาของเขา “เฮ้อ…ทำไมเจ้าถึงต้องถามคำถามไร้สาระเช่นนี้กัน เจ้าถามอะไรที่มันเป็นประโยชน์กว่านี้ได้ไหม?”
จ้าวเหมิงลู่พูดไม่ออก นางรู้สึกว่าทำไมทุกครั้งที่นางคุยกับคน ๆ นี้นางถึงรู้สึกตกเป็นรองอยู่ตลอดเวลา และที่น่าแปลกที่สุดก็คือนางยอมตกเป็นรองด้วยความเต็มใจอีกต่างหาก
“งั้น…ข้าขอถามท่านเกี่ยวกับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ได้ไหม?” จ้าวหมิงลู่พูดอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะสอนเคล็ดวิชาให้กับนางไปแล้วสองแบบ แต่คำแนะนำเรื่องศิลปะการต่อสู้นี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง
หลิงตู้ฉิงไม่ตอบแต่จ้องมองจ้าวเหมิงลู่
ใบหน้าของจ้าวเหมิงลู่แดงในขณะที่นางพูดด้วยน้ำเสียงคาดหวัง “ตอนนี้การบ่มเพาะของข้าอยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปรานระดับ 3 แต่ข้ารู้สึกว่าอัตราการเพิ่มพูนของพลังวิญญาณข้าเริ่มช้าลงและช้าลงราวกับว่าข้าได้พบคอขวด แต่…”
“แต่เจ้าคิดว่าด้วยพรสวรรค์และความสามารถของเจ้า เจ้าไม่ควรติดคอขวดในเวลานี้ใช่ไหม?” หลิงตู้ฉิงพูดอย่างหงุดหงิด
“ใช่ ใช่ ใช่แล้ว! มีอะไรที่ท่านจะสามารถช่วยข้าได้บ้างไหม?” จ้าวเหมิงลู่พยักหน้าอย่างรีบร้อน
หลิงตู้ฉิงประเมินจ้าวเหมิงลู่ “เจ้ายังไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเลยใช่ไหม? เอาเป็นว่าให้ข้าทุบตีเจ้าจนเจ็บหนักหลังจากกลับที่เรือนเป็นไง?”