ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 100
ตอนที่ 100 จุดติดขัดของการฝึกวิชา
บ่อไอเหล็กวินาศบนยอดเขาว่านคูเฟิงนั้นกว้างกว่ายี่สิบจั้ง ขนาดมันเทียบได้กับทะเลสาบเลยด้วยซ้ำ ไอพลังวินาศสีดำกำลังผุดขึ้นมาจากบ่อนั้น
ข้างๆบ่อนั้นมีห้องที่กำแพงทำมาจากหินอยู่หลายห้อง
ในห้องที่ 11 ที่ซึ่งกว้างห้าจั้ง มีท่ออยู่ตรงมุมที่คอยเชื่อมเข้ากับบ่อไอเหล็กวินาศอยู่ ไอวินาศสีดำที่ซึ่งไม่ได้เข้มข้นเท่ากับในบ่อได้ไหลเข้ามาสู่ห้องนี้
ฉ่าๆๆๆ!
ในขณะที่ไอเหล็กวินาศนั้นกำลังเข้าสู่ร่างกายของเขา เมิ่งชวนก็รู้สึกได้ว่าทั้งร่างของเขานั้นร้อนขึ้น จิตใจของเขาเองก็ถูกกระแสพลังวินาศเข้ามาปั่นป่วนด้วยเช่นกัน ภายใต้ผลของกระแสพลังวินาศ วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาก็ด้อยประสิทธิภาพลง หากเป็นอัจฉริยะธรรมดาการยังมีสติอยู่ก็ยังเป็นเรื่องยากเลย แต่ถึงอย่างนั้นเมิ่งชวนก็มีแก่นสารแห่งจิตคอยช่วยเขาต่อต้านกระแสพลังวินาศเหล่านี้ และนี่ทำให้เขายังคงสติเอาไว้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ จนทำให้เขาสามารถใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาได้อย่างสมบูรณ์แบบ และให้กล้ามเนื้อของเขาใช้พลังออกมาได้อย่างเต็มที่
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเมิ่งชวนถึงสามารถผ่านการขัดเกลาครั้งที่สี่ได้ในเวลาอันสั้น และในตอนนี้เขาก็ผ่านมาครึ่งทางสำหรับการขัดเกลาครั้งที่ห้า เขาสามารถทนผลจากกระแสพลังวินาศที่ส่งผลต่อจิตใจของเขาได้โดยสมบูรณ์แบบ
‘ขอบเขตวิชากระบี่ของข้ายังไม่สูงพอ ถ้าข้ายังไม่บรรลุ “เจตจำนงกระบี่” ข้าก็จะใช้พลังกายออกมาได้ไม่ถึงที่สุด ตอนนี้ร่างกายของข้าดูดซึมพลังวินาศได้ช้าลงมากแล้ว’ เมิ่งชวนเป็นกังวลเล็กน้อย ‘นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าขัดเกลาครั้งที่ห้า ประสิทธิภาพของกระแสพลังวินาศที่เข้ามาขัดเกลาร่างของข้าก็ลดลงเรื่อยๆ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าอาจจะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีในการขัดเกลาครั้งที่ห้า นี่ยังไม่รวมหากพรุ่งนี้ความเร็วในการซึมซับของข้ามันช้าลงไปกว่านี้อีก’
‘ถ้าอย่างนั้นการขัดเกลาครั้งที่หกล่ะ? จะต้องใช้ซักห้าปีหรือสิบปีกัน? แล้วครั้งที่เจ็ด แปด และเก้าล่ะ?’ เมิ่งชวนส่ายหัวเบาๆ
เขาหยวนชูนั้นมีหนังสือเกี่ยวกับจุดหมายของการฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้ามากมาย
หากต้องการที่จะฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าไปให้สูงกว่านี้ ความคืบหน้าของพวกเขานั้นจะถูกจัดสินจากหลายๆอย่าง
