พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 969 พลังทำลายล้างที่ไม่ควรมีอยู่ในโลก
หมาสีทองกลายร่างเป็นง้าวเทวะพินาศทันที ซึ่งเป็นร่างที่แท้จริงของมัน
หลิงเทียนหยุนรีบบินออกมาถือง้าวเทวะพินาศด้วยสีหน้าประหม่าและถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโส พวกเราจะไหวกันจริง ๆ ใช่ไหม?”
เขาไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วง้าวเทวะพินาศนั้นมีอำนาจขนาดไหน แต่ที่เขารู้แน่นอนก็คืออาวุธเต๋าสามชิ้นนั้นมีอำนาจมหาศาลแน่นอน เพราะเมื่อครู่ร่างแยกของเขาเพิ่งโดนทำลายไปหมาด ๆ ซึ่งเขาไม่อยากจะให้ร่างแยกของเขาโดนทำลายไปอีกร่างเพราะการสร้างมันขึ้นมาใหม่นั้นไม่ได้ใช้เวลาน้อย ๆ
“นี่เจ้าถามบ้าอะไรแบบนี้!? เร็วเข้ารีบโคจรพลังทั้งหมดของเจ้ามาให้ข้าสักที ไอ้เด็กโง่เอ๊ย เจ้านี่มันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ในอดีตข้ากับพ่อของเจ้าสยบเหล่าเทพทั้งหลายจนไม่มีพวกมันสักคนที่กล้าหืออือกับข้าและพ่อของเจ้า แต่ตอนนี้เจ้ากลับมาถามข้าว่าไหวไหมกับอีแค่อสูรขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญและอาวุธเต๋าเน่า ๆ แค่ 3 อันเนี่ยนะ?” ง้าวเทวะพินาศตวาดลั่นใส่หูของหลิงเทียนหยุน
หลังจากโดนตำหนิไป หลิงเทียนหยุนจึงทำใจแข็ง จากนั้นเขาโคจรพลังทั้งหมดที่เขามีอยู่ส่งไปที่ง้าวเทวะพินาศ
เมื่อได้รับพลังจากหลิงเทียนหยุน ง้าวเทวะพินาศสั่นอย่างรุนแรงทันทีและมันค่อย ๆ ลอยหลุดมือหลิงเทียนหยุนไปและหมุนควงอยู่บนท้องฟ้าราวกับว่ามันเป็นกังหัน
อันที่จริงแล้วง้าวเทวะพินาศสามารถลงมือโจมตีด้วยตัวของมันเองได้เหมือนในตอนที่อสูรเสือบุกอาณาเขตนภา แต่ตอนนี้ตู่ต่อสู้ของมันไม่ได้มีแค่อสูรขอบเขตศักดิสิทธิ์สามัญ แต่มันยังรวมไปถึงอาวุธเต๋าอีก 3 ชิ้น ซึ่งทำให้มันจำเป็นต้องได้รับการเปิดใช้งานจากใครสักคน มันถึงจะสามารถใช้พลังของมันได้อย่างสมบูรณ์
ทางด้านของพวกอสูร เมื่อเห็นว่าง้าวเทวะพินาศเริ่มโจมตี คุนเป๋งรีบตะโกนลั่น “พวกเราทั้งหมดรวมพลังกันสร้างม่านพลังป้องกันเดี๋ยวนี้!”
