พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 959 ตำหนักเซียนมืด
หลังจากสังหารตี้จ้างเสร็จแล้ว หลิงตู้ฉิงจึงยกเลิกการควบคุมกังหันยักษ์ และทำให้มันหายไป ส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างของโลกภายนอกกลับมาอยู่ในสภาวะปกติเหมือนเดิม
ส่วนบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เมื่อครู่ได้ปลดปล่อยความรู้สึกอาฆาตของตัวเอง เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติพวกเขาก็สัมผัสได้ว่าจิตใจของพวกเขาปลอดโปร่งมากยิ่งขึ้นแถมยังรู้สึกเป็นมิตรกับสิ่งต่าง ๆ รอบกายมากขึ้นกว่าเดิม
หลายคนที่กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายก็หยุดการต่อสู้ลง หลายอาณาจักรที่กำลังรบกันต่างก็พากันถอยทัพ แม้แต่การรบที่สันเขาหมื่นอสูรก็ไม่รุนแรงมากเท่าเดิม
แต่ถึงแม้ความรู้สึกอาฆาตจะน้อยลง แต่กองทัพพันธมิตรก็ยังคงล้อมสันเขาหมื่นอสูรเอาไว้เหมือนเดิม เพราะพวกเขามีเหตุผลที่มากพอในการที่พวกเขาต้องฆ่าล้างอสูรพวกนี้ให้ได้
ในเวลานี้หลังจากฆ่าตี้จ้างไปเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงเก็บอำนาจเต๋าสิบกว่ารูปแบบที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งเขาจงใจให้กังหันยักษ์เหลือพวกมันเอาไว้รวมไปถึงพลังวิญญาณบริสุทธิ์ส่วนหนึ่งที่เขาก็เหลือไว้เช่นกัน เพื่อใช้สำหรับเพิ่มระดับการบ่มเพาะของตัวเขาเอง
ในเวลาไม่นาน หลิงตู้ฉิงก็ดูดซับพลังวิญญาณบริสุทธิ์จนหมด ซึ่งมันทำให้ระดับการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นไปอยู่ขอบเขตราชันขั้นสูง แต่แล้วจากนั้นต่อมาไม่นานบนหัวของเขาก็มีแสงสีทองส่องประกาย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเขาได้รับรางวัลจากสวรรค์อีกรอบจากการสร้างคุณประโยชน์ให้กับโลกและสวรรค์
แน่นอนว่ารางวัลครั้งนี้ ง้าวพินาศเทวะก็ได้รับเหมือนเดิมเช่นกัน
แต่หลิงตู้ฉิงกลับไม่เลือกที่จะดูดซับพลังที่ได้จากสวรรค์ เขาโบกมือส่งพลังสวรรค์มอบให้กระจายไปหลอมรวมกับโลกและพูดว่า “ข้าได้รับประโยชน์ไปมากพอแล้ว และอีกอย่างหากไม่ใช่เพราะเจ้าช่วยเกื้อหนุนข้า ข้าก็คงไม่สามารถสำแดงอำนาจของวิชาข้าได้ด้วยระดับการบ่มเพาะที่ต่ำต้อยของข้าตอนนี้ ขืนข้ารับรางวัลนี้อีกข้าคงต้องติดค้างเจ้าไปอีก”
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนสังหารตี้จ้างลงได้ แต่เขาก็ได้รับส่วนแบ่งไปแล้ว ซึ่งก็คือเต๋าสิบกว่ารูปแบบรวมไปถึงพลังวิญญาณบริสุทธิ์จำนวนมาก ซึ่งมันทำให้ระดับการบ่มเพาะของเขาพัฒนาขึ้นไปอีก
เมื่อได้รับประโยชน์ไปแล้วขนาดนี้เขาจึงไม่อาจรับเพิ่มได้อีก
รางวัลหรือประโยชน์บางอย่างมันก็ไม่ควรที่จะหลับหูหลับตารับมาเพียงอย่างเดียว เพราะมันจะกลายเป็นผลเสียหากได้รับมามากเกินไป
หลังจากจัดการเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลิงตู้ฉิงก็บินออกจากเหวมรณะทันที ซึ่งเมื่อเขาออกจากเหวมรณะเขาก็ได้รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ทางเหนือของภูมิภาคซ่งหยวน
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความมืดอันหนาแน่นที่รายล้อมอยู่รอบกาย หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นี่ข้าอยู่ในอาณาเขตแห่งความมืดงั้นเหรอ?”
