ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 38
ตอนที่ 38 หอเมฆาคราม
ทุกคนเงียบตกอยู่ในความเงียบงัน เมิ่งต้าเจียง และหลิวเย่ป๋ายจ้องมองไปที่เมิ่งชวนอย่างว่างเปล่า ไร้วาจาว่ากล่าว
เด็กอายุ 16 ปีเข้าใจ “พลัง” แล้วอย่างงั้นรึ อัจฉริยะในตำนานอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้วอย่างงั้นรึ
ยามที่ลาดตระเวนอยู่ห้าคนก็รีบมาที่ลานบ้านเล็กๆนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาก็ได้ยินเสียงกำแพงพังทลาย แต่ความเร็วของพวกเขานั้นช้ากว่าเมิ่งต้าเจียง และหลิวเย่ป๋ายอย่างเห็นได้ชัด
“นายท่าน” ยามทั้งห้าคนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม หัวหน้ายามมองไปยังกำแพงที่พังทลาย และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “กำแพงนี้…”
“อ๋อ ข้าซ้อมกับชวนเอ๋อร์ เลยทำให้มันเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ” เมิ่งต้าเจียงกลับมามีสติและออกคำสั่งทันที “จัดหาคนให้มาซ่อมกำแพงพรุ่งนี้เช้า เอาล่ะ รีบออกไปได้”
“ขอรับ”
ยามทั้งห้าโค้งคำนับอย่างนอบน้อมและจากไป แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ค่อนข้างงุนงง ถึงกับทำกำแพงพังในการซ้อมมืออย่างงั้นรึ นายท่านและนายน้อยช่างเก่งในด้านการสร้างปัญหาจริงๆ
ความเงียบกลับมาที่ลานบ้านอีกครั้ง เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายยังคงจ้องมองไปที่เมิ่งชวน
“พ่อ ลุงหลิว” เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะพูด “พวกท่านสองคน…”
“ต้าเจียง ลูกชายของเจ้าช่างพิเศษ” หลิวเย่ป๋ายกระซิบ “เขาตระหนักรู้ถึง “พลัง” เมื่ออายุสิบหกปี สวรรค์ การเข้าสู่เขาหยวนชูเกือบจะเป็นสิ่งแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าข้ามีลูกชายที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ข้าคงจะตื่นจากความฝันพร้อมเสียงหัวเราะ”
ในขณะนี้ เมิ่งต้าเจียงก็พลันคิดถึงไปในเรื่องหลายๆเรื่อง ภรรยาของเขาได้สั่งให้เขาสอนเมิ่งชวนเป็นการส่วนตัวในขณะที่ฝึกกระบี่ เขาสอนลูกชายทุกวันตั้งแต่ยังเด็ก และเมิ่งชวนในวัยเยาว์ก็ฝึกฝนอย่างจริงจังเช่นเดียวกัน รากฐานของลูกชายเขานั้นมั่นคงมากและก็ได้ก้าวหน้าไปทีละก้าว จนกระทั่งเมื่ออายุสิบห้าปี สุดท้ายลูกชายเขาก็เริ่มเปล่งประกาย
ลูกชายเขากลายเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลเทพอสูรทั้งห้า
ตอนอายุสิบหกได้เข้าใจรู้ถึง “พลัง” สิ่งนี้ทำให้เมิ่งชวนอยู่ในอันดับต้นๆของเมืองตงหนิง
ดวงตาของเมิ่งต้าเจียงอดไม่ได้ที่จะแดงขึ้น เขารู้ดีว่าลูกชายเขาทำงานหนักแค่ไหน เขายิ้มและดวงตาก็ชุ่มชื้น “ดีมาก ดีมาก”
“นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าสามารถพูดได้งั้นรึ” หลิวเย่ป๋ายถาม
“พ่อ” เมิ่งชวนมองไปที่พ่อเขาเช่นกัน เขาขยันหมั่นเพียรในการฝึกวิชา นอกเหนือจากคำสาบานที่จะกลายเป็นเทพอสูรเพื่อสังหารอสูรแล้ว เขายังปรารถนาให้พ่อของเขารู้สึกภาคภูมิใจ ในฐานะลูกชาย การทำให้พ่อภูมิใจเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่ง
เมิ่งต้าเจียงยิ้มและนำเอาพลุไฟออกมาในทันที เขาดึงชนวนแล้วพลุไฟก็พุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า มันสะดุดตามากในยามค่ำคืน
…
คฤหาสน์บรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง
“โอ” เมิ่งเซียนกูเดินออกจากที่พักพร้อมกับไม้เท้า เธอจ้องมองไปยังพลุไฟบนท้องฟ้าอันห่างไกล เธอได้มอบพลุไฟนี้ให้กับเมิ่งต้าเจียงเป็นการส่วนตัว มันมีเครื่องหมายปราณของเธอประทับอยู่ ทำให้เธอสามารถรู้สึกได้เมื่อเปิดใช้งานในระยะห้าสิบกิโลเมตร
“ทำไมต้าเจียงถึงร้องขอความช่วยเหลืออย่างกะทันหัน” แม้ว่าเมิ่งเซียนกูจะงุนงงแต่เธอก็หายตัวไปจากบริเวณสนามหญ้า
…
ประมาณครึ่งนาที เมิ่งเซียนกูก็มาถึงจิงหูเมิ่ง เธอมาที่ลานเล็กๆ และก็เห็นกำแพงที่ถล่ม เธอเห็นพ่อลูกคู่นั้น เช่นเดียวกับหลิวเย่ป๋าย
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ” เมิ่งเซียนกูมองไปยังกำแพงที่พังทลาย และรู้สึกงุนงงเล็กน้อย “ต้าเจียงดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ทำไมจู่ๆเจ้าถึงร้องขอความช่วยเหลือ”
เธอให้พลุไฟแก่คนเพียงห้าคนเท่านั้น เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงเป็นสองคนในนั้น
“ป้า” ใบหน้าของเมิ่งต้าเจียงเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ไม่สามารถควบคุมได้ เขากระซิบว่า “ชวนเอ๋อร์เข้าถึง “พลังกระบี่” แล้ว”
เมิ่งเซียนกูตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่ดวงตาของเธอจะสว่างขึ้น เธอมองไปที่เมิ่งชวนและถามว่า “เจ้าตระหนักรู้ถึง “พลังกระบี่” แล้วงั้นรึ”
“ขอรับ ย่าทวด” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“ไหน เจ้าช่วยแสดงให้ข้าดูหน่อยได้ไหม” เมิ่งเซียนกูถาม
เมิ่งชวนพยักหน้า และฟาดออกไปด้วยฝ่ามือของเขา ด้วยการหลอมรวมของ “พลังกระบี่” พลังปราณของเขาก็พุ่งออกจากฝ่ามือของเขา ส่งลำแสงกระบี่พร่ามัวที่ทอดยาวนับสิบก้าวตัดเข้าไปบนพื้น
“ปลดปล่อยพลังปราณได้” ร่างกายของเมิ่งเซียนกูสั่นสะท้านขณะที่เธอเฝ้าดู ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่เธอพึมพำ “เยี่ยมมาก วิเศษมาก วิเศษเหลือเกิน”
เดิมทีแล้ว พลังปราณไม่มีรูปแบบ ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะส่งออกไปจากร่างกายได้หากไม่มีสื่อ แต่เมื่อได้รับการชักนำด้วย “พลัง” แล้ว มันก็จะเหมือนกับสายน้ำที่ไหลอ่อนๆ ก่อตัวเป็น “กระบี่” ที่แหลมคม ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ
ศักยภาพนั้นจะถูกขุดออกมาได้มากขึ้น หากร่างกายนั้นถูกหลอมรวมด้วย “พลังกระบี่”
เมิ่งเซียนกูวางไม้เท้าลงแล้วหลับตาพึมพำเบาๆว่า “บรรพบุรุษได้อวยพรพวกเราแล้ว”
เมิ่งชวน เมิ่งต้าเจียง และหลิวเย่ป๋ายเงียบลง พวกเขาไม่ต้องการที่จะรบกวนเมิ่งเซียนกู
“ชวนเอ๋อร์” เมิ่งเซียนกูลืมตาขึ้นและนั่งลงบนม้านั่งหิน เธอยิ้มและพูดว่า “มานั่งนี่สิ”
เมิ่งชวนนั่งลงบนม้านั่งหินอย่างเชื่อฟัง
เมิ่งเซียนกูมองไปที่เมิ่งชวน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความรัก เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่ได้มองเจ้าผิดไปเลย เจ้าตระหนักรู้ในเรื่อง “พลัง” เมื่ออายุสิบหกปี ต่อให้อยู่ในเมืองหลวงของราชวงศ์โจวอันยิ่งใหญ่ เจ้าก็จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นอัจฉริยะ ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ขี้เกียจ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เจ้าจะต้องสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้อย่างแน่นอน”
“ข้าจะไม่ขี้เกียจอย่างแน่นอน” เมิ่งชวนกล่าวทันที
“อย่างไรก็ตาม อย่าทะนงตัวเกินไป เจ้าต้องเข้าใจว่าต้องมีคนที่เก่งกว่าเจ้าเสมอ” เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตัวอย่างเช่นนายน้อยคนที่ห้าในตระกูลของราชาทะเลตงไห่ เขาโด่งดังไปทั่วโลก เขามาถึงขั้น “หนึ่งเดียว” เมื่ออายุสิบขวบ เขาตระหนักรู้ถึง “พลัง” เมื่ออายุสิบสาม และกลายเป็นเทพอสูรเมื่อเขาอายุสิบห้า แม้แต่อสูรก็ยังกลัวความสามารถของเขา และเสนอค่าหัวในการลอบสังหารเขา เขาหยวนชูให้ความสำคัญกับเขามาก เมื่อนายน้อยคนที่ห้านี้ตระหนักถึง “พลัง” เมื่ออายุสิบสาม เขาก็ถูกคัดเลือกเข้าสู่เขาหยวนชูในทันที”
“ข้าได้อ่านชีวประวัติเทพอสูรหลายคน” เมิ่งชวนพยักหน้า “แต่เมื่อเทียบกับเทพอสูรผู้อยู่ยงคงกระพันที่ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์แล้ว พรสวรรค์ของข้าก็ธรรมดามาก ข้าไม่กล้าที่จะหยิ่งผยองได้หรอก”
“ฮ่าๆ มีความทะเยอทะยานที่ดี เจ้าถึงกับเปรียบเทียบตัวเองกับเทพอสูรผู้แกร่งกล้าที่ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์” เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเรื่องดีที่จะมีความทะเยอทะยาน แต่ทางที่ดีก็ควรเก็บซ่อนข่าวเกี่ยวกับตัวเจ้าไว้ ทำให้มันเป็นความลับในตอนนี้ รอไปจนถึงปีหน้าค่อยประกาศ มันจะฟังดูน่าตกใจน้อยกว่ามากหากเด็กอายุสิบเจ็ดปีจะเข้าใจถึง “พลัง” “
“เข้าใจแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า
การเข้าใจ “พลัง” ตอนอายุสิบหกจะทำให้เขากลายเป็นอัจฉริยะแม้แต่ในเมืองหลวง การเข้าใจ “พลัง” เมื่ออายุสิบเจ็ดปีจะทำให้เขาดูด้อยค่ามากขึ้น แต่เขาก็ยังถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะในเมืองหากเทียบกับผู้นำตระกูลจาง
ถ้าหากว่าเขาเข้าใจ “พลัง” เมื่อตอนที่เขาอายุสิบแปดหรือสิบเก้าปี มันก็จะเกิดคำถามว่า เขาจะสามารถเข้าไปในเขาหยวนชูได้หรือไม่ ถ้าเขาเข้าใจ “พลัง” เมื่อเขาอายุยี่สิบปี เขาจะอยู่ในระดับเดียวกับเหม่ยหยวนจื่อ ซึ่งแทบจะไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการทดสอบ โอกาสในการเข้าสู่เขาหยวนชูนั้นค่อนข้างน้อยมาก
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะอยู่ที่นี่” เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะมาฝึกชวนเอ๋อร์บ่อยๆ”
“ป้าร่างกายของท่าน…” เมิ่งต้าเจียงรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“ไม่ต้องกังวล การซ้อมกับชวนเอ๋อร์จะไม่ทำให้อาการบาดเจ็บของข้าแย่ลง” เมิ่งเซียนกูยิ้ม
“ขอบคุณ ท่านย่าทวด” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
เมิ่งเซียนกูเหลือบมองหลิวเย่อไป๋ที่อยู่ข้างตัวเธอ แล้วพูดว่า “หลิวเย่ป๋าย เจ้าต้องเก็บเรื่องของเมิ่งชวนไว้เป็นความลับ”
“ข้าสามารถรับรองเย่ป๋ายด้วยชีวิตของข้า” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
“เซียนกูไม่ต้องกังวล ข้าเฝ้าดูชวนเอ๋อร์เติบโตขึ้นมาตั้งแต่เล็ก เขาก็เหมือนลูกของข้าเอง เป็นธรรมดาที่จะต้องเก็บงำเป็นความลับ” หลิวเย่ป๋ายกล่าว
ด้วยเหตุนั้นเมิ่งเซียนกูก็พยักหน้า
…
วันเวลาผ่านไป
