ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 102
ตอนที่ 102 ก้าวหน้าด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
“อาชวน” หลิวชีเยว่ทำหน้าดีใจ
“ชีเยว่” เมิ่งชวนเดินไปหาและชำเลืองมองเฉียนหยู “แล้วนี่คือ?”
เฉียนหยูยิ้มและพูด “ข้าชื่อเฉียนหยู เราเคยเจอกันที่คาบแนะนำของปรมาจารย์ที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์ และพวกเราก็ยังเคยเจอกันที่เต๋าเจี่ยวหลิงมาก่อนด้วย แค่พวกเรายังไม่เคยพูดคุยกันเท่านั้นเอง”
ที่เต๋าเจี่ยวหลิงเหล่าศิษย์ที่ยังไม่ได้เป็นเทพอสูรจะรวมตัวกันอยู่ตรงๆหนึ่ง ส่วนพวกศิษย์ที่เป็นเทพอสูรแล้วจะไปรวมตัวกันที่อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่เคยได้คุยกันอยู่แล้ว
“ศิษย์พี่เฉียน” ทักทายเมิ่งชวนด้วยรอยยิ้ม
“การสอบเข้าของปีนี้เจ้าทำได้ที่หนึ่งจริงๆสินะศิษย์น้อง?” เฉียนหยูถามด้วยรอยยิ้ม “ในฐานะรุ่นพี่ข้าขอบอกว่าทุกๆปีนั้นจะมีศิษย์ที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้หนึ่งหรือสองคน การฝึกฝนร่างกายเทพอสูรระดับสูงพิเศษให้สำเร็จได้นั้นมันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หากเจ้าคิดว่าการฝึกฝนนั้นยากเย็น เจ้าควรจะยอมแพ้เสียแต่เนิ่นๆ ท่านอาจารย์ของข้าเองก็บอกไว้ว่าเวลาในการฝึกฝนวิชานั้นมีค่ามาก ดังนั้นเจ้าไม่ควรจะเสียมัน หากเจ้าใช้เวลาห้าปีในการฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษโดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ มันจะกลายเป็นความเสียหายครั้งใหญ่แน่”
“ชอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่การฝึกฝนร่างอสูรตัดสายฟ้าของข้านั้นค่อนข้างจะราบรื่นเลย” เมิ่งชวนกล่าว
“โอ้?” เฉียนหยูพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “มีศิษย์กว่า 200 คนที่ยังไม่ได้ลงจากภูเขา มีสองคนที่ฝึกฝนร่างอสูรตัดสายฟ้าได้สำเร็จ คนหนึ่งคือศิษย์น้องซางไท่ เขาได้เป็นเทพอสูรในการขัดเกลาที่เจ็ด ส่วนอีกคนคือศิษย์น้องเฮาชาง ในตอนนี้เขาอยู่ในจุดขัดเกลาที่เจ็ดเหมือนกัน”
“คนหลังใช้เวลาไปกว่าเจ็ดปีพยายามจะไปให้ถึงจุดขัดเกลาที่แปดก่อนเส้นตายสิบปี มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่สำเร็จ น้องเมิ่ง ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษนั้นมันยากกว่าที่เจ้าคิด ยิ่งเจ้าไปไกลมากเท่าไหร่มันก็จะยากมากขึ้นเท่านั้น บางทีเราก็ควรจะหยุดเสียตั้งแต่ตอนที่ควรหยุด”
“เอาล่ะ ข้าพูดมากเกินไปแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นตัวเลือกของเจ้าเอง” เฉียนหยูยิ้มให้เมิ่งชวนก่อนที่จะมองไปที่หลิวชีเยว่ “น้องหลิว ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
จากนั้นเฉียนหยูก็ออกไปจากถ้ำ
“ศิษย์พี่รักษาตัวด้วย” เมิ่งชวนกล่าวอย่างสุภาพ
“ศิษย์พี่รักษาตัวด้วย” หลิวชีเยว่กล่าวเสริม
เมื่อได้ยินทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมกัน เฉียนหยูก็ออกไปไวกว่าเดิม พอเขาหันหลังไปแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป
‘เธอชอบอยู่เงียบๆคนเดียวรึ? เธอไม่ชอบให้ใครไปที่ถ้ำของเธอรึ? โกหก! เมิ่งชวนนั่นเข้าได้ตามใจต้องการเลยด้วยซ้ำ’ เฉียนหยูดูเหมือนจะไม่พอใจอยู่ ‘แล้วตระกูลข้ายังมีหน้ามาบอกให้ข้าพยายามแต่งงานกับเธออย่างนั้นรึ? มันจะไปมีโอกาสรึไง?’
