พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 965 บุกสันเขาหมื่นอสูร
ท่านแม่ พวกท่านมาแล้ว! หลิงยี่เทียนโค้งคารวะทักทายบรรดาแม่ของเขาทันทีเมื่อเขาเห็นพวกนางมาถึง
ในขณะเดียวกันผู้คนของกองกำลังอื่น ๆ ต่างก็เห็นการมาถึงของพวกนางเช่นกัน ซึ่งมันทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงที่เห็นว่าแท้จริงแล้วอาณาจักรจันทรายังมีไพ่ลับที่น่ากลัวซ่อนอยู่!
พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหญิงสาวกลุ่มใหม่ที่ปรากฏกายขึ้นตอนนี้นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
พวกนางบางคนมีปราณกระบี่ที่แหลมคมราวกับว่าสามารถตัดได้ทุกอย่างบนโลก อีกคนก็ให้ความรู้สึกที่หนาวเหน็บจนเกินบรรยาย อีกคนก็ให้ความรู้สึกราวกับเวลารอบข้างนางถูกบิดเบือน…
พ่อของเจ้ายังไม่มาอีกงั้นเหรอ? จ้าวเหมิงลู่เอ่ยถามขึ้น
หลังจากหลายปีผ่านไป ในตอนนี้เจตจำนงกระบี่ของนางบรรลุไปถึงระดับสูงเรียบร้อยและเต๋ากระบี่ของนางก็ล้ำลึกซะจนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิบางคนยังเทียบไม่ได้กับนางด้วยซ้ำในเรื่องเต๋ากระบี่ ส่วนระดับการบ่มเพาะของนางในตอนนี้นั้นได้ทะลวงขึ้นมาอยู่ขอบเขตจักรพรรดิแล้วเรียบร้อย
เรียนท่านแม่ ตอนนี้ท่านพ่อยังไม่กลับมา หลิงยี่เทียนตอบกลับ แต่ก่อนหน้านี้ท่านพ่อได้ส่งข่าวมาแล้วว่าอีกไม่นานเขาก็จะกลับมาถึง
ถึงแม้ว่าหลิงยี่เทียนจะเข้าใจว่าอีกไม่นานหลิงตู้ฉิงจะกลับมา แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือตอนนี้หลิงตู้ฉิงยังไล่กวดผู้ส่งสาสน์ที่บ่มเพาะเต๋ามิติอยู่เลย
หากเป็นก่อนหน้านี้ข้าคงไล่ตามเจ้าไม่ทันแน่นอน แต่ตอนนี้ข้ามั่นใจว่าเจ้าไม่รอดเงื้อมมือของข้าแน่! หลิงตู้ฉิงตะโกนขึ้น
ผู้อาวุโส ท่านทำแบบนี้มันไม่น่าเกลียดไปหน่อยเหรอ! ตัวตนระดับท่านกลับมารังแกชนรุ่นหลังอย่างข้าแบบนี้ท่านไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้างรึไง? ผู้ส่งสาสน์ตะโกนกลับด้วยสีหน้ามืดหม่น
ร่างหลักที่อยู่บนโลกเบื้องบนของเขาไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก เขาเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดเท่านั้นเอง แต่ด้วยเต๋าที่เขาบ่มเพาะคือเต๋ามิติ ดังนั้นสำนักของเขาจึงส่งเขาลงมาเพราะมั่นใจว่าต่อให้เขาจะมีระดับการบ่มเพาะไม่สูงนัก แต่ด้วยทักษะด้านมิติเขาสามารถเอาตัวรอดได้ดีกว่าคนอื่น ๆ แน่นอน
แน่นอนว่าถ้าเขาเจอกับคนอื่นมันคงไม่เป็นอะไร แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาดันมาเจอกับหลิงตู้ฉิง ซึ่งในเวลานี้หลิงตู้ฉิงก็สามารถใช้เต๋ามิติได้เหมือนกัน
หลิงตู้ฉิงหัวเราะขณะไล่ตามผู้ส่งสาสน์อย่างไม่ลดละ ทำไมการกระทำของเจ้าเมื่อครู่มันไม่เห็นเหมือนกับคำพูดของเจ้าตอนนี้เลยล่ะไอ้หนู!