อย่างแรกคือร่างกาย ยิ่งรากฐานของร่างกายแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดูดซึมและหลอมรวมเข้ากับกระแสพลังวินาศได้ดีมากขึ้นเท่านั้น รากฐานเทพอสูรของเมิ่งชวนนั้นแข็งแรงมากกว่ามนุษย์ธรรมดาถึงสามเท่า แม้จะด้อยกว่าของเชวเฟิง แต่ว่าก็ไม่ได้ถือว่าแย่ มันน่าพึงพอใจเลยล่ะ รากฐานเทพอสูรนี้ที่เกิดมาจากหยดไขกระดูกหยกเทพอสูร ผลใจเหมันต์ และหญ้าวิญญาณดารา เรียกได้ว่าเป็นรากฐานเทพอสูรที่ดูดีเลยในหมู่อัจฉริยะหลายๆคน เมิ่งชวนรู้สึกซาบซึ้งในตระกูลและพ่อของเขามาก
อย่างที่สองคือพลังใจ ยิ่งพลังใจของคนๆนั้นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มันช่วยลดผลกระทบของกระแสพลังวินาศได้ พลังใจที่แข็งแกร่งจะช่วยทำให้เขาสามารถใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาได้ดียิ่งกว่าเดิม ด้วยแก่นสารแห่งจิต เมิ่งชวนยังคงมีสติอยู่ชัดเจนตลอดเวลา! เขาสามารถใช้วิชากระบี่ขัดเกลาร่างได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ! ตรงจุดนี้เขาได้คะแนนเต็มไป
สามคือระดับขอบเขต ร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นต้องการให้ผู้ฝึกขั้นต่ำต้องอยู่ในระดับ “เจตจำนง” นี่เป็นเพราะ “เจตจำนง”นั้นจะช่วยให้ร่างกายของคนเราส่งพลังออกมาได้มากกว่า “พลัง” หลายเท่า! “เจตจำนง” ยังช่วยให้ผู้ฝึกใช้ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และนั่นก็จะทำให้สามารถดูดซึมกระแสพลังวินาศได้เพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น “เจตจำนงกระบี่” จะช่วยทำให้เขาใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น และนั่นเองก็ช่วยทำให้สามารถดูดซึมได้มากขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นผู้ฝึกจะต้องไปให้ถึงระดับเจตจำนงก่อนที่จะมีโอกาสไปถึงจุดขัดเกลาที่เจ็ด และนั่นก็เป็นเพียงแค่โอกาสเท่านั้นด้วย
อัจฉริยะหลยคนไปถึงระดับเจตจำนง แต่ยิ่งพวกเขาขัดเกลาร่างของตนไปมากเท่าไหร่ กระแสพลังวินาศก็ทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาแทบจะรักษาสติเอาไว้ไม่อยู่ด้วยซ้ำตอนที่กระแสพลังวินาศเข้าทำร้ายจิตใจของพวกเขา ดังนั้น ประสิทธิภาพที่ได้จากวิชากระบี่สำหรับขัดเกลาก็ได้เพียงน้อยนิด หากพวกเขามีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแรงพอ พวกเขาก็อาจจะได้เข้าถึงจุดขัดเกลาที่เจ็ด แต่หากรากฐานของพวกเขานั้นอ่อนแอ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีหวังที่จะไปถึงจุดขัดเกลาที่เจ็ด
ข้าจะลองใช้แก่นสารแห่งจิตดู เขารู้ว่าพลังวิญญาณคือพลังของแก่นสารแห่งจิต แก่นสารแห่งจิตนั้นเกี่ยวข้องกับร่างกาย และมันคงจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของร่างกายได้ดีที่สุด
ตูม!