มีเทพอสูรชายของเขาหยวนชูหลายคนที่อยากจะแต่งงานกับเทพอสูรหญิง เพราะไม่ว่าอย่างไรเทพอสูรที่ทรงพลังสองคนจะสามารถให้กำเนิดลูกที่น่าทึ่งออกมาได้
และการแต่งงานกับหลิวชีเยว่ที่ปลุกสายเลือดวิหคเพลิงมาแล้วนั้น มันก็เหมือนกับว่าได้เพิ่มสายเลือดวิหคเพลิงเข้าไปในตระกูล บนเขาหยวนชูนี้ แม้ศิษย์หลายคนจะใช้เวลาฝึกฝน แต่ก็มีบางคนที่เข้ามายุ่มย่ามกับหลิวชีเยว่
“มีมาอีกคนแล้วหรือ?” เมิ่งชวนมองดูอีกฝ่ายเดินไป เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสีหน้าของเฉียนหยูดูบิดเบี้ยวมากแค่ไหนผ่านขอบเขตการรับรู้ของเขา นั่นทำให้เขาได้แต่หัวเราะ “แล้วนี่คนที่เท่าไหร่แล้วล่ะ?”
“เขาเป็นคนที่สามแล้วที่มาที่ถ้ำของข้า” หลิวชีเยว่พูดอย่างช่วยไม่ได้ “น่ารำคาญจริงเชียว พ่อของข้าพูดถูก! พอข้าปลุกสายเลือดวิหคเพลิงขึ้นมา ตระกูลเก่าแก่หลายๆตระกูลก็จ้องแต่ส่งคนให้มาตามตื๊อข้า”
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ” หลิวชีเยว่หันไปมองเมิ่งชวนด้วยความสงสัย “อาชวน ไม่ใช่ว่าเจ้าจะฝึกวิชากระบี่สามชั่วยามครึ่งทุกๆเช้าอย่างนั้นหรือ? ทำไมวันนี้กลับมาเร็วจังล่ะ?”
เมิ่งชวนกระซิบ “ข้าเข้าถึง “เจตจำนงกระบี่” แล้ว”
หลิวชีเยว่ดูดีใจ “เจ้าทำได้แล้วเหรอ?”
“ข้ายังเรียนรู้ท่าจากโลหะทมิฬไปแล้วด้วย” เมิ่งชวนกล่าวต่อ
ดวงตาของหลิวชีเยว่เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
การที่ศิษย์ในเข้าถึงขอบเขตแห่ง “เจตจำนง” นั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะสุดท้ายแล้วศิษย์ในเหล่านี้ก็จะเลือกวิชาเทพอสูรระดับสวรรค์ที่มีการชี้นำของเจตจำนง เมื่อมีการชี้นำของเจตจำนง พวกเขาก็น่าจะไปถึงขอบเขตแห่ง “เจตจำนง” ได้ภายในไม่กี่ปี
อย่างไรก็ตาม มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึง “เจตจำนง” ได้ด้วยมรดกโลหะทมิฬ เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ทำได้แค่อ่านและดูคำอธิบายเท่านั้นหากพวกเขาไม่มีแก่นสารแห่งจิตที่แข็งแกร่งพอ มันยากเสียยิ่งกว่าการฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษให้สำเร็จเสียอีก
“ท่าของโลหะทมิฬท่าไหนเหรอ?” หลิวชีเยว่พยายามเก็บความตื่นเต้นเอาไว้และถาม
“ท่าร่างแรกของวิชากระบี่จิตพิสุทธิ์” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันยังเป็นหัวใจหลักของวิชากระบี่นี้ด้วยเหมือนกัน”
“แสดงให้ข้าดูหน่อยสิ” หลิวชีเยว่รบเร้า “ข้ายังไม่เคยเห็นใครใช้ท่าของโลหะทมิฬเลย”
“ได้เลย” เมิ่งชวนพยักหน้า “ออกมากับข้า”
เขาเดินออกไปเช่นเดียวกันกับหลิวชีเยว่
เมิ่งชวนเดินออกไปจากถ้ำและมองขึ้นไปบนภูเขา ไม่นานเขาก็เลือกภูเขาที่ตั้งตระหง่านลูกหนึ่ง เขาเดินไปและพูด “ดูให้ดี”
หลิวชีเยว่มองดูอย่างตั้งใจ
ทันใดนั้น พลังและพลังปราณของเขาก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน โดยมีเจตจำนงแห่งกระบี่คอยชี้นำ ก่อนที่เขาจะชักกระบี่ออกมาโดยไม่รีรอ!
