ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 4
ตอนที่ 4 นี่เป็นเรื่องดี
จวนเมิ่ง ณ.ห้องหนังสือ
ฝึกกระบี่มาทั้งวัน แม้ว่าจิตใจจะยังคงฮึกเหิม แต่ร่างกายก็สูญเสียพลังปราณจนเหนื่อยล้า จำเป็นต้องพักผ่อน เมื่อเมิ่งชวนมาถึงห้องหนังสือเขาก็เริ่มทำกิจวัตรประจำวันที่เคยทำอยู่ทุกวัน——วาดรูป
กระดาษแผ่นหนึ่งถูกที่ทับกระดาษทับไว้ ด้านข้างก็มีจานสีที่งดงามวางอยู่ สีต่างๆที่อยู่ด้านในล้วนมีคุณภาพที่ยอดเยี่ยม
เมิ่งชวนจดจ่ออยู่กับการวาดรูป
ตั้งแต่เด็ก เมิ่งชวนชื่นชอบการวาดรูปมาก
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ามารดาวาดรูปเก่ง จึงสอนบุตรชายวาดรูป นี่เป็นหนึ่งสิ่งที่เขาหลงใหลมากที่สุดตั้งแต่เด็ก ตอนอายุเพียงสามสี่ขวบเคยวาดรูปติดต่อกันนานถึงสามสี่ชั่วโมง กระทั่งลืมกินข้าว เขาไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แม้ร่างกายจะเปรอะเปื้อนไปด้วยสี แต่จิตใจกลับเบิกบานเป็นอย่างมาก มารดายังเคยกล่าวว่า “ลูกแม่พรสวรรค์ของเจ้าช่างโดดเด่นยิ่ง อนาคตอาจจะกลายเป็นจิตรกรเอกอันดับหนึ่งในใต้หล้า ภาพวาดรูปหนึ่งมีค่าเท่าทองพันชั่ง”
ตั้งแต่เกิดมาในตระกูลเมิ่ง บิดามารดารักใคร่ทะนุถนอม มิเคยเจอเรื่องกังวลให้หม่นหมองใจ
จนกระทั่งอายุหกขวบ…
หายนะครั้งนั้น ได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่าหนึ่งแสนคน มารดาก็เป็นหนึ่งในนั้น
ด้วยการคุ้มครองของบิดามารดาเขาจึงหลบหนีกลับไปที่เมืองตงหนิงได้ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการฝึกฝน อย่างไรก็ตามเขาจะแบ่งเวลาไปวาดรูปหนึ่งชั่วโมงทุกวัน ขณะวาดรูป เขาเหมือนจะลืมความเหนื่อยล้าจากการฝึกซ้อม กระทั่งรู้สึกว่าได้ย้อนกลับไปเป็นเด็ก ที่มีมารดาคอยชี้แนะการวาดรูปอยู่ข้างกาย จิตใจพลันสงบนิ่งอย่างบอกมิถูก
ตอนนี้เขาอายุสิบห้าปี
เป็นเวลากว่าทศวรรษที่วาดรูป เขาได้คำนับปรมาจารย์ศิลปะมาหลายคน และประสบความสำเร็จเหนือกว่าอาจารย์ทุกครั้ง มารดาพูดถู พรสวรรค์ด้านวาดรูปของเขาโดดเด่นจริงๆ อย่างน้อยก็เหนือกว่าพรสวรรค์ด้านกระบี่ของตัวเอง
แต่จะมีประโยชน์อะไร?
จิตรกรเอกผู้เยี่ยมยอด สามารถฆ่าอสูรได้ไหมล่ะ?
“ก๊อกก๊อกก๊อก” เสียงเคาะประตูอย่างเร่งร้อนดังมาจากนอกห้อง
“หือ?”
เมิ่งชวนหันไปมองด้านนอกอย่างสงสัย “ยามที่ข้าวาดรูป ปกติแล้วจะไม่มีใครมารบกวนข้า หรือว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น?”
วางพู่กันแล้วเดินไปเปิดประตู เป็นเมิ่งต้าเจียงบิดาของเขาที่ยืนอยู่ด้านนอก ปกติแล้วเขามักจะมีรอยยิ้มพริ้มพรายอยู่บนหน้า แต่วันนี้สีหน้ากลับดูเคร่งขรึมยิ่งนัก
“ชวนเอ๋อ ตามข้าไปที่เรือนบรรพบุรุษ” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
“ขอรับ”
เมิ่งชวนมิคิดลังเล เขารีบเดินตามบิดาออกไปทันที “ท่านพ่อ เหตุใดช่วงสองสามวันมานี้ท่านถึงไปที่เรือนบรรพบุรุษบ่อยๆ?”
