พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 904 หลากสำนักหลายอารมณ์
เฉกเช่นเดียวกับสันเขาหมื่นอสูร หลาย ๆ กองกำลังตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกเมื่อพวกเขาได้รับข่าวตัวตนที่แท้จริงของหลิงตู้ฉิง
กองกำลังเหล่านี้ที่กำลังอยู่ในอาการตื่นตระหนกนั้นมีสถานภาพคล้ายกับสำนักวายุคลั่ง ซึ่งก็คือพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากเผ่าอสูร
พวกเขาทั้งหลายต่างเริ่มร้องขอความช่วยเหลือไปต่อเผ่าอสูร แต่เผ่าอสูรในขณะนี้ก็กำลังอยู่ในอาการตื่นตระหนกเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากหนี หรือไม่ก็ยุบสำนัก หรือไม่ก็ย้ายคนของพวกเขาทั้งหมดไปอยู่ที่สันเขาทรราช
ในเวลาเดียวกัน ทางด้านของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ หนานกงซ่งหยวนรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อเขาได้รู้ข่าวว่าแท้จริงแล้วหลิงตู้ฉิงเป็นใครกันแน่
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อในอดีตตอนที่เขาได้พบกับหลิงตู้ฉิง และในตอนท้ายหลานของเขากลับได้เป็นศิษย์ในนามของหลิงตู้ฉิง
หนานกงซ่งหยวนขมวดคิ้วแน่น จากนั้นเขาเดินไปหาหนานกงหลิง ซึ่งกำลังบ่มเพาะอยู่ จากนั้นเขาจึงอธิบายตัวตนของหลิงตู้ฉิงว่าแท้จริงแล้วเป็นใครให้กับหลานของเขาได้รู้ จากนั้นเขาพูดว่า “อาจารย์ของเจ้ากับตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ของเราเคยมีความบาดหมางที่ฝังลึกกันมาก่อน ซึ่งตอนนี้ยังโชคดีที่ยังมีคนไม่มากนักที่รู้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ของเขา แต่เรื่องนี้มันคงปิดไม่ได้นานนักหรอกสักวันหนึ่งจะต้องมีคนรู้แน่นอน ดังนั้นเจ้าควรจะรีบคิดตั้งแต่ตอนนี้ว่าเมื่อถึงเวลาเจ้าควรจะทำยังไงต่อ”
หนานกงหลิงครุ่นคิดสักพักและตอบว่า “อาจารย์ของหลานเคยพูดเอาไว้ว่าตราบใดที่ตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ของเราไม่ไประรานเขา เขาก็จะไม่มายุ่มย่ามอะไรกับเรา ซึ่งจากที่ข้าเข้าใจ ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ของเราคงไม่มีใครโง่พอที่จะไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับท่านอาจารย์ของข้าจริงไหมท่านปู่?”
หนานกงซ่งหยวนถอนหายใจและพูดขึ้น “หากเป็นบรรดาคนรุ่นหลังคงไม่มีใครกล้าแน่ แต่สำหรับบรรพบุรุษเฒ่าบางคนที่มีนิสัยหุนหันพลันแล่นมันก็ไม่แน่เหมือนกัน”
หนานกงหลิง เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็เงียบไปพักใหญ่ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่นอน ท่านปู่ข้าคงต้องออกไปจากสำนักสักพัก!”
“เจ้าเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สมบูรณ์(ขอบเขตสวรรค์ระดับ 8) หากเกิดเรื่องขึ้นจริงเจ้าเองก็ไม่มีความแข็งแกร่งพอจะแทรกแซงได้หรอก” หนานกงซ่งหยวนหัวเราะอย่างขมขื่น “ว่าแต่เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้ากำลังจะเดินทางไปที่อาณาจักรจันทราตอนนี้?”