ลำแสงกระบี่ดูจะเห็นได้ยากเมื่อมันพุ่งเข้าใส่หน้าผา มันเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ก่อนจะเกิดเสียงระเบิดดังทุ้มขึ้นในตอนที่มันชนเข้ากับภูเขา
“เร็วอะไรอย่างนี้” หลิวชีเยว่เป็นนักเกาฑัณฑ์ เธอเห็นลูกศรที่พุ่งเร็วเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ว่าความเร็วในการโจมตีของเมิ่งชวนนั้นทำให้เธอต้องประหลาดใจ เธอมองไปที่หน้าผา “ผานั่น…”
หน้าผาก็ยังคงอยู่ดี
ครืนนนน!
จากนั้นหน้าผาที่สูงกว่าสิบจั้งก็สลายไป กลายเป็นแค่ฝุ่นที่ลอยคลุ้ง เห็นได้ชัดว่ามันถูกระเบิดหยินหยางเปลี่ยนให้กลายเป็นฝุ่น
“พลังขนาดนี้!” หลิวชีเยว่ตะลึง “นี่คือพลังของท่าของโลหะทมิฬอย่างนั้นเหรอ?”
เมิ่งชวนคิดในใจ ‘นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของท่าร่างดวงใจกระบี่ ท่าดวงใจกระบี่นั้นก็มีชื่อเสียงในเรื่องของการโจมตีอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ปกติแล้วการฟาดฟันหลายๆครั้งติดกันจะใช้เวลาซักพัก แต่ว่าท่าดวงใจกระบี่นั้นสามารถฟันออกไปอย่างต่อเนื่องได้อย่างไม่มีจำกัดและในแต่ละการฟาดฟันก็แทบจะไม่ห่างกันเลยด้วย ลำแสงกระบี่อันเดียว แม้มันจะมีเป้าหมายคือฟันใส่ใบมีดลมหนึ่งเล่ม แต่บางครั้งหากใบมีดลมสิบเล่มลอยเข้ามาพร้อมกัน มันก็สามารถผ่าใบมีดลมทั้งสิบนั้นได้พร้อมๆกัน นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าข้าชักกระบี่ได้ไวมากเท่าไหร่เท่านั้น’
หากเขาจะโจมตีออกไปอย่างต่อเนื่อง ศัตรูก็ต้องหลบไปมาเป็นระวิง มันอาจจะทนรับมือการโจมตีได้นิดหน่อย แต่สุดท้ายแล้วมันก็จะหมดท่า ยิ่งไปกว่านั้น ระเบิดหยินหยางก็จะสร้างความเสียหายอีกด้วย มันจะทนได้แค่ไหนกันเชียว?
แน่นอนว่าทุกๆท่าของโลหะทมิฬนั้นสุดยอด จึงเป็นเหตุว่าทำไมเทพอสูรหลายๆคนอยากจะฝึกฝนมันให้ได้
“อาชวน เจ้าเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากว่าเจ้าฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้อีกด้วยล่ะก็” หลิวชีเยว่ดูตื่นเต้น “เจ้าจะกลายเป็นคนที่สามจากศิษย์กว่าสองร้อยคนที่ยังไม่ได้ลงจากเขาที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษและโลหะทมิฬได้สำเร็จ”
“ข้าเองก็หวังอย่างนั้น แต่การฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้ามันไม่ง่ายเลย” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ยิ่งไปกว่านั้น เขาอยากจะไปให้ถึงจุุดขัดเกลาที่เก้า ปกติแล้วคนที่ฝึกร่างเทพอสูรนี้จะหยุดอยู่ที่จุดที่เจ็ด จุดขัดเกลาที่แปดนั้นค่อนข้างหายาก และจุดที่เก้านั้นเรียกได้ว่าเป็นตำนานเลย
เมิ่งชวนสาบานว่าเขาจะสังหารอสูรทุกตัวบนโลกนี้ ดังนั้นยิ่งเขาแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี หากเขาอ่อนแอเขาก็จะทำตามคำสาบานที่ให้ไว้ไม่ได้!