“ไม่มีอะไร” เมิ่งต้าเจียงไม่กล่าวอะไรมาก
“งั้นที่ให้ข้าไปที่เรือนบรรพบุรุษ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น?” เมิ่งชวนถามขึ้นมาอีก ตั้งแต่เกิดมาเขาเคยไปที่เรือนบรรพบุรุษแค่สี่ห้าครั้งเท่านั้น
เมิ่งต้าเจียงเหลือบมองบุตรชาย แล้วกล่าวว่า “เกี่ยวกับสัญญาหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับอวิ๋นชิงผิง ตระกูลเมิ่งกับตระกูลอวิ๋นปรึกษากันแล้วว่า จะยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างพวกเจ้า”
“ยกเลิกการหมั้นหมาย?” เมิ่งชวนตกใจ “ท่านพ่อ ทำไมจู่ๆถึงได้ยกเลิกการหมั้นหมายล่ะ?”
“เจ้าตัดใจไม่ได้?” เมิ่งต้าเจียงไปที่บุตรชาย
“เปล่า” เมิ่งชวนส่ายหน้า “ข้ากับอวิ๋นชิงผิงสองสามเดือนถึงจะเจอกันครั้งหนึ่ง นิสัยของเราเข้ากันไม่ได้ การยกเลิกการหมั้นหมายถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับข้า”
ปีนี้เมิ่งชวนอายุสิบห้าปี ยังไม่เข้าใจว่าความรักเป็นเช่นไร
สำหรับอวิ๋นชิงผิงแล้ว เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนน้องสาวที่คุ้นเคยเท่านั้น
“คิดได้เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้ ตระกูลอวิ๋นและตระกูลเมิ่งเห็นด้วยที่จะยกเลิกการหมั้นหมาย” เมิ่งต้าเจียงกล่าวต่อไปว่า “เมื่อไปถึงเรือนบรรพบุรุษ จงฟังให้มาก พูดให้น้อย”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้าตกลง
……
เรือนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง ตั้งอยู่ฝั่งทิศตะวันตกของเมืองตงหนิง มีพื้นที่ขนาดใหญ่ มีผู้คนอาศัยอยู่มากกว่าสองพันคน จากใจกลางที่พวกเขาตั้งอยู่เดินจากใต้ไปเหนือได้ประมาณครึ่งกิโลเมตร
รากฐานตระกูลเมิ่งอยู่ที่ชนบท เพราะการคุกคามจากพวกอสูร ทำให้ชาวบ้านตามชนบทสร้างป้อมปราการขึ้นมาปกป้องตัวเอง ในแต่ละป้อมจะมีคนหลายพันคนอยู่ด้านใน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่คนตระกูลเดียวกันจะรวมตัวกันอยู่ในป้อมป้อมหนึ่ง ตระกูลเมิ่งหยั่งรากที่เมืองนี้กว่าพันปี จึงมีป้อมปราการขนาดใหญ่ถึงสามป้อม เมื่อรวมกันแล้วก็จะมีผู้คนมากกว่าหมื่นคน ในเมืองตงหนิง ตระกูลขนาดใหญ่เช่นนี้ก็มีไม่น้อย
แต่คุณสมบัติที่พิเศษของตระกูลเมิ่งก็คือ พวกเขามีเทพอสูรอยู่ในตระกูล
ดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นหนึ่งในห้าตระกูลเทพอสูรที่ยิ่งใหญ่ของเมืองตงหนิง
“ผู้อาวุโส”
“ผู้อาวุโส”
ภายในเรือนบรรพบุรุษค่อนข้างเป็นระเบียบเรียบร้อย หน่วยลาดตระเวนของตระกูลเมื่อเห็นสองพ่อลูก ก็คำนับเมิ่งต้าเจียงแล้วเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ผู้อาวุโส’
ความแข็งแกร่งของเมิ่งต้าเจียงติดหนึ่งในสามอันแรกของตระกูล นับว่าอายุยังน้อย พอมีความหวังที่จะกลายเป็นเทพอสูร และยังเป็นว่าที่หัวหน้าตระกูลคนถัดไป
“หืม?”