เมิ่งชวนยังคงฝึกวิชาอย่างหนัก จอมยุทธที่แท้จริงไม่เคยหยุดปีนให้สูงขึ้น กาลเวลาหลายสิบปีก็เหมือนเพียงผ่านไปแค่วัน
เจ็ดวันหลังจากที่เมิ่งชวนตระหนักถึง “พลัง”
“อืม ข้ามั่นใจว่าต้องมีความสุขกับการกินแน่ๆ” หลิวชีเยว่พอใจมาก เมื่อเธอเดินเล่นกับเมิ่งชวนในตอนกลางคืน
“มันเป็นการเลี้ยงของข้า เจ้าจะไม่มีความสุขได้อย่างไร” เมิ่งชวนทำหน้ามุ่ย
“เจ้าเป็นอะไรไป นายน้อยเมิ่งผู้ยิ่งใหญ่ อาหารแค่สองมื้อมากเกินไปสำหรับเจ้าอย่างงั้นรึ” หลิวชีเยว่ส่งเสียงคำรามในคอ
“ร้านอาหารหยุนเจียงของตระกูลข้าเป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งในเมืองตงหนิง แต่เจ้าปฏิเสธที่จะทานอาหารที่นั่นและเลือกร้านอาหารอื่น ข้าต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากที่ร้านอาหารพวกนั้น”
“ไม่ว่าร้านอาหารหยุนเจียงจะอร่อยแค่ไหน เจ้าก็ไม่สามารถทานอาหารที่ร้านนั้นได้ตลอดไปใช่ไหม” หลิวชีเยว่กล่าว “เอาล่ะ ก็ได้ ข้าจะเลี้ยงเจ้าในวันพรุ่งนี้ เอาอย่างนี้ไหม”
“ต้องเป็นอย่างนั้นสิ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยความพึงพอใจ ทันใดนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น และเขาก็จ้องมองไปยังที่ห่างไกล
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ” หลิวชีเยว่สงสัย
“ชีเยว่ เจ้ากลับไปก่อนนะ ข้าเห็นเพื่อนคนหนึ่ง” เมิ่งชวนกล่าว “ข้าจะกลับไปในภายหลัง”
“โอ ได้แน่นอน อย่านอนดึกเกินไปล่ะ” หลิวชีเยว่พยักหน้าและจากไป
เมิ่งชวนมองในยังที่ห่างไกล เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังของชีวิตทั้งหมดภายในระยะหนึ่งลี้ และที่ห่างออกไปประมาณครึ่งลี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่ดุร้ายกระหายเลือดสองดวง กระแสพลังเหล่านี้แปดเปื้อนไปด้วยชีวิตมากมาย เมิ่งชวนเคยวิเคราะห์กระแสพลังของเพชฌฆาต แม้แต่กระแสพลังสีเลือดบนมือพวกเขาเหล่านั้นก็ยังไม่หนาแน่นเท่ากระแสพลังทั้งสองนี้
กระแสพลังเลือดแบบนี้ ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน มันโดดเด่นเฉพาะตัวอย่างมากในจิตสำนึกของเขา ทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนมากยิ่งขึ้น
“พวกเขาฆ่าคนไปกี่คนแล้วถึงได้มีกระแสพลังเลือดแบบนี้” เมิ่งชวนนึกในใจ “แต่กระแสพลังทั้งสองนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก”
เมิ่งชวนก้าวไปข้างหน้า
ไม่นานเขาก็มาถึงด้านนอกหอนางโลม
“หอเมฆาครามงั้นรึ” เมิ่งชวนจ้องมองไปที่หอนางโลมที่อยู่ตรงหน้า ไฟด้านในนั้นสวยงามและมีผู้คนมากมายอยู่ข้างใน นอกจากนี้ยังมีเสียงหัวเราะพึงพอใจจากบรรดาหญิง นักธุรกิจที่ร่ำรวยหลายคนถูกชักนำเข้าไปข้างใน
“นี่เป็นครั้งแรกของข้าที่เข้าหอนางโลม” เมิ่งชวนเดินเข้าไป
“นายน้อย โปรดเข้ามา” แมงดาที่ประตูกล่าวอย่างสุภาพ
ทันใดนั้นดวงตาของแม่เล้าเก่าก็เบิกกว้าง “นายน้อยเมิ่ง”
“นายน้อยเมิ่งอย่างงั้นรึ” ทันใดนั้นหญิงสาวในหอนางโลมบางคนที่กำลังชักชวนแขกก็หันหน้ามา และก็เห็นเมิ่งชวนเดินเข้ามา
“นายน้อยเมิ่งชวน” บรรยากาศในหอนางโลมพลันเดือดพล่านขึ้นมาในทันที หญิงในหอนางโลมซึ่งต่างก็หลงเสน่ห์เขาอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเธอจึงพุ่งเข้ามารุมล้อมเขาอย่างหลงใหล