หนานกงหลิงส่ายหัว “ท่านปู่ข้าไม่ได้จะไปที่อาณาจักรจันทรา ระดับการบ่มเพาะของข้าอยู่ในระดับเท่านี้ข้าไม่มีหน้าพอไปพบกับท่านอาจารย์หรอก เหตุผลที่ข้าอยากจะจากไปนั้นเป็นเพราะข้าต้องการออกไปหาประสบการณ์เพิ่มเติมเพื่อให้ข้าทะลวงขอบเขตไปยังขอบเขตราชันให้เร็วที่สุด เพราะข้ามั่นใจว่าถ้าหากข้ากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันแล้วอย่างน้อย ๆ ทุกคนคงจะฟังข้าบ้าง”
อันที่จริงหนานกงหลิงวางแผนมานานแล้วว่าเขาจะไปที่ตำหนักเซียนมืดเพื่อบ่มเพาะร่างธาตุมืดของเขา เพราะตอนนี้เขาบ่มเพาะร่างธาตุแสงสำเร็จแล้วเหลือเพียงก็แต่ร่างธาตุมืด ซึ่งต้องบ่มเพาะให้สำเร็จเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีวันทะลวงขอบเขตขึ้นไปยังขอบเขตราชันได้แน่นอน
แต่ความตั้งใจนี้ที่หนานกงหลิงจะไปที่ตำหนักเซียนมืดนั้นเขาเองไม่สามารถบอกใครได้เช่นกัน เพราะถ้าหากคนอื่น ๆ รู้พวกเขาจะมองว่าเขาเป็นคนทรยศทันที ซึ่งแม้แต่ปู่ของเขาเองเขาก็ไม่กล้าบอก
หลังจากคุยกับหนานกงซ่งหยวน หลายวันต่อมาหนานกงหลิงก็เดินทางออกจากตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์เพื่อมุ่งไปที่ตำหนักเซียนมืด
ส่วนทางด้านของตำหนักเทพยุทธ์
เมื่อกวนหลิงอู่กลับไปที่ตำหนักเทพยุทธ์ เขารีบเรียกคนของเขาทุกคนให้มารวมกันในทันที และประกาศเรื่องการล่มสลายของอาณาเขตเงินตรา ซึ่งคนในสำนักของเขาบางคนเมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็แสดงสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ก็มีบางคนที่แสดงสีหน้าโล่งใจเช่นกัน
แน่นอนว่าบรรดาผู้คนที่แสดงสีหน้าโล่งใจนั้นคือบรรดาคนที่ติดค้างสำนักเงินตราเอาไว้ และเมื่อตอนนี้สำนักเงินตราถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นหนี้ที่พวกเขาเคยจำเป็นต้องจ่ายมันก็ถือว่าจบสิ้นทั้งหมด
เมื่อเห็นสีหน้าอันหลากหลายของคนของเขาเอง กวนหลิงอู่หัวเราะและพูดว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าบางคนนั้นมีความสัมพันธ์กับสำนักเงินตรา และถ้าจะให้พูดตามตรงข้าเองก็เคยติดต่อกับพวกเขาเหมือนกัน แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดล้วนตายไปแล้ว และการตายของพวกเขาก็มีผลดีกับพวกเรามากเช่นกัน เพราะเนื่องจากข้าได้มีส่วนร่วมในการโจมตีอาณาเขตเงินตรา ดังนั้นข้าจึงได้ส่วนแบ่งมาเป็นจำนวนมาก เอาไว้หลังจากนี้ข้าจะพิจารณาผลงานของพวกเจ้าที่มีต่อสำนักอีกทีเพื่อตัดสินใจว่าพวกเจ้าคนไหนที่ข้าควรจะมอบอาวุธที่ได้มาจากสำนักเงินตราระดับใดให้ แต่ที่แน่ ๆ ข้าตั้งใจว่าอย่างน้อย ๆ พวกเจ้าทุกคนจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเหรียญผลึกจักรพรรดิคนละ 10,000 เหรียญแน่นอน”
“บรรพบุรุษ ท่านได้รับเหรียญผลึกจักรพรรดิมาเยอะขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?” ใครบางคนเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ เพราะตำหนักเทพยุทธ์นั้นมีสมาชิกอยู่หลายพันคน ซึ่งถ้าหากกวนหลิงอู่จ่ายพวกเขาทั้งหมดมันก็เป็นจำนวนหลายสิบล้านเหรียญ!