ในระหว่างที่ตะโกนสั่ง ตัวของมันเองและอสูรที่มาจากโลกเบื้องบนอีก 2 ตนก็โคจรพลังของตนเองเข้าไปในอาวุธเต๋าที่อยู่ในมือเพื่อสร้างม่านพลังป้องกันให้กับตนเองเช่นกัน
ส่วนทางด้านของเหล่าอสูรทั้งหลายก็ทำไม่ต่างกัน พวกมันต่างหยิบอาวุธของตนเองขึ้นมาและโครจรพลังเข้าไปในอาวุธเพื่อสร้างม่านพลังป้องกันต้านทานการโจมตีของง้าวเทวะพินาศ
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ กองทัพพันธมิตรก็ถอยร่นและวางกระบวนทัพเป็นรูปแบบป้องกันทันทีรอดูว่าง้าวเทวะพินาศจะสามารถทำอะไรกับพวกอสูรได้บ้าง ซึ่งถ้าหากว่าง้าวเทวะพินาศไม่สามารถทำอะไรพวกอสูรได้ พวกเขาได้จะได้สามารถรับมือกับการโจมตีสวนกลับของพวกอสูรได้อย่างทันท่วงที
แต่แล้วหลังจากรออยู่นาน ในที่สุดง้าวเทวะพินาศก็หยุดหมุนและค่อย ๆ ร่อนลงมาบนพื้นและคืนร่างเป็นหมาสีทองเหมือนเดิม
บรรดาผู้คนในกองทัพพันธมิตรต่างงุนงงกับการกระทำของง้าวเทวะพินาศ เพราะพวกเขายังไม่เห็นว่ามันจะลงมือเลย พวกเขาเห็นแค่ว่ามันลอยฟ้าขึ้นไปและหมุน ๆ อยู่สักพัก จากนั้นมันก็กลับลงมา
แต่ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรออกไป ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดคนหนึ่งอุทานขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนกราวกับเห็นผี “ตะตะตะ…ตาย พวกอสูรตายหมดแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างเพ่งไปที่พวกอสูรที่ยืนนิ่งอยู่ในสนามรบทันทีและเมื่อพวกเขาจ้องดูดี ๆ พวกเขาก็เห็นว่าในเวลานี้ดวงตาของอสูรทุกตนที่ยืนอยู่ในสนามรบต่างไร้ร่องรอยของสัญญาณชีวิต
ไม่มีใครเข้าใจได้ว่าพวกอสูรทั้งหมดนั้นตายได้ยังไง เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นก็มีแค่เพียงง้าวเทวะพินาศขึ้นไปหมุน ๆ บนท้องฟ้าเท่านั้น ยกเว้นหลิงตู้ฉิงคนเดียวที่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เพราะเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในระหว่างที่ง้าวเทวะพินาศหมุนควงอยู่บนท้องฟ้ามันปลดปล่อยเจตจำนงแห่งการสังหารจำนวนมหาศาลของมันเองพุ่งเข้าใส่ร่างกายของเหล่าอสูรทั้งหมด ทำลายพลังชีวิตของพวกอสูรจนไม่เหลือหลอ
เมื่อไร้พลังชีวิตอย่างฉับพลัน เหล่าอสูรทั้งหมดจึงเกิดความรู้สึกอันแปลกประหลาด พวกมันรู้ดีว่าตอนนี้ตัวของมันตายแล้ว แต่พวกมันกลับยังสามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อยู่ แต่จากนั้นพวกมันก็เริ่มรู้สึกสลึมสลือและค่อย ๆ หลับตาลง ซึ่งเป็นการตายอย่างสมบูรณ์ทั้งที่พวกมันยังคงยืนอยู่ท่าเดิม
บรรดาอสูรทั้งหมดในตอนนี้เหลือแค่เพียงคุนเป๋งเท่านั้นที่ยังรอดชีวิตอยู่
มันไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าสิ้นหวัง “อาวุธที่น่ากลัวเช่นนี้มันไม่ควรจะมีอยู่!”
มี่ไลที่ในตอนนี้อยู่ในสถานะหลอมรวมเข้ากับกาลเวลาอดไม่ได้ที่จะเผยร่างของตัวเองมองไปที่ผลงานของง้าวเทวะพินาศด้วยสายตาโง่งม
นางคือคนที่รู้ซึ้งถึงอำนาจของง้าวเทวะพินาศดีที่สุดในที่นี้เพราะนางเคยตายด้วยคมง้าวของมันมาแล้ว นางจึงสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้อำนาจของง้าวเทวะพินาศมันแตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง
“ไม่ผิดเลยที่ไอ้หมาตัวนี้บอกว่ามันแข็งแกร่งกว่าเดิม ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าตอนนี้มันพัฒนามาถึงระดับนี้แล้ว!” นางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องประหลาดใจไปหรอก ก่อนหน้านี้มันเคยติดตามข้าออกไปนอกโลกมาก่อน ดังนั้นมันจึงได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับจักรวาลที่อยู่ด้านนอกแบบที่น้อยคนนักจะสามารถเข้าใจได้ รวมไปถึงก่อนหน้านี้มันได้รางวัลจากสวรรค์ถึง 2 ครั้งจากการสร้างคุณประโยชน์ให้กับโลกและสวรรค์ จนตอนนี้มันได้กลายเป็นอาวุธที่เหนือกว่าอาวุธทั้งมวลบนโลก และเหลืออีกเพียงแค่ก้าวเดียวมันก็จะพิสูจน์เต๋าของมันเองได้สำเร็จ”
ถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะเกิดใหม่ แต่อาวุธของเขาไม่ได้เกิดใหม่ด้วย ความแข็งแกร่งของมันจึงมีแต่จะมากกว่าในอดีตเมื่อเวลายิ่งผ่านไปเรื่อย ๆ
ถึงแม้ว่าหลิงเทียนหยุนจะใช้ความแข็งแกร่งอยู่ที่ขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นต้นของตนเองเปิดใช้งานง้าวเทวะพินาศ แต่ด้วยอำนาจที่ล้นเหลือของมัน มันจึงสามารถสร้างพลังการโจมตีที่อยู่ในขอบเขตราชาศักดิ์สิทธิ์ได้แบบสบาย ๆ
แน่นอนว่าด้วยอำนาจการโจมตีขอบเขตราชาศักดิ์สิทธิ์ มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่ง้าวเทวะพินาศจะสามารถสังหารเหล่าอสูรที่อยู่ในโลกเบื้องล่างได้ในพริบตาแบบนี้
ในทางกลับกัน ถึงแม้ว่าพวกอสูรจะตายจนหมด แต่บรรดาอาวุธเต๋าทั้งหลายกลับยังคงอยู่ไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่นิด
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเจตจำนงแห่งการสังหารที่ง้าวเทวะพินาศปลดปล่อยออกมามันบ่อนทำลายแต่พลังชีวิตของสิ่งมีชีวิต ซึ่งพวกอาวุธนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตพวกมันจึงไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
หมาสีทองใช้อำนาจของมันเองเข้าข่มอาวุธเต๋าทั้งสามของพวกอสูร และสั่งให้พวกมันลอยมาหาราวกับว่ามันเป็นเจ้านายของอาวุธทั้งมวล
อาวุธเต๋าทั้งสามค่อย ๆ ลอยเข้ามาหาหมาสีทองโดยที่พวกมันไม่อาจต่อต้านอะไรได้เลย หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือพวกมันไม่กล้าต่อต้านเพราะพวกมันรู้ดีว่าง้าวเทวะพินาศคืออาวุธที่อยู่คนละระดับกับพวกมันอย่างสิ้นเชิง
ในเวลาเดียวกัน หลิงยี่เทียนก็เลิกหลอมรวมตัวเองเข้ากับท้องฟ้าและค่อย ๆ ร่อนลงมาบนพื้นรวมไปถึง เหลียงเฟ่ยเอ๋อก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นดินพร้อมกับหม้อเอกภพ
ทุกคนต่างมองไปที่ง้าวเทวะพินาศด้วยสายตาโง่งมพร้อมกับคิดในใจ ‘ในเมื่อเจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ทำไมเจ้าถึงไม่มาลงมือตั้งแต่แรก ทำไมต้องปล่อยให้พวกข้าลำบากลงมือกันเองแบบนี้ด้วย!?’
แน่นอนว่าความคิดนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะหลิงยี่เทียน และคนในครอบครัวของหลิงตู้ฉิงที่คิดขึ้น ทุกคนที่อยู่ในกองทัพพันธมิตรต่างก็คิดแบบนี้เช่นกัน
ในเมื่อง้าวเทวะพินาศโจมตีแค่ครั้งเดียวพวกอสูรก็ตายกันหมดแล้ว ทำไมหลิงตู้ฉิงยังต้องให้พวกเขารวบรวมกองทัพมาสู้รบกับพวกอสูรแบบนี้ด้วย?
ทางด้านของเย่ชางคง และคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต่างรู้สึกขนลุกขนพองกับภาพที่เห็น
ครั้งหนึ่งสิ่งนี้เคยอยู่หลังสำนักของพวกเขา พวกเขารู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่พวกเขาเองไม่ได้ทำอะไรโง่ ๆ มากไปกว่าที่เคยทำ เพราะถ้าพวกเขาทำให้หมาสีทองตัวนี้โมโหเมื่อไหร่ สำนักของพวกเขาคงดับสูญภายในพริบตา
ต้องรู้เอาไว้ว่าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ยังมีความแข็งแกร่งไม่ถึงครึ่งของพวกอสูรที่ตายไปด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าพวกเขาโดนการโจมตีแบบนี้เข้าไปพวกเขาจะไปเหลือรอดได้ยังไง?
หลิงตู้ฉิงเดินมาอยู่ข้าง ๆ หลิงยี่เทียนและพูดว่า “ตอนนี้พวกเราทำลายล้างดินแดนของสันเขาหมื่นอสูรได้ 3 ใน 10 ส่วน และสังหารอสูรขอบเขตราชัน ขอบเขตจักพรรรดิ ขอบเขตมหาจักรพรรดิไปเกิน 9 ส่วน และถึงแม้ว่าพวกเราจะชนะแล้ว แต่พวกเราจะไม่บุกทำลายมากไปกว่านี้ พวกเราจะปล่อยสันเขาหมื่นอสูรและพวกอสูรที่เหลือให้ใช้ชีวิตกันต่อไป หากพวกเราฆ่าอสูรจนหมด มันจะเป็นการทำลายเจตจำนงของสวรรค์ที่สร้างพวกมันขึ้นมาตั้งแต่แรก”