เมื่อครู่ในตอนที่พวกเขาพบหน้ากัน ผู้ส่งสาสน์โอ้อวดพลังของเขาโดยการโจมตีหลิงตู้ฉิงและหนีเข้าไปในรอยแยกมิติทันที เนื่องจากเขาเข้าใจว่าหลิงตู้ฉิงนั้นไม่มีความรู้เรื่องเต๋ามิติเหมือนกับเมื่อก่อน
ทุกคนที่อยู่บนโลกเบื้องบนต่างรู้จุดอ่อนนี้ของหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างดี เป็นที่รู้กันในหมู่คนทั่วไปว่าหากผู้เชี่ยวชาญคนไหนบ่มเพาะเต๋ามิติ โอกาสที่เขาจะหนีรอดจากเงื้อมมือของหลิงตู้ฉิงจะมีมากกว่าคนทั่วไปเป็นสิบเท่า
อย่างไรก็ตาม ในชีวิตนี้หลิงตู้ฉิงมีลูกสาวที่เชี่ยวชาญเต๋ามิติและเขาก็พยายามสังเกตเวลาหลิงฟ่างหัวบ่มเพาะมาโดยตลอด รวมไปถึงเขายังเคยเอาเลือดของหลิงฟ่างหัวไปให้ง้าวเทวะพินาศศึกษาเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกเลยที่ตอนนี้เขาจะสามารถใช้เต๋ามิติได้อย่างคล่องแคล่ว
ในเวลาไม่นานผู้ส่งสาสน์ที่ใช้เต๋ามิติก็ถูกหลิงตู้ฉิงจับตัวได้ และแน่นอนว่าชะตากรรมของเขาก็เหมือนกับผู้ส่งสาสน์คนอื่น ๆ ซึ่งก็คือถูกหลิงตู้ฉิงสกัดจนเหลือแค่พลังวิญญาณบริสุทธิ์และอำนาจของเต๋าเท่านั้น
เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้ข้าได้เต๋ามิติมาแล้วมันก็คงถึงเวลาที่ข้าต้องกลับไปคิดบัญชีกับพวกอสูรแล้วล่ะนะ! หลิงตู้ฉิงพูดกับตัวเอง จากนั้นเขาบินมุ่งหน้าไปที่สันเขาหมื่นอสูรด้วยความเร็วสูงสุดทันที
เจ้าพร้อมรึยัง? หลิงตู้ฉิงปรากฏกายขึ้นตรงหน้าหลิงยี่เทียน และถามขึ้นโดยที่ลูกชายของเขายังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขามาถึงแล้ว
ท่านพ่อ! หลิงยี่เทียนตื่นตกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ พ่อของเขาก็โผล่มาแบบไม่มีสุ้มเสียงเช่นนี้ ในที่สุดท่านก็กลับมาจนได้ ข้าลุ้นแทบตายว่าเมื่อไหร่ท่านจะกลับมา!
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ พ่อรู้ว่าเจ้าร้อนใจอยากรีบช่วยอาณาจักรผู้กล้าไว ๆ เอาล่ะตอนนี้เจ้าไปเตรียมการบุกได้แล้ว เมื่อเจ้าพร้อมเมื่อไหร่เจ้าสามารถสั่งให้ทุกคนบุกได้เลย!
เมื่อได้ยินพ่อของเขาเอ่ยขึ้นเช่นนี้ หลิงยี่เทียนแสดงสีหน้าตื่นเต้นทันที ตกลงท่านพ่อ! แต่ท่านรอข้าสักหน่อยข้าอยากจะบอกเรื่องอาณาจักรผู้กล้าให้กับทุกคนได้รู้เอาไว้ด้วยเพื่อที่พวกเขาจะได้มีแรงจูงใจในการรบมากขึ้น
หลิงยี่เทียนมั่นใจว่าถ้าทุกคนรู้เรื่องของอาณาจักรผู้กล้า ผู้คนทั้งหลายจะต้องรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมากแน่นอน และนั่นจะส่งผลให้ขวัญและกำลังใจของกองทัพเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งมันจำเป็นสำหรับการรบแตกหักเช่นนี้
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า อืม เจ้าไปทำตามแผนของเจ้าได้เลย
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงเดินไปคุยกับบรรดาภรรยาของเขาในระหว่างรอหลิงยี่เทียนเตรียมกองทัพให้พร้อม
ทางด้านของหลิงยี่เทียน เขาเรียกรวมผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ทันที และหลังจากที่เขาเล่าเรื่องของอาณาจักรผู้กล้าให้กับทุกคนได้ฟังแล้ว สีหน้าของผู้นำกองกำลังต่าง ๆ นั้นเต็มไปด้วยความเดือดดาลจนถึงขีดสุด
พวกเขาไม่เคยนึกฝันเลยว่าพวกอสูรจะบังอาจจับเพื่อนมนุษย์ของพวกเขาไปเพาะเลี้ยงเป็นอาหารเหมือนหมูเหมือนวัวเช่นนี้!
ต้องฆ่า! ยังไงก็ต้องฆ่าพวกมันให้หมดให้ได้!
เสียงตะโกนกู่ร้องด้วยความเดือดดาลดังกึกก้องไปทั่วทุกมุมของค่ายกองทัพพันธมิตรจนแผ่นดินสั่นสะเทือน
จากนั้นเมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมแล้ว หลิงยี่เทียนออกคำสั่งให้ทุกกองทัพเดินหน้าบุกไปพร้อม ๆ กับเขาทันที
แต่แล้วก่อนที่พวกเขาจะเคลื่อนทัพไปถึงส่วนกำแพงของสันเขาหมื่นอสูร จู่ ๆ บนพื้นดินตรงหน้าของพวกเขากลับมีดวงวิญญาณอาฆาตจำนวนนับล้านดวงผุดขึ้นจากพื้นดินส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความแค้นและความเจ็บปวดและพุ่งตรงมาหาพวกเขา
ดวงวิญญาณอาฆาตพวกนี้คือดวงวิญญาณของเหล่ามนุษย์ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสังหารลงโดยเผ่าอสูร ซึ่งพวกอสูรมีวิธีการบางอย่างที่สามารถเก็บดวงวิญญาณอาฆาตเหล่านี้เอาไว้ใช้งานได้ และในตอนนี้เมื่อพวกมันถูกบุก พวกมันจึงหยิบเอาดวงวิญญาณอาฆาตเหล่านี้มาใช้กับกองทัพของหลิงยี่เทียน
เมื่อเห็นภาพนี้ หลิงยี่เทียนรู้สึกเศร้าสลดเป็นอย่างมาก
ในช่วงเวลาตอนที่คนเหล่านี้ตายพวกเขาคงทรมานมากอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อพวกเขาตายไปแล้วพวกอสูรกลับยังใช้ดวงวิญญาณของคนเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการรบอีก!
ผู้คนในกองทัพพันธมิตรเมื่อเห็นว่าศัตรูของพวกเขาคือดวงวิญญาณอาฆาตที่เคยเป็นมนุษย์เหมือนกันแถมตอนที่ตายดวงวิญญาณเหล่านี้คงทรมานเป็นอย่างมาก เมื่อพวกเขาคิดได้เช่นนี้พวกเขาต่างก็รู้สึกขมขื่นในใจและไม่อยากจะลงมือสักเท่าไหร่
แต่แล้วเมื่อลองคิดทบทวนกันอีกรอบ พวกเขาก็เริ่มทำใจลงมือได้เพราะถ้าพวกเขาไม่ลงมือ พวกเขาจะกำจัดเผ่าอสูรและช่วยผู้คนในอาณาจักรผู้กล้าได้ยังไง?
บรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงทั้งหลายต่างลงมือกวาดล้างเหล่าดวงวิญญาณอาฆาตด้วยสีหน้าเศร้าหมอง พร้อมกับที่ในใจของพวกเขายิ่งเกลียดพวกอสูรมากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากผ่านด่านดวงวิญญาณอาฆาตเรียบร้อยแล้ว กองทัพพันธมิตรก็เข้ามาถึงส่วนกำแพงที่ตั้งตระหง่านปกป้องสันเขาหมื่นอสูร
ในเวลานี้เมื่อพวกเขาได้เห็นใกล้ ๆ พวกเขาก้ได้รู้แล้วว่ากำแพงยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในตอนนี้มันถูกสร้างขึ้นจากซากศพและดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่คือมนุษย์!
โครงของกำแพงถูกขึ้นรูปกระดูกจำนวนมหาศาล ตัวกำแพงถูกสร้างขึ้นด้วยเศษเนื้อและเลือดที่ถูกเอามาอัดรวมกันและที่ผนังกำแพงนั้นถูกฉาบไปด้วยดวงวิญญาณจำนวนมากมาย
กำแพงยักษ์นี้ถูกสร้างขึ้นโดยวิธีการลับตั้งแต่บรรพกาลของเผ่าอสูร และเนื่องจากที่มันถูกสร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตนับพันล้านชีวิต พลังการป้องกันของมันจึงนับได้ว่าไร้เทียมทานและไม่ควรจะมีใครในโลกเบื้องล่างที่สามารถทำลายมันได้
กวนหลิงอู่ขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นกำแพงที่น่ารังเกียจนี้ เขาง้างหมัดและต่อยใส่กำแพงอย่างเต็มแรงทันที แต่กำแพงที่ถูกสร้างจากเลือดและเนื้อนี้กลับไม่มีรอยยุบแม้แต่นิ้วเดียว
ในตอนนี้บรรดาผู้คนของกองทัพพันธมิตรต่างรู้ในทันทีว่าพวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาที่พวกเขาคงจะแก้ได้ยาก