อันที่จริงไม่ใช่แค่เพียงเขาอยู่ในอาณาเขตแห่งความมืด แต่เขายังโผล่มาใกล้ ๆ กับที่ตั้งของตำหนักเซียนมืดอีกต่างหาก
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตำหนักเซียนมืด ซึ่งทำหน้าที่คอยลาดตระเวนดูแลบริเวณรอบ ๆ เห็นการปรากฏกายของหลิงตู้ฉิงทันที เขารีบตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าดุดัน “เจ้าเป็นใคร…”
แต่แล้วเมื่อเขาจ้องดูดี ๆ และได้รู้ว่าคนที่เขากำลังเผชิญหน้าด้วยอยู่คือหลิงตู้ฉิง เขาอุทานขึ้นเสียงดังอย่างควบคุมไม่ได้ทันที “ไม่ไม่ไม่ไม่! เป็นไปได้ไม่ได้! ทุกคนเทพมรณะบุก!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นของของพวกตัวเอง ทั้งตำหนักเซียนมืดก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย บรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน ขอบเขตจักรพรรดิ ขอบเขตมหาจักรพรรดิ ต่างกรูกันบินออกจากตำหนักเซียนมืดตั้งท่ารับมือกับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงตู้ฉิงประหลาดใจมากไปกว่านั้นก็คือ ในบรรดาผู้คนจำนวนมากของตำหนักเซียนมืดมีคนอยู่ผู้หนึ่งที่เป็นผู้สำเร็จเต๋า
“โอ้เจ้าเองเหรอที่เป็นผู้สำเร็จเต๋าคนที่สาม?” หลิงตู้ฉิงมองไปที่ผู้สำเร็จเต๋าของตำหนักเซียนมืด
ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้มีผู้สำเร็จเต๋าปรากฏขึ้น 4 คนเท่านั้น คนแรกคือจางจิงหง คนต่อมาคือ เย่เจียงไห่ ส่วนคนที่ 4 ก็คือ ซวนหยวน
หลิงตู้ฉิงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคนที่สามนั้นคือคนของตำหนักเซียนมืด
ผู้สำเร็จเต๋าของตำหนักเซียนมืดพยักหน้าและตอบกลับ “ถูกต้องแล้วข้าคือคนที่สามที่สำเร็จเต๋าในยุคนี้!”
ท่าทางการตอบของเขานั้นดูไม่เกรงกลัวหลิงตู้ฉิงแม้แต่น้อย ซึ่งในฐานะที่เขาสามารถเป็นผู้สำเร็จเต๋าคนที่สามมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะมีความมั่นใจขนาดนี้
“ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าสวรรค์จะเป็นใจส่งเจ้ามาหาข้าแบบนี้ ข้ากำลังจะไปตามคิดบัญชีกับเจ้าอยู่พอดีที่เจ้าสังหารบรรพบุรุษของข้าไป ในเมื่อเจ้ามาที่นี่แล้วก็อย่าหวังจะได้จากไปอีกเลย จงอยู่ที่นี่เพื่อสำนึกผิดในสิ่งที่เจ้าทำไว้จนกว่าเจ้าจะตายซะ!” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิคนหนึ่งตะโกนขึ้น
ถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะมีชื่อเสียงที่โด่งดัง แต่ตอนนี้ตำหนักเซียนมืดของพวกเขานั้นมีผู้สำเร็จเต๋าอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กลัวหลิงตู้ฉิงอีกต่อไป
หลิงตู้ฉิงได้ยินเช่นนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังและถามกลับว่า “นี่พวกเจ้าคิดจะขังข้าเอาไว้ที่นี่งั้นเหรอ?”
ผู้สำเร็จเต๋าของตำหนักเซียนมืดเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ถึงแม้ว่ายุคที่แล้วเจ้าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ตอนนี้เจ้าเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันเท่านั้น เจ้าไม่มีวันที่จะสู้ข้าได้ จงยอมให้พวกข้าจับแต่โดยดีไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้ายกับเจ้า!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อันที่จริงข้าเองก็มีเรื่องจะคุยกับเจ้าอยู่เหมือนกัน ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้าอยู่กับเจ้าขนาดนี้ งั้นข้าจะอยู่ที่นี่สักพักก็ได้ ว่าแต่ข้าขอถามเจ้าสักข้อ รางวัลจากสวรรค์ที่เจ้าได้รับตอนสำเร็จเต๋าคืออะไรกัน?”
“แก่นแท้พลังแห่งกฎธาตุไม้!” ผู้สำเร็จเต๋าของตำหนักเซียนมืดตอบกลับทันทีพร้อมกับหยิบมันขึ้นมาให้หลิงตู้ฉิงเห็น
เมื่อเห็นลูกแก้วสีเขียวในมือของผู้สำเร็จเต๋าตำหนักเซียนมืด ดวงตาของหลิงตู้ฉิงเปล่งประกายทันที
เป็นโชคดีอย่างมากของหลิงตู้ฉิงที่ผู้สำเร็จเต๋าตำหนักเซียนมืดนั้นบ่มเพาะเต๋าธาตุมืด ซึ่งธาตุไม้นั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย ไม่เช่นนั้นเขาคงดูดซับแก่นแท้พลังแห่งกฎธาตุไม้ไปแล้ว
“มอบมันให้ข้าซะ!” หลิงตู้ฉิงพูดกับผู้สำเร็จเต๋าตำหนักเซียนมืด “ไม่เช่นนั้นข้าจะรั้งอยู่ที่นี่จริง ๆ จนเจ้าต้องหลั่งน้ำตา!”
ผู้สำเร็จเต๋าตำหนักเซียนมืดหัวเราะ “ทำไมข้าต้องให้เจ้าด้วย? นี่เจ้าลืมไปแล้วงั้นเหรอว่าเจ้ากับข้าพวกเราเป็นศัตรูกัน เจ้าควรจะทำตัวให้มันนอบน้อมกับข้ามากกว่านี้ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าทรมานมากกว่าเดิมในระหว่างที่ถูกขังอยู่ที่นี่!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจและพูดว่า “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ งั้นก็อย่ามาขอร้องให้ข้าจากไปทีหลังก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงพุ่งตัวไปหาชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนของตำหนักเซียนมืด และถามว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว?”
“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์!” ชายหนุ่มรีบคุกเข่าลงคำนับทันที
แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้นี้คือ หนานกงหลิง ซึ่งหนีออกจากตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์มาแอบบ่มเพาะอยู่ที่ตำหนักเซียนมืดแทน เมื่อเขาเห็นว่าหลิงตู้ฉิงทักเขา เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้กับคนอื่น ๆ รู้
“หลังจากที่ศิษย์ได้รู้ว่าท่านอาจารย์เป็นใคร ศิษย์ก็เดินทางมาที่นี่ทันทีเพื่อมาฝึกฝนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” หนานกงหลิงเอ่ยขึ้น “แต่ศิษย์ของท่านผู้นี้ไร้ความสามารถ บ่มเพาะมานานหลายปีศิษย์ยังคงอยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อยู่เลย โปรดให้อภัยศิษย์ด้วยที่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง!”
“ลุกขึ้นเถอะ!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “การที่เจ้ามีจิตใจที่หาญกล้าขนาดนี้ นับจากนี้ไปข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ที่แท้จริงของข้า ส่วนเรื่องระดับการบ่มเพาะเจ้าไม่ต้องห่วง หลังจากนี้มันจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน”
“ขอบคุณท่านอาจารย์!” หนานกงหลิงลุกขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“นี่คือกระบี่คู่หยินหยางสลับฟ้า มันคืออาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ ข้าจะมอบมันให้เจ้าเดี๋ยวนี้เพื่อเป็นรางวัลในความพยายามของเจ้า จงเอามันไปใช้และศึกษามันให้ดี” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
จากนั้นหลิงตู้ฉิงมอบกระบี่คู่ขาวดำให้กับหนานกงหลิง ซึ่งรับพวกมันไปด้วยสีหน้าตื่นเต้นสุดขีด
การกระทำของศิษย์อาจารย์คู่นี้ทำให้ผู้คนของตำหนักเซียนมืดตกตะลึงและอิจฉาเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่ศิษย์อาจารย์คู่นี้จะคุยกันราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา หลิงตู้ฉิงกลับมอบอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ให้กับหนานกงหลิง ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะแค่ระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์หรือขอบเขตสวรรค์ระดับ 6 เท่านั้น
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิก็ยังไม่มีอาวุธระดับนี้ใช้เลยด้วยซ้ำ!
“หนานหลิง นี่เจ้าเป็นใครกันแน่?” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดผู้หนึ่งถามขึ้น
พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าอัจฉริยะของพวกเขาจะกลายเป็นศิษย์ของศัตรูพวกเขาแบบนี้ไปได้ และมันทำให้พวกเขาคิดไปกันเองว่าหลิงตู้ฉิงจะต้องเป็นคนส่งศิษย์ของตัวเองเข้ามาที่สำนักพวกเขาแน่นอนเพื่อวางแผนอะไรบางอย่าง
หนานกงหลิงประสานมือคารวะไปที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดที่ถามเขาและพูดว่า “เรียนเจ้าสำนัก ตัวตนที่แท้จริงของข้าคือ หนานกงหลิง จากตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ แต่ด้วยเหตุผลที่ร่างกายของข้านั้นมีทั้งธาตุมืดและธาตุแสงอยู่ในร่าง ข้าจึงจำเป็นต้องมาที่นี่เพื่อบ่มเพาะพลังธาตุมืดเพื่อทำให้พลังในร่างของข้าสมดุล ท่านเจ้าสำนัก ข้าขออภัยท่านด้วยจริง ๆ หากมีทางเลือกอื่นข้าก็ไม่อยากจะปิดบังท่านเช่นนี้”
เมื่อพูดจบ หนานกงหลิงก็เริ่มโคจรทั้งพลังธาตุแสงและธาตุมืดสลับกันไปให้กับคนอื่น ๆ ดูเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของเขา