ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 146
ตอนที่ 146 กายาเพชระ
ภายในห้องอันเงียบสงบของคฤหาสน์ เมิ่งชวนขัดสมาธิและฝึกฝนร่างกายของเขาโดย ใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตร่วมด้วยกับวิชาลับ
แม้แก่นสารแห่งจิตของเขาจะไปถึงระดับจิตแล้ว เขาก็ยังต้องใช้วิชาลับเพื่อดูโลกขนาดเล็ก เขาเห็นถึงกลุ่มก้อนอนุภาคจํานวนนับไม่ถ้วนที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก อนุภาคเหล่านี้มีขนาดและสีที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม พวกมันทุกอันต่างมีพลังสายฟ้าอยู่ในตัว เพราะเป็นผลจากการที่เมิ่งชวนฝึกฝนร่างอสูรตัดสายฟ้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะฝึกฝนอนุภาคเล็กๆเหล่านี้
หลังจากหกเดือนของการฝึกฝน โดยอาศัยพลังของแก่นสารแห่งจิตและจิตวิญญาณกระบี่ ในที่สุดเขาก็ขัดเกลาอนุภาคทั้งหมดในร่างกายได้ เขาต้องใช้ปราณเป็นจํานวนมหาศาลกว่าจะทําได้สําเร็จ และในตอนนี้ เขากําลังจะทําให้มันประสานเข้าด้วยกัน
ปราณที่หายไปจะถูกเติมกลับมาด้วยยาพันดารา
ครืน!
ร่างทั้งร่าง ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมหรือเลือดก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง อนุภาคจํานวนนับไม่ถ้วนเริ่มจะประสานเข้าด้วยกัน ปกติแล้ว การเปลี่ยนแปลงอนุภาคเพียงอันเดียวก็ไม่ค่อยมีผลต่อร่างกายมากนัก แต่ด้วยจิตวิญญาณกระบี่ อนุภาคเหล่านี้จึงส่งผลต่อร่างกายมากหลังจากพวกมันประสานเข้าด้วยกัน
เหมือนกับมีทหารหนึ่งหมื่นนาย แต่หากทหารทั้งหมื่นคนนั้นไม่มีวินัย ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของทั้งหมื่นคนนั้นก็จะต่ําลง แต่หากพวกเขาทําตามคําสั่งได้โดยที่ไม่ทําพลาดแม้แต่นิดเดียว ประสิทธิภาพในการต่อสู้ก็จะสูงขึ้นมาก
เช่นเดียวกันกับร่างกาย! อนุภาคทุกอย่างในร่างของเขานั้นต่างประสานเข้าด้วยกันหลังจากฝึกฝนร่างกายของเขากลายเป็นหนึ่งเดียว! ตามข้อมูลที่ได้มาจากมรดกวิชาฝึกฝนร่างกายแล้ว นั่นหมายความว่าเขาได้กายาเพชระมาแล้ว! เขาไปถึงระดับเพชรแล้ว!
“จบแล้ว” เมิ่งชวนลืมตาขึ้น เขารู้สึกราวกับว่าร่างของเขานั้นโปร่งใส ผิวหนังของเขาเปล่งแสงสีทองหยกออกมา หลังจากสารวจดูอย่างถี่ถ้วนก็จะเห็นได้ว่ามีเยื่อบางๆอยู่เหนือผิวหนังของเขา เขาไม่ได้ทําอะไรทั้งนั้น แต่จู่ๆก็มีเยื่อเหล่านี้ปกคลุมไปทั่วร่างของเขา เยื่อเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาโดย พลังที่มองไม่เห็นจากอนุภาคจํานวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ซึ่งปรากฏออกมาหลังจากที่อนุภาคเหล่านั้นประสานเข้าด้วยกัน
ตามมรดกแล้ว ร่างกายจะปล่อยพลังเพชระออกมาตามธรรมชาติเมื่อได้รับกายาเพชระ พลังนี้จะช่วยให้ร่างคงกระพันขึ้นขึ้นประมาณหนึ่ง เมิ่งชวนชักกระบอสูรสังหารออกมาและเฉือนเข้าที่แขนของตน การโจมตีถูกพลังเพชระนั้นหยุดเอาไว้ นั่นทําให้เมิ่งชวนเริ่มสงสัย “ข้าอยากรู้จริงๆว่า กายาเพชระและพลังเพชระนี่จะแข็งแกร่งขนาดไหน
เมิ่งชวนถึงกับพูดไม่ออกหลังจากทดลองไปกว่าครึ่งชั่วยาม
อาจเป็นเพราะร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์และการฝึกร่างกายของเขา จึงทําให้สามารถปล่อยพลังได้ถึงเจ็ดส่วนจากตอนที่ใช้แก่นสารแห่งจิตแม้จะใช้เพียงจิตวิญญาณกระบี่อย่างเดียว