กวนหลิงอู่หัวเราะและตอบกลับ “แน่นอนว่าข้ามี! เอาแค่เหรียญผลึกจักรพรรดิอย่างเดียวที่ข้าได้รับเป็นส่วนแบ่งมามันก็มีจำนวนถึง 100 ล้านเหรียญแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้พวกเราทั้งหมดจะสามารถจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น”
บรรดาผู้คนของตำหนักเทพยุทธ์เมื่อได้ยินเช่นนี้พวกเขาต่างก็ตะโกนโห่ร้องกันด้วยความดีใจ เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ต้องใช้หนี้อีกต่อไป พวกเขายังได้รับเงินอีกแถมสำนักของพวกเขาตอนนี้ก็รวยขึ้นอีกต่างหาก
กวนหลิงอู่มองไปที่ผู้คนของเขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “เหรียญผลึกจักรพรรดิที่เหลือทั้งหมดหลังจากแจกจ่ายแล้วข้าจะเอาพวกมันไปเก็บไว้ในคลังของสำนักเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในอนาคต อ๋อและอีกอย่างพวกเจ้าทุกคนจำเอาไว้ด้วยว่าอีก 10 ปีถัดจากนี้พวกเจ้าจะต้องเตรียมตัวไปที่อาณาจักรจันทรา เพื่อเป็นสักขีพยานต่อการขึ้นสู่โลกเบื้องบนของผู้เชี่ยวชาญคนแรกของยุคนี้”
ไม่ใช่แค่เพียงตำหนักเทพยุทธ์เท่านั้นที่กำลังรู้สึกเบิกบาน สำนักอื่น ๆ เช่น สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ สำนักเต๋าสวรรค์ สำนักกระบี่เอกภพ และสำนักอื่นที่เข้าร่วมการโจมตีทั้งหมดต่างก็รู้สึกเบิกบานเป็นอย่างมากเช่นกันกับส่วนแบ่งที่พวกเขาได้รับ
อย่างไรก็ตามสันเขาทรราชกลับไม่รู้สึกยินดีกับข่าวนี้สักเท่าไหร่ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้เลย
พวกเขาพลาดโอกาสที่จะร่ำรวยเพราะหลิงตู้ฉิงไม่ได้ชวนพวกเขา ซึ่งพวกเขาก็เข้าใจเช่นกันว่าทำไมตัวเองถึงไม่ถูกชวน
ในเวลานี้สถานการณ์ภายในของสันเขาทรราชนั้นยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขามีการแบ่งกลุ่มกันอย่างชัดเจน 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกก็คือกลุ่มคนที่ยินดีติดตามหลิงยู่ชานออกไปต่อสู้ยึดครองอาณาเขตให้กับอาณาจักรจันทรา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือเหล่าคนที่สนับสนุนเทียนเก๋อ
เทียนซ่ง ซึ่งเป็นบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดของสันเขาทรราชเมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้เขาก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความหนักใจ
ทั้งหลิงยู่ชานและเทียนเก๋อต่างเป็นสุดยอดอัจฉริยะด้วยกันทั้งคู่ หากพวกเขาสามารถจับมือกันได้อนาคตของสันเขาทรราชจะต้องรุ่งโรจน์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ตอนนี้พวกเขากลับมีความขัดแย้งกันจนถึงจุดที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้ มันจึงกลายเป็นเหมือนโศกนาฏกรรมของสันเขาทรราชที่ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้
และที่สำคัญไปกว่านั้น หากเมื่อไหร่ที่หลิงยู่ชานและเทียนเก๋อปะทะกันขึ้นมา ด้วยสถานะของหลิงยู่ชานที่เป็นลูกของหลิงตู้ฉิง ซึ่งถ้าเกิดอะไรกับหลิงยู่ชานเช่นได้รับบาดเจ็บ คนที่จะซวยนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจะเป็นเหล่าผู้คนของสันเขาทรราชเอง
อันที่จริงเทียนซ่งเคยแอบไปหาทั้งหลิงยู่ชานและเทียนเก๋อ เพื่อขอให้คนทั้งคู่ประนีประนอมกันแล้วเช่นกัน แต่เขาก็ได้รับคำตอบมาจากทั้งคู่ว่า คนทั้งคู่ต้องการที่จะสะสางปัญหานี้ด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามด้วยความกังวล เทียนซ่งจึงอดไม่ได้ที่จะเดินทางไปหาหลิงตู้ฉิงเช่นกันเพื่อขอคำปรึกษา ซึ่งเขาก็ได้รับการตอบกลับจากหลิงตู้ฉิงมาว่าตราบใดที่ไม่มีคนอื่นแทรกแซงความขัดแย้งระหว่างหลิงยู่ชานและเทียนเก๋อ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเกิดอะไรขึ้นกับหลิงยู่ชาน หลิงตู้ฉิงก็จะไม่ติดใจเอาความกับสันเขาทรราชเช่นกัน
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินเช่นนี้ เทียนซ่งจึงรู้สึกโล่งอกและทำได้แต่คอยมองดูผลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต