ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 108
ตอนที่ 108 หลุมแห่งความพิศวง
เมิ่งชวนเดินขึ้นไปบนแท่นบูชาแห่งความมืดอย่างมั่นคงในทุกๆก้าว
หมอกดำยังคงซึมเข้าสู่ร่างของเมิ่งชวนอย่างต่อเนื่อง
‘เจ้าอยากทำให้ข้าสับสนด้วยภาพลวงตาเหล่านี้รึ?’
หลังจากต้องทนทรมานราวกับอยู่ในนรกสองชั่วยามทุกวันเป็นเวลา 120 วัน จิตใจของเขาเฉียบคมดั่งกระบี่ที่แหลมคมมากขึ้นทุกครั้ง
จิตใจของเมิ่งชวนแข็งแกร่งและเฉียบแหลมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งคำสาบานที่เขาได้ให้ไว้กับชีเยว่ก็ทำให้จิตใจของเขาแข็งแกร่งยิ่งไปกว่าเดิมอีก จิตใจของเขาแข็งแกร่งขึ้นมากเมื่อมีคนที่รัก
‘พังไปซะ!’ เขาทำลายภาพลวงตาด้วยพลังใจที่แข็งแกร่งของเขา ทำให้ยังมีสติอยู่ครบถ้วน
เขาก้าวขึ้นไปทีละขั้น
สามสิบขั้น ห้าสิบขั้น เจ็ดสิบขั้น เก้าสิบขั้น ความเร็วของเมิ่งชวนไม่ได้ช้าลงไปเลย เขาไปถึงขั้นที่ 90 ก่อนที่จะช้าลงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเดินต่อไปก
“นี่มัน…”
“เกือบร้อยขั้น”
“ไม่ใช่ว่าท่านเมิ่งชวนพึ่งเข้าสู่เขาหยวนชูเมื่อปีที่แล้วเองไม่ใช่เหรอ? จิตใจของเขาแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้เลยรึ?” พ่อบ้านและคนใช้ต่างตกตะลึง พวกเขาเป็นคนจัดการดูแลแท่นบูชาแห่งความมืด พวกเขาจึงรู้อยู่แล้วว่าเมิ่งชวนไปถึงขั้นที่ 75 เมื่อปีที่แล้ว ยิ่งมีประสบการณ์และฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งมากเท่าไหร่ จิตใจของคนๆนั้นก็จะค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น พลังใจของเมิ่งชวนกับแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล
พ่อบ้านและคนรับใช้เฝ้าดูอย่างตั้งใจ แม้ว่าความเร็วของเมิ่งชวนจะช้าลง แต่เขาก็ยังเดินต่อไป
“ไปถึงขั้นที่ร้อยแล้ว! เขาถึงขั้นที่ร้อยแล้ว แต่ว่าก็ยังเดินต่อไปได้อยู่”
“เขาไม่น่าจะไปถึงยอดใช่มั้ย?”
…
‘มันเป็นภาพลวงตา แค่ภาพลวงตา หายไปซะ!’