การรักษาชีวิตเอาไว้ได้นั้นก็หมายถึงระบบการฝึกฝนร่างกายนี้นั้นทรงพลังอย่างแท้จริง ระดับขั้นที่สี่มีชื่อเรียกว่าระดับอมตะ ร่างกายจะไม่มีจุดตายอีกต่อไป แม้จะถูกแทงเข้าที่หัวหรือหัวใจก็ไม่เป็นอะไรและจะฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บเช่นนั้นได้ภายในพริบตา ในระดับที่ห้าหยาดโลหิตนั้น จะทําให้ร่างของคนๆนั้นฟื้นฟูขึ้นมาได้จากหยดเลือดแม้เพียงหยดเดียว เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความที่งใจ
อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนปราณเองก็ช่วยเพิ่มความสามารถในพลังทําลายและการเอาชีวิตรอด เมื่อไปถึงระดับเดือนมืดมิดและไร้ขอบเขต
มีทางสองทางวางอยู่ตรงหน้าเขา
ระบบการฝึกฝนร่างกายนั้นใช้กับการต่อสู้ระยะประชิดเป็นหลัก มันทําให้คนๆนั้นมีพลังชีวิตอันมหาศาล ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะมีพลังชีวิตที่มากที่สุดอยู่ตลอดเวลา แม้พลังทําลายจะด้อยกว่าเหล่าผู้ที่เดินทางฝึกฝนปราณก็ตาม
ระบบการฝึกฝนปราณนั้นทําให้คนๆนั้นมีพลังทําลายล้างอันมหาศาล! แม้พวกเขาจะยังด้อยกว่าในเรื่องของพลังชีวิตและจะค่อยๆลดลงไปเมื่อเวลาผ่านไปก็ตาม
“ตอนนี้ร่างของข้าแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว ข้าสามารถระเบิดพลังปราณออกมาได้มากกว่าเดิม เพราะเส้นลมปราณของข้าเองก็แข็งแกร่งขึ้นมากเช่นกัน ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งเกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับตอนที่ผ่านถ้ําเก้าปริศนาได้”
เมิ่งชวนมีความสุขมาก แม้จะไม่ต้องใช้แก่นสารแห่งจิตหรือวิชาต้องห้าม ในตอนนี้เขาแข็งแกร่งกว่าตอนที่ลงจากภูเขาเป็นสองเท่า การที่พลังเพิ่มขึ้นได้เร็วเช่นนี้นั้นนับว่าหาได้ยาก หากระบบการฝึกฝนร่างกายไม่หยุดอยู่เพียงแค่ระดับหยาดโลหิตสําหรับโลกมนุษย์แล้ว เขาคงจะคิดว่านี่เป็นหนึ่งใน “โอกาส” ที่ดีที่สุดที่จะได้จากถ้ําสวรรค์หยวนชู
หลังจากทดลองหลายๆอย่าง เมิ่งชวนก็หลับตาและเติมลมปราณกลับเข้าไป
ซูๆๆ!
เมิ่งชวนดูดซับประกายสายฟ้าและกระแสพลังวินาศจากความว่างเปล่า เมื่อร่างกายแข็งแกร่งขึ้น เขาก็สามารถดูดซับสายฟ้าและพลังวินาศได้มากกว่าเดิม การดูดซับสายฟ้าและพลังวินาศนั้นขึ้นอยู่กับร่างกาย ไม่ค่อยเกี่ยวกับพลังปราณเสียเท่าไหร่นัก
ครึ่งเดือนต่อมา
วันที่ 27 มิถุนายน ตอนกลางคืน
เมืองฉงชานในรัฐหยวนที่อยู่ห่างจากด่านเปยเหอ 300 ลี้
ฟุบ
ข้างนอกเมืองฉงชาน ร่างหนึ่งในชุดคลุมสีดําคลานออกมาจากพื้นอย่างเงียบงัน หัวของร่างนั้นถูกปิดด้วยผ้าสีดําเปิดให้เห็นเพียงดวงตาสีเขียว
ร่างนั้นจ้องไปยังเมืองฉงชานที่อยู่ไกลๆ ประตูเมืองนั้นถูกปิดตอนกลางคืน ทหารเดินลาดตระเวนรอบกําแพงเมือง อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่เห็นร่างในชุดสีดําที่อยู่ห่างออกไปกว่าสองลี้
ร่างในชุดคลุมสีดํามองเห็นป้ายที่เขียนคําสองคําเหนือประตูเมืองได้อย่างชัดเจน ฉิงชาน
“ฉิงชาน? นี่คือเมืองฉงชานในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่รึ?” หลังจากระบุตําแหน่งปัจจุบันได้ ร่างนั้นก็มุดกลับลงดินอย่างเงียบกันและเปลี่ยนกลายเป็นตัวนิ่ม มันเดินทางใต้ดินด้วยความเร็วอันมหาศาล อีกพักหนึ่ง มันก็ไปถึงส่วนลึกของเขารกร้างที่อยู่ห่างออกไปจากเมืองนั้นประมาณหกลี้ รัฐหยวนนั้นอยู่ในเขตภูเขา ดังนั้นแล้วจึงมีปราการส่วนมากที่ถูกสร้างขึ้นในภูเขา มีเมืองใหญ่เพียงไม่กี่เมืองเท่านั้นที่สามารถพบได้ในพื้นที่ราบที่หาได้ยากในหมู่ภูเขา