พลังของแก่นสารแห่งจิตหลอมรวมกับร่างกายของเขา เขาสามารถรับรู้ร่างกายของตัวเองได้ดีขึ้นหลายเท่า เลือดจากหัวใจก็สูบฉีดเหมือนสายน้ำ ปอดและลมหายใจก็เหมือนกับลมหวิวที่พัดในถ้ำหมื่นกระบี่ ด้วยการรับรู้ที่พัฒนาขึ้น เขาสามารถใช้พละกำลังและความเร็วได้มากกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลา ผลของการขัดเกลาที่เขาได้รับนั้นไม่ได้น้อยไปกว่าการใช้ “เจตจำนง”เลย
ร่างกายของเขาดูดซึมกระแสพลังวินาศเข้าไปอย่างรวดเร็ว ประสิทธิภาพของการขัดเกลาเพิ่มขึ้นในทันที อย่างไรก็ตาม มันดูดพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้าไปเร็วเกินไป ก่อนที่เขาจะใช้กระบี่สำหรับขัดเกลาครบจบหนึ่งท่า แก่นสารแห่งจิตของเขาก็หมดลงแล้ว
เมิ่งชวนส่ายหัว ผลการดูดซับกระแสพลังวินาศเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าตัว โชคไม่ดีที่มันอยู่ได้ไม่นาน ข้าฝึกได้ครั้งหนึ่งในตอนเช้า ในตอนกลางคืนเมื่อแก่นสารแห่งจิตของข้าฟื้นตัว ข้าก็จะฝึกได้อีกครั้ง ข้าสามารถขัดเกลาร่างกายด้วยกระแสพลังวินาศอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดได้สองครั้งต่อวัน แต่ว่ามันสั้นเกินไป
ก่อนหน้านี้เขาฝึกวิชาเป็นเวลาหนึ่งชั่ยวยาม แต่ในตอนนี้เขาทำได้ไม่กี่วินาทีด้วยซ้ำ มันสั้นเกินไป
แม้จะทำได้วันละสองครั้งมันก็ยังคงใช้เวลาเป็นปี ยังมีจุดขัดเกลาที่หกและที่เจ็ดอยู่อีก… เมิ่งชวนส่ายหัว นี่ไม่ใช่หนทางออก
‘ทางสำเร็จห่างออกไปอีกเพียงครึ่งทาง ข้าจะพยายามเข้าถึง “เจตจำนงกระบี่” ให้ได้ก่อนที่ข้าจะขัดเกลาร่างกายต่อ หากข้าไปถึง “เจตจำนงแห่งกระบี่” ได้ ข้าก็คงจะผ่านจุดขัดเกลาที่ห้านี้ไปในในเวลาห้าวัน ไม่จำเป็นต้องใช้แก่นสารแห่่งจิตโดยสิ้นเปลืองทุกๆวัน มันไม่ดีต่อการฝึกฝนของข้าด้วยเหมือนกัน’
‘การขัดเกลาร่างกายด้วยกระแสพลังวินาศนั้นช้าเกินไป จากที่ในคัมภีร์ได้บอกเอาไว้ ข้าควรจะหยุด ยิ่งข้าโดนกระแสพลังวินาศมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายของข้ามากเท่านั้น อัจฉริยะหลายคนถึงขั้นล้มลงสลบจนต้องหยุดไปในทันที ความเร็วในการขัดเกลาของข้านั้นช้า ไม่มีเหตุที่จะต้องฝืนต่อไปอย่างโง่เง่า’
อัจฉริยะบางคนก็ไปถึงขอบเขตของ “จิตจำนง” แล้ว แต่เพราะด้วยกระแสพลังวินาศที่ส่งผลต่อจิตใจ มันจึงทำให้พวกเขานั้นยังคงสติเอาไว้ได้ยาก นี่ทำให้การใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาไม่มีประสิทธิภาพสำหรับพวกเขา ร่างกายของพวกเขานั้นได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงหลังจากโดนกระแสพลังวินาศมากเกินไป
วิธีที่ดีที่สุดคือฝึกฝนจิตใจ อย่างการไปให้ถึงยอดของแท่นบูชาแห่งความมืด! หากมีพลังใจที่เพียงพอ จะยังพอสามารถใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาได้มีประสิทธิภาพประมาณ 6 ถึง 7 ส่วน แม้จะโดนผลกระทบจากกระแสพลังวินาศก็ตาม วิธีนี้คือความหวัง
แต่การฝึกฝนพลังใจนั้นยากนัก! ปกติแล้วต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีสำหรับเหล่าอัจฉริยะในการฝึกจิตใจ เหล่าอัจฉริยะจะเสียเวลานานขนาดนั้นไม่ได้
รากฐานเทพอสูรถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ระดับชำระแก่นแท้ จะให้เปลี่ยนตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้
และการไปให้สูงกว่านั้นมันยากเสียยิ่งกว่า
เขาหยวนชูให้เวลาศิษย์สิบปีในการเป็นเทพอสูรระดับสูงเป็นอย่างต่ำ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกขับออกจากนิกายใน และด้วยข้อจำกัดของเวลาแล้ว การฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษจึงยากเย็นมาก
นอกจากร่างเทพวิหคเพลิงและร่างเทพมังกรแล้ว นี่จึงทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าทำไมร่างเทพอสูรห้าร่างจากทั้งสิบร่างอย่าง ร่างเทพหยวนชู ร่างเทพวัฏสังสาร ร่างอสูรตัดสายฟ้า ร่างอสูรสิบสามกระบี่วินาศ และร่างอสูรกายาทรงพลังนั้นฝึกฝนได้ยากที่สุด
หากข้าอยากจะไปถึงจุดขัดเกลาที่เก้าได้ ข้าจะต้องเข้าถึงเจตจำนงแห่งกระบี่ให้ได้ก่อน เมิ่งชวนออกจากห้องไปโดยไม่รีรอ
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะหยุดฝึกร่างเทพอสูรและตั้งใจฝึกวิชากระบี่อย่างเดียว เวลาที่เขาใช้ในการฝึกร่างเทพอสูณก็ถูกเปลี่ยนมาใช้ฝึกกระบี่แทน
เขาใช้เวลาสามชั่วยามครึ่งในการฝึกทุกๆเช้า! หลังตอนเที่ยงเสร็จเขาก็วาดรูปในเวลาพักเหนื่อย แม้เขาจะชอบฝึกวิชากระบี่ไว แต่ไม่ว่าอย่างไรการฝึกในถ้ำหมื่นกระบี่เป็นเวลานานมันก็เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก การวาดรูปนั้นไม่มีขีดจำกัด เขาสามารถวาดทุกสิ่งที่ใจคิดได้ ช่วยให้จิตใจของเขาผ่อนคลายโดยสิ้นเชิง
หลังจากกินอาหารในตอนบ่าย เขาก็จะมุ่งหน้าไปยังถ้ำหมื่นกระบี่และใช้เวลาอีกสองชั่วยามในการฝึกท่าร่างดวงใจกระบี่ให้สมบูรณ์ สรุปแล้ว เขาใช้เวลาไปสิบเอ็ดชั่วโมงในการฝึกกระบี่จิตพิสุทธิ์ในแต่ละวัน!
…
เพียงชั่วพริบตาก็ถึงเดือนมิถุนายน
บนยอดจิ้งหมิงเฟิงตอนกลางคืน
“พ่อบ้านหลิว เมิ่งชวนไปตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?” หลิวชีเยว่วางจานลงบนโต๊ะและถาม
“ท่านเมิ่งชวนออกไปตอนเวลา 16:45 ขอรับ” พ่อบ้านหลิวกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“เข้าใจแล้ว เจ้ากลับก่อนได้เลย” หลิวชีเยว่บอก
“ขอรับ” พ่อบ้านหลิวกลับไปอย่างนอบน้อม
หลิวชีเยว่นั่งลงบนโต๊ะและมองดูอาหารที่เธอเตรียมมา ‘ช่วงนี้อาชวนฝึกจนดึกดื่นตลอดเลย ตั้งแต่ขึ้นมาบนเขาหยวนชูได้หกเดือน เขาก็ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งมากกว่าตอนอยู่ที่บ้านเยอะเลย’
ใจเธอรู้สึกปวดร้าวเล็กน้อย
