ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - บทที่ 350 ฝ่าฟัน
ณ เสิ่นหยุนวิลล่า จิงตู
ด้านหน้าของซูฉีไห่มีคนอยู่ 7 คน
และทั้ง 7 คนนี้ก็คือผู้พิทักษ์ของตระกูลซู ความแข็งแกร่งของพวกเขาล้วนมากกว่าจอมยุทธ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลซู แต่ก็ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของนักต่อสู้ของตระกูลซู
“คุณซู” ผู้พิทักษ์คนที่สองพูดออกมา “คุณเรียกพวกเรามาที่นี้ มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
ซูฉีไห่เหลือยตามองไปที่พวกเขา และพูดออกมาอย่างเยือกเย็นว่า “การต่อสู้ของหยู่เอ๋อกับฉินเฉิงใกล้จะเริ่มขึ้นมาทุกทีแล้ว ฉันไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดใดๆ พวกนายคงจะรู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไรบ้าง”
ผู้พิทักษ์ทั้งเจ็ดมองหน้ากันและผู้พิทักษ์คนที่สองก้าวไปข้างหน้าและพูดออกมาว่า “คุณหมายถึงว่า….ให้พวกเราฆ่าเขา?”
“ไม่ใช่” ซูฉีไห่ส่ายหน้า “ถ้าหากพวกนายฆ่าเขา แล้วการต่อสู้จะเกิดขึ้นได้อย่างไง?”
จากนั้นซูฉีไห่ก็ทุบโต๊ะและพูดออกมาว่า “ก่อนที่พวกเขาจะสู้กัน ขอให้พวกนายไปเอากำลังภายในของเขาออกให้หมดก็พอแล้ว”
ผู้พิทักษ์คนที่สองขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “ในตอนนั้นผู้พิทักษ์อาวุโสได้ยื่นขอเสนอนี้และกลับถูกคุณปฏิเสธ แล้วทำไมตอนนี้….”
“นั่นเป็นเพราะว่าเขาโง่” ซูฉีไห่พูดออกมาขัด “ต่อหน้าโจวติ่ง พูดแบบนั้นออกมามันไม่โง่ไปหน่ยหรือไง?”
ผู้พิทักษ์คนที่สองพยักหน้า “คุณซู พวกเราเข้าใจแล้ว แต่แค่…พวกเราไม่รู้ว่าฉินเฉิงอยู่ที่ไหน”
ซูฉีไห่หยิบกระดาษออกมาจากลิ้นชัก นั่นเป็นแผนที่ของเมืองหยิน ที่ตั้งของสำนักฉิน
“ไปที่นั่น” ซูฉีไห่พูดออกมา
“ครับ” ผู้พิทักษ์คนที่สองรับกระดาษมาจากนั้นก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ซูฉีไห่เป็นคนรอบคอบ แม้ว่าเขาจะมั่นใจในตัวซูหยู่ แต่เขาก็ไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ในครั้งนี้มีผู้อาวุโสซูมาเข้าร่วมชมด้วย นอกจากซูหยู่จะต้องชนะแล้ว เขาก็ต้องชนะอย่างง่ายดายและเหมาะสมด้วย
“หู้ว…..” ซูฉีไห่หลับตาลง เขาพิงไปที่โวฟา ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มที่เยือกเย็นปรากฏอยู่
…..