ประตูพิภพที่บิดเบี้ยวยาวประมาณ100ั้งทอดยาวอยู่ในเขารกร้างนั้น ร่างสองร่างยืนอยู่ข้างๆประตูพิภพ
ตัวนิ่มตัวนั้นคลานออกมาจากพื้นและเปลี่ยนกลับเป็นร่างในชุดสีดํา ร่างนั้นเดินเข้าไปที่ประตูพิภพและเดินทางเข้าสู่โลกอสูร
ตัวนิ่มกลับมาแล้ว ราชาอสูรสองตัวที่ยืนอยู่ข้างๆประตูพิภพยิ้ม
” เฝ้าระวังพื้นที่นี้ให้ดี สังหารมนุษย์ที่เข้าใกล้ทันที ก่อนการบุกรุก เราต้องห้ามเผยประตูพิภพนี้เป็นอันขาด หากถูกเปิดเผยล่ะก็ นายเหนือคงจะไม่ปล่อยเราไว้แน่”
“อย่ากังวลไป ไม่ค่อยมีมนุษย์มาที่ภูเขาตอนกลางคืนกันหรอก ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่”
หลังจากร่างในชุดคลุมสีดํากลับไปที่แดนอสูร มันก็เห็นกองทัพอสูรกําลังรวมตัวกัน อีกทั้งยังเห็นราชาอสูรจํานวนมากกับราชาอสูรขั้นสูงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ราชาอสูรชั้นสูงนั้นมีร่างมนุษย์และหางเป็นงู
“ฝ่าบาท” ร่างในชุดคลุมดําก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าลงด้วยท่าทางนอบน้อม
“เจ้าได้ตรวจสอบประตูพิภพที่ไม่เสถียรนั้นแล้วหรือยัง? มันเชื่อมกับส่วนไหนของโลกมนุษย์?” ราชาอสูรถามเรียบๆ
” เมืองฉิงชานในรัฐหยวนของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ขอรับ” ร่างในชุดดํากล่าว “จากประตูพิภพ เราอยู่ห่างจากเมืองฉงชานประมาณหกลี้”
“ดีมาก” ราชาอสูรยิ้มก่อนจะโบกมือสีดําของมัน
ร่างชุดดํายืนอยู่นิ่งๆท่ามกลางเหล่าราชาอสูรตนอื่นๆ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
มีนกขนาดยักษ์ตัวหนึ่งบินแต่ไกล บนหลังของมันมีราชาอสูรสามหัวยืนอยู่
หลังจากที่นกลงจอด ราชาอสูรสามหัวก็เดินเข้าไปตรงหน้าราชาอสูรชั้นสูงและก้มหัวคารวะ “คารวะท่านราชาอสูรชั้นสูง ข้าชื่อจูโม่”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าได้ฟังสรุปแผนการแล้วใช่ไหม” ราชาอสูรชั้นสูงนั่งอยู่บนบัลลังก์ของมัน มันวางแขนลงบนที่นั่งและมองลงมาที่ราชาอสูรสามหัว
” ขอรับ ข้าพร้อมที่จะเข้าสู่โลกมนุษย์” จูโม่กล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“ฝั่งของข้าไม่มีราชาอสูรที่สามารถเข้าสู่ระดับสามได้ในทันที นั่นเป็นเหตุว่าทําไมข้าต้องยืมตัวเจ้ามาจากราชาอสูรชั้นสูงพันพิษ” ราชาอสูรชั้นสูงกล่าว “ประตูพิภพนี้อยู่ได้ไม่นาน พวกเราต้องโจมตีให้ไวที่สุดเท่าที่จะทําได้ ประตูนี้อยู่ห่างจากเมืองฉงชานหกลี้ ข้าจะจัดการให้ราชาอสูรระดับสองห้าตน พร้อมกับอสูรธรรมดาอีกสามหมื่นตนเข้าร่วมกับเจ้าในการโจมตีครั้งนี้”
“ขอรับ” ราชาอสูรสามหัวกล่าวอย่างนอบน้อม “เมื่อโจมตีได้สําเร็จ ข้าจะแทรกซึมเข้าไปในโลกมนุษย์ ข้าไม่รีบร้อนกลับมาขอรับ”
“ดีมาก” ราชาอสูรชั้นสูงพยักหน้า “ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนในโลกมนุษย์ พวกมันกําลังนอนหลับอย่างสบายใจ ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะโจมตี มุ่งหน้าออกไปเดี๋ยวนี้”
” ขอรับ”
กองทัพที่ประกอบไปด้วยราชาอสูรสามหัว ราชาอสูรระดับสองห้าตัว และอสูรธรรมดากว่าสามหมื่นตนนั้นแข็งแกร่งกว่ากองทัพที่โจมตีเมืองตงหนิงเสียอีก
ในไม่ช้า กองทัพอสูรก็โถมเข้าใส่ประตูพิภพราวกับน้ําท่วม พวกมันไม่รีรอที่จะตามทางที่ตัวนี้สร้างไว้และพุ่งเข้าใส่เมืองฉงชานอย่างรวดเร็ว