เมิ่งชวนคำรามในใจ แต่ว่าภาพลวงตาก็ยังคงทะลวงเข้าใส่จิตใจของเขาอย่างไม่จบสิ้น แม้เขาจะทำลายภาพลวงตาชั้นแรกไปได้ แต่ชั้นที่สองและสามและชั้นถัดๆจากนั้นก็ยังคงอยู่ สติสัมปชัญญะของเขาเริ่มวุ่นวายจนทำให้เขาแทบจะแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับภาพลวงตา
ไม่นาน หมอกสีดำก็กลับคืนสู่แท่นบูชาแห่งความมืด เมิ่งชวนหนีจากภาพลวงตาเหล่านั้นและกลับมามีสติเหมือนเดิม
‘ข้าคือเมิ่งชวน ข้ากำลังเดินขึ้นแท่นบูชาแห่งความมืด ในที่สุดเมิ่งชวนก็รู้สึกตัวและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก’
เป็นความรู้สึกที่แย่มากที่สูญเสียความเป็นตัวเองไปกับภาพลวงตา
ตอนที่เมิ่งชวนเห็นยอดของแท่นบูชาแห่งความมืด เขามองลงไปและพบว่าอีกแค่ขั้นเดียวเท่านั้นเขาจะไปถึงยอดแล้ว
“ยินดีด้วยขอรับ ท่านเมิ่งชวน” หลังจากที่พ่อบ้านปิดแท่นบูชาแห่งความมืดไป พวกเขาก็แสดงความยินดีให้กับเมิ่งชวนในทันที “ข้าเชื่อว่าแม้ว่าท่านจะไม่ได้ตั้งใจฝึกฝนจิตใจ แต่ท่านก็จะไปถึงยอดได้ในปีหรือสองปี”
เมิ่งชวนพยักหน้าเบาๆ และเดินต่อไป
เขาเดินก้าวขึ้นไปเป็นก้าวสุดท้ายและยืนอยู่บนยอด บนยอดนั้นเล็กมาก แต่เมื่อมองดูรอบๆมันกลับแตกต่าง
เหล่าพ่อบ้านและคนใช้ต่างงุนงงเล็กน้อย ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น? พวกเขาปิดแท่นบูชาแห่งความมืดไปแล้ว จะขึ้นไปให้ถึงยอดทำไมล่ะ?
ข้าคงจะไม่มีโอกาสได้ขึ้นแท่นบูชาแห่งความมืดนี้ได้อีกต่อไปในอนาคต เมิ่งชวนรู้อยู่แล้ว ดังนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจยืนมองทิวทัศน์บนยอด
จากนั้นเขาก็ลงจากแท่นบูชา
เมิ่งชวนรู้สึกดีใจที่ในที่สุดเขาไปถึงยอดของแท่นบูชาและขั้นที่ 102 ได้ เขาพัฒนาขึ้นจากปีที่แล้วมากกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้น่าประหลาดใจซักเท่าไหร่ นี่คงเป็นเพราะจิตใจที่แข็งแกร่งพอสำหรับการขัดเกลาหกประสงค์วินาศนั้นต้องมากกว่าการขึ้นถึงยอดของแท่นบูชาหลายเท่า หนทางของการขัดเกลาจุดที่เก้านั้นยาวไกลและยากลำบาก
…
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
ยามเย็นของวันที่ 26 ธันวาคม
หลังจากวาดภาพ ประลองและฝึกฝนอยู่ซักพัก เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ก็ไปยังส่วนที่ค่อนข้างแปลกของเขาหยวนชู
“หลุมแห่งความพิศวงนั้นอะไรที่แปลกประหลาดมาก อะไรที่อยู่ก้นหลุมก็ยังคงเป็นหนึ่งในสิบเรื่องประหลาดของเขาหยวนชู” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิวชีเยว่พยักหน้าด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน “ข้าก็อ่านเรื่องนี้มาเหมือนกัน หลุมแห่งความพิศวงเป็นเหมือนเหวลึกไร้ก้น ไม่มีทางที่จะได้เห็นหน้าตาของมันจริงๆได้เลย หากผู้ใดที่สามารถไปถึงก้นหลุมแห่งความพิศวงนี้ได้ พลังใจของพวกเขาคงจะแข็งแกร่งขนาดที่ติดอยู่หนึ่งในสิบของมนุษย์ทุกคนเลย แค่พลังใจที่น่าสะพรึงขนาดนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะขึ้นเป็นขุนนางเทพอสูรได้ภายในปีเดียวด้วยซ้ำ”
เมิ่งชวนพยักหน้า
หากมนุษย์คนใดสามารถลงไปถึงก้นหลุมแห่งความพิศวงนี้ได้ เขาหยวนชูคงจะให้ความสนใจกับคนๆนั้นมากกว่าเมิ่งชวนและเชวเฟิงเสียอีก คนที่สามารถไปถึงก้นหลุมได้นั้นมีพลังใจที่แข็งแกร่งพอเทียบเท่าได้กับท่านปรมาจารย์ในขอบเขตสรรสร้างเลยด้วยซ้ำ ร่างเทพอสูรอย่างร่างเทพสว่างโชติ ร่างอสูรมายา และวิชาของโลหะทมิฬอย่าง จ้าวอสูรฟ้าและทะเลโลหิตนิรันดร์นั้น เหมาะแก่คนที่มีจิตใจที่กล้าแข็งอย่างน่าสะพรึงเช่นนี้มาก พวกเขาสามารถขึ้นเป็นขุนนางเทพอสูรได้ภายในหนึ่งปีและราชาเทพอสูรได้ภายในไม่กี่สิบปีด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างนั้น พลังใจไม่ได้เกิดจากความพรสวรรค์ ไม่ว่าครอบครัวของคนๆนั้นจะเป็นมายังไง ไม่ว่าพ่อแม่ของพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงไหน หรือไม่ว่าจะเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตหรือเปล่า แต่การที่ขาดพลังใจที่แข็งแกร่งก็คืออ่อนแอ!