พริบตาเดียว เหลือเวลาอีกแค่สามวันก็จะถึงการต่อสู้ของทั้งสองคน
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เว็บบอร์ดศิลปะการต่อสู้ก็ได้โพสน์ข่าวทุกวัน
“ช่วงนี้ดูเหมือว่าฉินเฉิงจะหายตัวไป ไม่มีการเคลื่อนไหว คงไม่ใช่ว่าหนีไปแล้วหรอกนะ?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่แน่เขาอาจจะกำลังฝึกวิชาอยู่ก็ได้”
“ใช่ ไม่แน่ตอนนี้เขาอาจจะก้าวขึ้นไปเป็นจอมยุทธแล้วก็ได้ ถ้าหากเป็นแบบนั้น ใครแพ้หรือชนะก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”
“ก้าวไปเป็นจอมยุทธ? เวลาเพียงแค่ 10 วัน? มันจะเป็นไปได้อย่างไง”
ความคิดเห็นแบ่งออกเป็นสองขั้ว
ด้านหนึ่งหวังว่าฉินเฉิงจะเอาชนะซูหยู่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งคิดว่าความน่าจะเป็นที่ฉินเฉิงจะเอาชนะได้นั้นมีน้อยมาก
และในขณะนี้ ฉินเฉิงยังคงดูดซับพลังของยาเม็ดทองคำ
พลังงานทางจิตวิญญาณที่ไม่มีที่สิ้นสุดค่อยๆไหลไปยังทุกส่วนของร่างกายของฉินเฉิงโดยผ่านไปที่จุดตันถียน
ออร่าที่สง่างามปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา เมื่อมองไปเหมือนกับว่าเห็นผู้ที่เป็นอมตะลงมาที่พื้นโลก
ออร่าสีเขียวมรกตราวกับเกล็ดของมังกร ค่อยๆไหลเวียนอยู่ในจุดตันเถียน และร่างกายของเขาก็ค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ
จอมยุทธอยู่ไม่ไกล
และในขณะนั้นเอง สำนักฉินต้องต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
มีคน 7 คนยืนอยู่หน้าประตูของสำนักฉิน และมองไปที่รอบๆด้วยสายตาที่เยือกเย็น
“ที่นี่แหละ” ผู้พิทักษ์คนที่สองมองไปที่ตำแหน่งบนกระดาษและพูดออกมา
“สำนักฉิน? เจ้าฉินเฉิงมันกล้าสร้างสำนักขึ้นมาจริงๆเหรอ?” ผู้พิทักษ์คนที่สามหัวเราะออกมา
ผู้พิทักษ์คนที่สองฉีกกระดาษเป็นชิ้นๆและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “รีบแยกย้ายไปหาฉินเฉิงให้เร็วที่สุด”
ออร่าที่น่าสะพรึงกลัวของทั้งเจ็ดคนได้ปกคลุมไปทั่วสำนักฉินในทันที
ตอนนั้นหยานรัวหยูที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ก็มีใบหน้าที่เปลี่ยนไปทันที
“ใครกัน?” หยานรัวหยูเดินออกมาที่ลานของสำนักฉิน
สถานะของผู้พิทักษ์ทั้งเจ็ดของตระกูลซูนั้นลุกลับมาก พวกเขาสวมชุดสีดำปกคลุมไปทั่วร่างกาย ไม่มีใครแยกแยะได้ว่าคนไหนเป็นคนไหน
ผู้พิทักษ์คนที่สองเหลือบมองหยานรัวหยูและพูดออกมาว่า “เจ้าสำนักของพวกเธอใช่ฉินเฉิงไหม?”
หยานรัวหยูขมวดคิ้วและตอบกลับไป “ใช่ พวกนายเป็นใคร?”
ผู้พิทักษ์คนที่สองพูดออกมาว่า “ไปเรียกฉินเฉิงออกมาพบฉันหน่อย”
“เจ้าสำนักไม่อยู่ ตอนนี้ฉันเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างของที่นี่” หยานรัวหยูพูดออกมา
ในขณะเดียวกันลูกศิษย์ของสำนักก็ได้วิ่งออกมาล้อมรอบทั้งเจ็ดคนนี้เอาไว้
ผู้พิทักษ์คนที่สองเหลือบมองและพูดออกมาอย่างเยือกเย็นว่า “ทางที่ดีเธออย่ามาล้อเล่นกับพวกเราจะดีกว่า ให้ฉินเฉิงออกมาเดี๋ยวนี้!”
“ฉันบอกไปแล้วว่าเขาไม่อยู่” หยานรัวหยูพูดออกมา “พวกนาย”
“ควับ!”
หยานรัวหยูยังไม่ทันพูดจบ ร่างกายของผู้พิทักษ์คนที่สองก็หายไป
เขาจับไปที่คอของหยานรัวหยูและพาเธอขึ้นไปสู่บนอากาศ
ความแข็งแกร่งมหาศาลทำให้หยานรัวหยูหายใจแทบไม่ออก และใบหน้าที่ขาวนวลของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
“ปล่อยเจ้าสำนักของพวกเรานะ!” ผู้อาวุโสใหญ่ตะโกนออกมา และพุ่งเข้าไปทันที
“เอ๋ ไม่เจียมตัว” ผู้พิทักษ์คนที่สามยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็ค่อยๆยกมือขึ้น ด้วยพลังจากฝ่ามือของเขา ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ล้มลงไปกับพื้นทันที
สีหน้าของลูกศิษย์สำนักฉินเปลี่ยนไปทันที พวกเข่ค่อยๆก้าวถอยหลังออกไป
“เรื่องนี้มันมันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเธอ ขอแค่บอกที่อยู่ของฉินเฉิงให้กับพวกเราก็พอ ไม่อย่างนั้นพวกเธอจะได้รับกับความทรมาน” ผู้พิทักษ์คนที่สองพูดออก “ถ้าหากยังโกหกอยู่อีกหละก็ สำนักฉินนี้ก็ตงไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป”
“บอกมาเถอะ ฉินเฉิงอยู่ที่ไหนกันแน่” ” ผู้พิทักษ์คนที่สามก้าวออกมาด้านหน้า เขาจับลูกศิษย์ของสำนักเอาไว้และถามออกมา
ลูกศิษย์คนนั้นส่ายหน้าอย่างสุดกำลังและตอบกลับไปว่า “ฉัน…ฉันไม่รู้”
“เอ๋?” ” ผู้พิทักษ์คนที่สามขมวดคิ้ว “ฮ่าฮ่า แม้แต่เป็นแค่ลูกศิษย์ธรรมดายังปากแข็งขนาดนี้ หายากจริงๆ”
หลังพูดจบ ผู้พิทักษ์คนที่สามก็โยนเขาขึ้นไปบนอากาศและทุบไปที่ศีรษะของเขาทันที!
“ฉินเฉิงอยู่ที่ไหน?” หลังจากนั้นผู้พิทักษ์คนที่สามก็หันไปถามลูกศิษย์อีกคน
ลูกศิษย์คนนั้นตกใจจนร้องไห้ออกมา เขาส่ายหน้าอย่างสุดชีวิตและพูดออกมาว่า “ฉันไม่รู้จริงๆ…”
“หึ ไปตายซะ!” ผู้พิทักษ์คนที่สามยกมือขึ้นและเปิดกะโหลกของเขาทันที!
“พอได้แล้ว!” ผู้พิทักษ์คนที่สองพุดออกมา “นอกจากผู้หญิงคนนี้แล้ว เกรงว่าคงไม่น่าจะมีใครรู้ว่าฉินเฉิงอยู่ที่ไหน!”
พูดจบผู้พิทักษ์คนที่สองก็หันหน้าไปมองหยานรัวหยูและพูดออกมาว่า “ถึงแม้ว่าเธอจะไม่บอก พวกเราก็หาเขาเจออยู่ดี”
หยานรัวหยูกัดฟันและพูดออกไปว่า “ฉัน…ฉันไม่รู้…”
“จะไม่บอกใช่ไหม?” ผู้พิทักษ์คนที่สองพูดออกมาว่า “ได้ ถ้าเธอไม่พูด ฉันจะฆ่าพวกเธอทั้งหมด!”
“เจ้าสาม ลงมือ”
ผู้พิทักษ์คนที่สามยิ้มและพูดออกมา “ได้”
“เจ้าสำนักหนาย คุณบอกเขาไปเถอะ!” ลูกศิษย์ของเธอพูดออกมาด้วยความตื่นตระหนก!
“ฉันยังไม่ยากตาย…”
“เจ้าสำนักหนาย ช่วยพวกเราด้วย…”
เมื่อเห็นทุกคนตื่นตระหนกก็มีรอยยิ้มออกมาที่มุมปากของผู้พิทักษ์คนที่สอง
“ทำไม เพื่อฉินเฉิงเพียงคนเดียวจะยอมแลกชีวิตของคนทั้งหมดนี้เลยอย่างนั้นเหรอ?” ผู้พิทักษ์คนที่สองถามออกมา
หยานรัวหยูเองก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย เอาชีวิตของลูกศิษย์เธอมาเป็นเดิมพันแบบนี้จะไม่ให้เธอทุกข์ใจได้อย่างไร
ในตอนนั้นเอง เมฆดำก็ควบแน่นบนท้องฟ้า
เมฆดำควบแน่นบนท้องฟ้าเหนือหุบเขา ทำให้เวลากลางเป็นกลายเป็นกลางคืนทันที!