หลังจากฝึกฝนหลายชั่วยาม ความเหนื่อยล้าของจิตใจก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการฝึกลดลงด้วย จากที่อาจารย์ได้บอกมา เธอควรจะหยุดพักหากรู้สึกหมดแรงจริงๆและฝึกฝนได้ไม่มีประสิทธิภาพ การฝืนฝึกต่อไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แต่ถึงอย่างนั้นเมิ่งชวนกลับฝึกฝนอย่างยาวนาน
เธออ่านหนังสือรออยู่ที่โต๊ะอย่างเงียบๆ
…
ตกดึก ในที่สุดเมิ่งชวนที่อ่อนล้าก็กลับไปที่ถ้ำของเขา
“อาชวน” หลิวชีเยว่ลุกขึ้น
“ชีเยว่” ใบหน้าที่อ่อนล้าของเมิ่งชวนดูสดใสขึ้นเมื่อได้เห็นหลิวชีเยว่
“ข้าทำอาหารให้เจ้าเองเลยนะ ลองดูสิ” หลิวชีเยว่กล่าว เธอเอามืออังที่จานแต่ละจานก่อนจะอุ่นมันขึ้นอย่างรวดเร็ว ใช้พลังของสายเลือดวิหคเพลิงในการอุ่นอาหารเป็นอะไรที่หาดูได้ยากจริงๆ
เมิ่งชวนมองดูจานที่กำลังร้อนขึ้น ไอน้ำลอยขึ้นมาจากน้ำซุป
ดูเขาจะรู้สึกซาบซึ้ง ชีเยว่คงจะรอเขามานานแล้ว
“โอ้ มีหมูสามชั้นของโปรดด้วย” เมิ่งชวนตาเป็นประกาย เขานั่งลงและหยิบตะเกียบขึ้นมา
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“มากินด้วยกันสิ” เมิ่งชวนกล่าวขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าอิ่มแล้ว” หลิวชีเยว่กล่าว
“แต่ข้ารู้สึกหิวน่ะ” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ เขาฝึกฝนกระบี่จิตพิสุทธิ์มาเป็นเวลากว่าสองชั่วยามในถ้ำหมื่นกระบี่ เขาต้องหิวอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
หลิวชีเยว่มองดูด้วยรอยยิ้ม แต่เธอก็ยังบอกกับเมิ่งชวน “อาชวน อย่าหักโหมฝึกหนักเกินไปล่ะ อาจารย์ของข้าบอกว่าถ้าโหมฝึกหนักมากเกินไปตอนที่เจ้าอ่อนแรงก็มีแต่จะส่งผลเสีย”
“ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าเข้าใจ” เมิ่งชวนพยักหน้า
“ข้าบอกเจ้าไปกี่ครั้งก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี” หลิวชีเยว่พูดอย่างไม่ค่อยพอใจ
เมิ่งชวนยิ้มไม่ได้แก้ตัวอะไร
หากเขาไม่ได้วาดภาพไปหนึ่งชั่วยามในตอนบ่าย เขาคงจะไม่มีแรงพอที่จะฝึกกระบี่ในตอนเย็นหรอก
เวลาในการวาดภาพของเขานั้นไม่ได้แน่นอน มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ บางครั้งก็เร็ว บางครั้งก็นาน เขาไม่ได้จำกัดเวลากับการที่เขาได้มีความสุขกับตัวเอง ดังนั้นเมิ่งชวนจึงไม่มีเวลาที่แน่นอนตอนกลับมาในยามดึก บางครั้งหลิวชีเยว่ก็ต้องรออยู่นานพอควร
“ชีเยว่ ข้าเริ่มรู้สึกได้ว่า” เมิ่งชวนมองไปที่หลิวชีเยว่และพูดเบาๆ “ข้าใกล้จะบรรลุ“เจตจำนงกระบี่”แล้ว ในอีกครึ่งเดือนข้าคงจะไปถึงจุดนั้นได้”
“จริงหรือ?” หลิวชีเยว่ตาเป็นประกายเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“อีกไม่นาน ข้าจะใช้วิชากระบี่ให้เจ้าดู” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิวชีเยว่พยักหน้า ตาเธอดูสดใส เธอมีความสุขที่ได้เห็นเมิ่งชวนแข็งแกร่งขึ้น