พลังใจนั้นจะค่อยๆเกิดขึ้นผ่านประสบการณ์ชีวิต ความยากลำบาก และอารมณ์ต่างๆที่หลากหลาย… มีหลายปัจจัยในเรื่องของพลังใจของแต่ละคน
คนหนุ่มยังขาดประสบการณ์! พวกเขายังตื้นเขินนัก! จะไปเทียบกับเทพอสูรที่ทรงพลังที่บุกตะลุยฝ่าทะเลเลือดมานับศตวรรษได้อย่างไร! พวกเขายังอ่อนกว่ามาก
ก่อนอายุห้าสิบ ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนที่พลังใจเหนือกว่าราชาเทพอสูรเลย
เมิ่งชวนรู้ตัวเองดี
เขาผ่านการต่อสู้มากี่ครั้งแล้ว? กี่ครั้งแล้วที่เขาต้องพบกับความสิ้นหวัง? เทพอสูรระดับขุนนางชื่อดังต่างผ่านสิ่งนี้มามากจนน่าตกใจ หลังจากที่ต้องต่อสู้เพื่อมวลมนุษย์มานาน พลังใจของพวกเขาก็กล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆยิ่งกว่าคนรุ่นใหม่ๆ หลายต่อหลายปี จิตใจของพวกเขาถูกทำให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยหยดเลือด หยาดเหงื่อและหยาดน้ำตา
“เรามาถึงหลุมแห่งความพิศวงแล้ว”เมิ่งชวนกล่าว
หลุมแห่งความพิศวงนั้นเป็นเหมือนถ้ำที่ทอดยาวลึกลงไป
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ยืนอยู่ตรงขอบหลุมและมองลงไป พวกเขามองไม่เห็นก้นหลุมที่มีหมอกสีดำปกคลุมด้วยซ้ำ
มีบันได้อยู่ข้างๆหลุมแห่งความพิศวง มันวนรอบตัวหลุมลงไปเรื่อยๆ หนึ่งรอบนับได้ 79 ก้าว และเท่าที่ตาเปล่าเห็นคือมีทั้งหมด 6 รอบ
“ในหนังสือบอกว่าหลุมแห่งความพิศวงมีอยู่ 9 รอบ” หลิวชีเยว่กล่าว “อีกสามรอบถูกหมอกสีดำบังอยู่”
“ไปถึงยอดของแท่นบูชาแห่งความมืดก็เทียบเท่าได้กับผ่านสามรอบในหลุมแห่งความพิศวงนี้” เมิ่งชวนกล่าว “ในการที่จะดูดซับหกประสงค์วินาศได้ ข้าต้องผ่านรอบที่สี่ไปให้ได้”
ยิ่งเขาลงไปลึกเท่าไหร่ก็จะยิ่งก้าวต่อไปยากมากเท่านั้น การที่จะผ่านรอบที่สี่ไปได้นั้นต้องมีพลังใจที่กล้าแข็งยิ่งกว่าการผ่านรอบที่สามหลายเท่านัก
หลังจากผ่านรอบที่สี่ไปได้ ก็จะสามารถดูดซับหกประสงค์วินาศเข้าไปโดยไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจได้
แต่ว่าในหลุมแห่งความพิศวงนี้มีบันได้วนลงไปถึงเก้ารอบ
“มีคนสองคนกำลังเดินอยู่” หลิวชีเยว่กล่าว
“ข้าเห็นแล้ว” เมิ่งชวนมองดูคนสองคนเดินลงบันไดหลุมแห่งความพิศวงไปอย่างระมัดระวัง คนแรกนั้นอยู่ที่รอบที่สามและกำลังลงไปรอบที่สี่ ส่วนอีกคนกำลังเดินอยู่ในรอบที่ห้าอย่างช้าๆ
“หนึ่งในนั้นคือศิษย์พี่จางเฟิง เทพอสูรระดับมหาสุริยัน” หลิวชีเยว่กล่าวในทันที “ส่วนอีกคนที่อยู่ด้านล่างคือขุนนางกล้วยไม้แก้ว”
