ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 269 ต้องพาคนผู้นี้กลับ + บทที่ 270 ทำตัวอวดเบ่ง
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 269 ต้องพาคนผู้นี้กลับ + บทที่ 270 ทำตัวอวดเบ่ง
บทที่ 269 ต้องพาคนผู้นี้กลับ
เฉียวเทียนช่างหรี่ตา ในใจเขายิ้มเย็น ไม่ว่าตัวตนของหนิงเมิ่งเหยาจะเป็นใคร นางคือภรรยาของเขา และนี่คือความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ไม่ว่าใครที่อยากจะแยกพวกเขาออกจากกัน มันผู้นั้นต้องชดใช้ด้วยราคาที่สาสม
“เช่นนั้นข้าก็สบายใจ” หนิงเมิ่งเหยาถอนหายใจ นางไม่อยากไปเมืองหลิง
เทียบกับที่นั่นแล้ว นางชอบเมืองเซียวมากกว่า
“เช่นนั้น ถ้าในอนาคต…” เฉียวเทียนช่างอยากถามว่านางจะทำอย่างไรถ้านางพบข้อมูลเกี่ยวกับหนานกงเยี่ยน
หนิงเมิ่งเหยายิ้มพร้อมมองเฉียวเทียนช่าง รอยยิ้มของนางไปถึงดวงตา “ข้าเป็นภรรยาของเจ้า ข้าจะไปทุกที่ที่เจ้าไป”
“ถูกต้องแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาทำให้เฉียวเทียนช่างเป็นสุขใจด้วยเพียงประโยคเดียว เขายิ้มจนดวงตาหยี ใบหน้าเปี่ยมสุข
หนานกงเช่อทำหน้าถมึงทึงตอนกลับมายังพระราชนิเวศน์นอกเมือง เขาเหมือนจะพ่ายแพ้ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับหนิงเมิ่งเหยา โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าสองสามีภรรยา
ตอนเห็นหนิงเมิ่งเหยาครั้งแรก เขาไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องนี้ แต่พอกลับมา ข้ารับใช้บอกเขาว่าหนิงเมิ่งเหยาดูคุ้นตา หลังจากได้ยินเช่นนั้นเข้า เขาก็ระลึกได้ หน้าตาหนิงเมิ่งเหยาละม้ายคล้ายผู้สำเร็จราชการของพวกเขามาก
หลังจากนั้น เขาก็นึกได้ว่าผู้สำเร็จราชการที่หายหน้าไปในสองถึงสามปีมานี้ เหมือนจะกำลังตามหาใครบางคนอยู่ เพราะเช่นนั้น เขาจึงนึกถึงหนิงเมิ่งเหยาแล้วไปที่จวนแม่ทัพใหญ่เพื่อหาตัวหนิงเมิ่งเหยาวันนี้
แต่เขาไม่คิดว่าหนิงเมิ่งเหยาจะแย้งเขา และไม่เพียงแย้ง แต่ยังไม่ชอบหน้าเขาอีกด้วย สายตานางยิ่งทิ่มแทงนัก
“องค์รัชทายาท เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ที่ปรึกษาของหนานกงเช่อที่ยืนอยู่ข้างกายมองเขาอย่างสงสัย
“เจ้าไม่รู้หรอก ผู้หญิงที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง คนที่ดูเหมือนจะเป็นบุตรสาวของผู้สำเร็จราชการอย่างไรเล่า นางไม่ชอบข้าเลย ไม่เพียงเท่านั้น นางดูจะไม่ชอบเรื่องนี้อีกด้วย” หนานกงเช่อขมวดคิ้วแน่น รู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก
ที่ปรึกษาลอบมองหนานกงเช่อ “ถึงแม้ความคิดนางจะเป็นเช่นไรก็ตาม พระองค์ก็จำเป็นต้องดึงให้นางมาเข้าข้างเราให้ได้พ่ะย่ะค่ะ เพื่อจะได้รับการสนับสนุนจากท่านผู้สำเร็จราชการ”
“ข้ารู้ดี แต่ด้วยสถานะตอนนี้ของหนิงเมิ่งเหยา เรื่องนี้จึงจัดการได้ยากอยู่” หนานกงเช่อขมวดคิ้ว
ถ้าหนิงเมิ่งเหยาเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาอย่างที่พวกเขาสืบมาได้ พวกเขาเพียงต้องใช้เงินและลาภยศซื้อใจนาง แต่ตอนนี้นางมีสถานะสูง และไม่ได้ขาดแคลนเงินทองเลย
คงเป็นการยาก หากเขาจะทำให้นางโอนอ่อนผ่อนตาม
“ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะที่พระองค์เข้าพระทัย” ที่ปรึกษาผงกศีรษะ
“ไม่ว่าจะอย่างไร นางต้องกลับไปกับเรา” หลังจากที่ปรึกษาพูดจบ ดวงตาเขามีแววเจ้าเล่ห์ปรากฏ