…
หลังจากหยุดฝึกร่างเทพอสูรของเขาไปกว่าห้าเดือน เมิ่งชวนก็ไปที่บ่อไอเหล็กวินาศอีกครั้ง คราวนี้เขาได้ไปที่ห้องที่ 2
กระแสพลังวินาศไหลผ่านท่ออกมาอย่างต่อเนื่องจนเต็มห้องขนาดห้าคูณห้าจั้ง
เมื่อกระแสพลังวินาศโดนตัวเขา มันก็ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและเริ่มส่งผลต่อจิตใจของเขา แต่ว่าเมิ่งชวนก็ได้ใช้แก่นสารแห่งจิตเพื่อขจัดผลเสียทั้งหมดนั้นออกไป ทำให้เขายังคงสติเอาไว้ได้
มีเพียงตอนที่จิตใจของคนๆนั้นยังคงชัดเจนอยู่เท่านั้นถึงจะปลดปล่อยพลังออกมาได้เต็มที่ นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับเขาในการขัดเกลาร่างกายด้วยกระแสพลังวินาศ
เมื่อเมิ่งชวนใช้เจตจำนงกระบี่ของเขากับวิชากระบี่สำหรับขัดเกลา พลังพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขาทุกๆการเคลื่อนไหว
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
ร่างกายของเขายังคงเหมือนเดิม แต่ทำไมเขาถึงสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้มากกว่าเดิมหลายสิบเท่าน่ะหรือ? นั่นก็เป็นเพราะเขานั้นสามารถควบคุมร่างกายได้ดีกว่าเดิมนั่นเอง เขาสามารถกระตุ้นร่างกายได้ดีขึ้นกว่าเก่าหลายสิบเท่า ด้วยเหตุนี้กล้ามเนื้อทุกๆส่วนของเขาก็ดูเหมือนถูกกระตุ้น พวกมันดูดซึมกระแสพลังวินาศเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง! มันดูดซึมเข้าไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเก่า
ย้อนกลับไปตอนที่เขาใช้”พลังกระบี่”เพื่อควบคุมร่างกาย กระแสพลังวินาศเหล่านี้ก็ดูดซึมเข้าสู่ร่างของเขาเช่นกัน แต่ส่วนมากมันจะหายไป! เพราะว่าพวกมันส่วนมากหลายไป ดังนั้นเขาจึงดูดซึมได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการดูดซึมกระแสพลังวินาศตอนนี้มันเร็วกว่าเดิมมากแล้ว เร็วกว่าตอนที่เขาใช้แก่นสารแห่งจิตพร้อมกับพลังกระบี่อีก
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดนิดๆบนร่างของเขา เขาดูดซึมกระแสพลังวินาศต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ตอนนี้ร่างกายของเขานั้น “อิ่มตัว” และต้องการ “ย่อย” กระแสพลังวินาศ กระแสพลังวินาศเองก็เหมือนกับสารอาหาร หลังจากที่ร่างกายของเขาย่อยสารอาหารจนหมดเขาถึงจะค่อยหิวขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเขาถึงจะมาดูดซึมอีกครั้ง
ความเร็วในการขัดเกลาของเขาตอนนี้นั้นไวกว่าเดิมมาก เมิ่งชวนเต็มไปด้วยความสุขตอนที่เดินออกมาจากห้อง
เขาขัดเกลาร่างกายทุกวัน และด้วยเจตจำนงกระบี่ที่คอยควบคุมร่างกายของเขาและแก่นสารแห่งจิตที่คอยรักษาสติเอาไว้ ทำให้เขาสามารถฝึกฝนได้เร็วขึ้นมาก
เพียงแค่สามวัน เขาก็ผ่านการขัดเกลาครั้งห้าไปแล้ว ก่อนจะใช้เวลาอีกสิบหกวันในการขัดเกลาครั้งที่หก
เมิ่งชวนเริ่มการขัดเกลาครั้งที่เจ็ด