เมิ่งชวนรู้จักพวกเขาเช่นกัน เพราะไม่ว่ายังไงมันก็คือข้อมูลของศิษย์ของเขาหยวนชูเช่นเดียวกับเขา ถึงอย่างนั้นเทพอสูรระดับมหาสุริยันและขุนนางเทพอสูรนั้นจะใช้เวลาส่วนมากในการต่อสู้อยู่ข้างนอก นานๆทีพวกเขาถึงจะกลับมาที่นิกาย ดังนั้นแล้วจึงพบเจอกันได้ยาก
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มองดูพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งและเห็นผลลัพท์
เมื่อศิษย์พี่จางเฟิงไปถึงขั้นที่ 26 ของรอบที่สี่ เขาก็เริ่มเดินลงไปที่ใจกลางหลุมแห่งความพิศวงอย่างโซซัดโซเซ เขาก้าวพลาดและร่วงลงไปในหมอกสีดำด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกใดๆ
ขุนนางกล้วยไม้แก้วไปถึงขั้นที่ 62 ของรอบที่ห้า ก่อนจะเดินโซเซไปใจกลางหลุม ก่อนจะก้าวพลาดร่วงลงไป
การหล่นลงไปนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร พวกเขาก็แค่จะหมดสติไปครู่หนึ่งก่อนที่จะฟื้นคืนสติกลับมาอยู่ตรงนอกหลุม เกิดอะไรขึ้นตอนที่พวกเขาร่วงลงไปตรงก้นหลุมน่ะหรือ? ไม่มีใครรู้ และนั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมมันถึงเป็นหนึ่งในสิบเรื่องพิศวงของเขาหยวนชู
แม้แต่ขุนนางเทพอสูรยังผ่านรอบที่ห้าไปไม่ได้เลย เมิ่งชวนลอบถอนหายใจ
“ชีเยว่ ข้าพร้อมจะลองดูแล้ว” เมิ่งชวนกล่าว
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” หลิวชีเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลองดูด้วยกันเถอะ”
ทั้งคู่เดินเข้าไปที่ทางเข้าหลุมแห่งความพิศวง มีผู้ดูแลสองคนรออยู่ตรงนั้น
“นายท่านเมิ่งชวน นายหญิงหลิวชีเยว่” ผู้ดูแลหญิงทักทายด้วยรอยยิ้ม “หลุมแห่งความพิศวงส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างมหาศาล ศิษย์หลายคนเกิดอาการฝันร้าย ดังนั้นแล้วหลังจากลงไป จะต้องพักผ่อนเป็นเวลาสิบวันเป็นอย่างน้อย ก่อนที่จะสามารถกลับมาที่หลุมแห่งความพิศวงได้ และทุกๆการลงไปจะต้องใช้ 500 แต้มเจ้าค่ะ”
“พวกเราเข้าใจ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่พยักหน้า
“เชิญค่ะ” ผู้ดูแลหญิงยิ้มและเดินออกไปข้างๆ
“ข้าจะไปก่อน” เมิ่งชวนกล่าว บันไดนั้นแคบมาก มันกว้างเพียงสามฉื่อเท่านั้น ไม่เหมาะแก่การเดินไปด้วยกัน
เมิ่งชวนเดินลงบันไดไปในทันที แต่ว่าไม่มีภาพลวงตาเข้ามาจู่โจมใส่จิตใจของเขา เขารู้สึกได้แค่สติที่ค่อยๆจมลงไป หมอกสีดำในหลุมนั้นมันยั่วยวนเหมือนจะให้เขากระโดดลงไป