นางเป็นเพียงหญิงสาวนางหนึ่ง จะก่อปัญหาได้สักเพียงใดเชียว
ขอเพียงพวกเขานำตัวนางกลับไปได้ ไม่ใช่ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะทำตามที่ตัวเองต้องการได้หรอกหรือ
หนานกงเช่อครุ่นคิดแล้วผงกศีรษะลง “แน่นอน ข้าเข้าใจ”
“เราจะอยู่ในเมืองเซียวอีกสักระยะ ขอให้องค์รัชทายาททรงช่วยสร้างสัมพันธ์อันดีกับหนิงเมิ่งเหยาในระหว่างนั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเมื่อถึงเวลาแล้วนางยังไม่ยอม เราก็ต้องใช้กำลังพานางกลับไป” สีหน้าที่ปรึกษาเปลี่ยนเป็นน่ากลัวในทันที
หนานกงเช่อขมวดคิ้วอย่างกังวล “ไม่ใช่ว่าความคิดเจ้าไม่ดี แต่…ถ้าถึงตอนนั้นแล้วนางพูดถึงเราไม่ดีต่อหน้าผู้สำเร็จราชการ…” การบังคับพานางกลับไปด้วยนั้น เป็นหนึ่งในวิธีที่จะทำให้นางได้เจอกับผู้สำเร็จราชการ หากนางไม่พูดอะไร ก็คงจะไม่เป็นไร แต่ถ้านางพูดถึงพวกเขาในแง่ร้าย พวกเขาจะสูญเสียมากกว่าได้ประโยชน์
ที่ปรึกษาชำเลืองมองหนานกงเช่อ เขาพูดจาคลุมเครือ “นั่นต้องขึ้นอยู่กับว่านางจะมีโอกาสพูดถึงด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าหมายความว่าอะไร” หนานกงเช่อชะงัก เขาหันมองที่ปรึกษาอย่างนึกกังวล
“ยาที่ข้าได้มานี้ใช้ควบคุมคนได้ ทำให้ทำตามที่เราสั่ง แต่…ยังไม่เคยทดลองใช้มาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ที่ปรึกษาขมวดคิ้ว
เขาอยากจะทดลองดูตั้งแต่ตอนได้ยามา แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที ครั้งนี้ หากนำไปลองกับหนิงเมิ่งเหยาก็ฟังดูไม่เลว
หนานกงเช่อย่นหัวคิ้วอย่างเป็นกังวล “ข้าเกรงว่าจะไม่ได้ผล ข้างกายหนิงเมิ่งเหยามีผู้เชี่ยวชาญด้านยาอยู่ด้วย” เมื่อนึกถึงชิงซวงแล้ว หนานกงเช่อก็ไม่คาดหวังกับแผนนี้สักเท่าไร
บทที่ 270 ทำตัวอวดเบ่ง
ที่ปรึกษามองยังหนานกงเช่อ “ยาตัวนี้มีระยะฟักตัวพ่ะย่ะค่ะ เมื่อกินเข้าไปในตอนแรกจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีผลก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงที่กำหนดไว้ แล้วคนผู้นั้นจะลืมทุกอย่างหลังจากทำตามที่เราสั่งเสร็จ”
ถ้าไม่มีสรรพคุณเช่นนี้เขาคงไม่นำมาบอกหนานกงเช่อ
ยาตัวนี้ผ่านการค้นคว้ามาก่อน ทว่าในตอนนั้นตัวยาที่ออกมาเป็นเพียงของที่ทำเสร็จแค่ครึ่งทาง แม้บัดนี้จะทำตัวยาเสร็จสมบูรณ์แล้วแต่ก็ยังไม่เคยทดลองใช้ พวกเขาจึงไม่รู้ว่าผลของยาเป็นอย่างไร
“เจ้าจะบอกให้ข้ารักษาความสัมพันธ์อันดีกับหนิงเมิ่งเหยาและสามีของนาง หลังจากนั้นค่อยคว้าโอกาส…” หนานกงเช่อขมวดคิ้ว มองที่ปรึกษา
เขาสงสัยว่าหนทางนี้จะมีประโยชน์จริงไหม
“ตามนั้นทุกประการพ่ะย่ะค่ะ” ที่ปรึกษาผงกศีรษะและมองหนานกงเช่อ
หนานกงเช่อยิ่งย่นหัวคิ้วเข้าหากัน เขานึกถึงท่าทีของหนิงเมิ่งเหยาต่อเขา จะสร้างสัมพันธ์อันดีกับสามีภรรยาคู่นั้นนับว่ายากนัก
หนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นไม่รู้เลยว่าในใจหนานกงเช่อคิดเช่นไร
นางมองยังเฉียวเทียนช่างอย่างสับสน “เทียนช่าง เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าต้องไป”
ก่อนหน้านี้มีคนรอบตัวเซียวชวี่เฟิงบอกเฉียวเทียนช่างว่าในอีกไม่กี่วัน จะมีเทศกาลไหว้พระจันทร์ และพวกเขาอยากจะเชิญทั้งสองไปฉลองที่วังหลวง
“ชวี่เฟิงเป็นคนเสนอ ข้าเกรงว่าพระองค์อยากจัดงานเลี้ยงใหญ่เพราะหนานกงเช่อและคนอื่นๆ” เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาไม่ค่อยชอบงานเลี้ยงในวังหลวงนัก และในอดีตก็มักจะปฏิเสธอยู่บ่อยครั้ง เขาจะไปก็ต่อเมื่อไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆ ครั้งนี้เขาเชิญให้ไปร่วมงาน ส่วนเหตุผลที่เชิญ…เขาคิดว่าแปลกพิกลอยู่
“หนานกงเยว่จะเข้าร่วมด้วย และไม่ใช่แค่นาง แต่คนจากเมืองเฟิงและเมืองข้างเคียงก็มาถึงแล้ว ข้าเกรงว่าครั้งนี้ยากจะปฏิเสธได้” เป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่แม่ทัพใหญ่เช่นเขาจะไม่เข้าร่วม และเมื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ ผู้ที่แต่งงานแล้วก็ต้องพาคู่ครองไปด้วย
หนิงเมิ่งเหยาทอดมองเฉียวเทียนช่างเงียบๆ “ยุ่งยากเสียจริง”
“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า แต่ไม่ว่าจะยุ่งยากอย่างไร เราก็ต้องไป ควรไปเตรียมตัวไว้ดีกว่า” เฉียวเทียนช่างบอกไม่ถูกว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หนิงเมิ่งเหยาทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ “ก็ได้”
ในเมื่อนางตกลงตามคำขอของเฉียวเทียนช่าง หนิงเมิ่งเหยาย่อมไม่อาจปล่อยให้ตัวเองทำตัวน่าขายหน้าในวันงานได้ ขณะที่เฉียวเทียนช่างงานยุ่ง นางไปร้านเสื้อผ้าและร้านเครื่องประดับเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ
หนิงเมิ่งเหยาพบกับหนานกงเช่อขณะนางกำลังดูเสื้อผ้าในร้าน มีหญิงสวมผ้าคลุมหน้าอยู่ข้างกายเขา
ในดวงตานางมีประกายเล็กๆ หนิงเมิ่งเหยาแสร้งไม่ทันสังเกตคนทั้งสอง “ชิงเสวี่ย ไปกันเถอะ”
“ข้าสงสัยนักว่าภรรยาของท่านแม่ทัพใหญ่ชอบเสื้อผ้าแบบใด ถ้าเจ้าชอบ ข้าซื้อให้เจ้าได้นะ” หนานกงเช่อเอ่ยเมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยากำลังจะออกไป เขาคิดว่านางอาจจะรู้สึกว่าเสื้อผ้าร้านนี้แพงไป
หนิงเมิ่งเหยามองเขาอย่างสงบนิ่ง นางหันศีรษะไปพูดกับชิงเสวี่ย “ชิงเสวี่ย ข้าดูยากจนรึ”
ชิงเสวี่ยมองไปทางหนิงเมิ่งเหยา นางฉวยเอาปึกกระดาษออกมาจากกระเป๋า ทั้งปึกมีมูลค่าอย่างน้อยนับแสน
“ข้าไม่ได้ยากจนถึงขั้นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ถ้าไม่มีอะไร เลิกทำตัวโอ้อวดเสียดีกว่า” หนิงเมิ่งเหยามองหนานกงเช่ออย่างรังเกียจพร้อมออกไปกับชิงเสวี่ย
ทำตัวอวดรวยต่อหน้านางอย่างนั้นหรือ เขาไม่กลัวนางบดขยี้เขาด้วยเงินของนางรึ
หนานกงเช่อสำลัก ไม่อาจโต้เถียง
หนานกงเยว่ที่มองเห็นแผ่นหลังพวกนางตอนออกไปขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “ท่านพี่ นั่นคือหญิงที่ท่านเล่าให้ฟังหรือ นางดูคล้ายเขาอยู่บ้างจริงๆ ด้วย”
“ใช่ แต่ความเจ้าอารมณ์ของนางนั้นไม่ดีเอาเสียเลย” หนานกงเช่อฮึดฮัด
หนานกงเยว่มองยังพี่ชายแล้วส่ายศีรษะเบาๆ
นางเองยังบอกได้ว่าหญิงนางนั้นไม่ธรรมดา แม้ดวงตานางจะดูอ่อนโยน ทว่าก็มีความทะนงตน นางมั่นใจในตัวเอง และมีศักดิ์ศรี
สิ่งที่พี่ชายทำเป็นการตบหน้านางอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่น่าแปลกใจเลยที่อีกฝ่ายใช้เงินกู้หน้าตัวเองกลับมา
“เสด็จพี่ วิธีของท่านมันผิด ทำเช่นนั้นมีแต่จะทำให้นางยิ่งนึกรังเกียจ” นางและหนานกงเช่อเป็นพี่น้องต่างมารดา แต่เสด็จพ่อได้ขอให้นางมาช่วยเสด็จพี่ ไม่อย่างนั้นแล้วนางคงไม่สนใจเขาสักนิดเดียว
เทียบกับหนานกงเช่อแล้ว นางที่เพิ่งได้พบกับหนิงเมิ่งเหยาเพียงครั้งเดียว ก็มีภาพความประทับใจในตัวนางแล้ว