เมิ่งชวนเดินตามบิดาเข้าไปในห้องโถงต้อนรับ
ในห้องโถงถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งและมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่นั่งอยู่ ด้านหนึ่งเป็นคนตระกูลเมิ่ง อีกด้านเป็นคนตระกูลอวิ๋น เพียงแต่ว่าบรรยากาศค่อนข้างจะตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด เมิ่งชวนมองแวบเดียวก็ดูออก ผู้อาวุโสของตัวเองมีหลายคนที่แสดงสีหน้าไม่ค่อยดีออกมา
“พี่ต้าเจียงมาแล้ว” อวิ๋นฟูอันลุกขึ้นพลางฉีกยิ้มออกมา “หนังสือหมั้นหมายได้นำมาด้วยไหม”
“นำมา” เมิ่งต้าเจียงพยักหน้า
อวิ๋นฟูอันกล่าวยิ้มๆว่า “ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ไม่คัดค้านเรื่องการยกเลิกการหมั้น พี่ต้าเจียง ก็คงไม่คัดค้านเช่นเดียวกันหรอกใช่ไหม?”
เมิ่งต้าเจียงยืนอยู่กับที่ พลางหัวเราะออกมา “หากสองตระกูลมีเจตนาจะเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงาน ก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่ในเมื่อมิมีความคิดเช่นนั้น การยกเลิกการหมั้นหมายตั้งแต่เนิ่นๆก็นับว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน นี่คือหนังสือหมั้นหมาย”
ขณะที่พูดก็หยิบหนังสือหมั้นหมายออกมาจากอก แล้วประคองสองมือส่งไปให้อวิ๋นฟูอัน
หลังจากอวิ๋นฟูอันรับมา ก็เปิดอ่านรายละเอียดด้านใน เมื่อเห็นลายเซ็นบนหนังสือ เขาก็พยักหน้า นี่คือหนังสือหมั้นหมายในตอนนั้น ลายเซ็นนี้คือลายมือของบรรพชนทั้งสองมิผิดแน่
“อวิ๋นฟูอัน กรุณาฉีกหนังสือหมั้นหมายที่นี่เถอะ” ชายชราหัวโล้นร่างผอมแห้งฝั่งตระกูลเมิ่งกล่าวออกมา
“ฮาฮา ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะนำกลับไป แล้วฉวยโอกาสนำมันออกมาในอนาคต เพื่อบีบบังคับเมิ่งชวนให้แต่งงานกับบุตรสาวข้า” อวิ๋นฟูอันกล่าวยิ้มๆ “พวกท่านวางใจเถอะ ข้าไม่ทำเรื่องน่าละอายเช่นนั้นแน่!”
พูดจบ “แควกกก——” อวิ๋นฟูอันก็ฉีกหนังสือหมั้นหมายในมือทิ้งซะ
“หนังสือหมั้นหมายข้าได้ฉีกทิ้งไปแล้ว ทุกท่านก็คงเห็นอย่างชัดเจน สบายใจเถอะ” อวิ๋นฟูอันกวาดสายตามองไปที่เหล่าผู้อาวุโสตระกูลเมิ่งด้วยรอยยิ้มในดวงตา “ในเมื่อไม่มีเรื่องอันใดแล้ว งั้นพวกข้าต้องขอลา”
พูดจบก็เดินออกไป โดยมีคนตระกูลอวิ๋นเดินตามหลังออกมา
จังหวะที่เดินผ่านเมิ่งชวน อวิ๋นฟูอันก็หยุดเดิน แล้วมองเมิ่งชวนด้วยแววตายิ้มแย้ม “หลานเมิ่ง เจ้าจำไว้นะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้ากับชิงผิงบุตรสาวของข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
“ขอรับ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก” เมิ่งชวนตอบกลับ
อวิ๋นฟูอันพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะพาคนของตนจากมา
เมิ่งต้าเจียงมองอวิ๋นฟูอันที่จากไป พร้อมย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะบอกอย่างเยือกเย็นว่า “ชวนเอ๋อ การหมั้นหมายก็ยกเลิกไปแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ พ่อยังมีธุระที่นี่”
“ขอรับ” เมิ่งชวนมองเหล่าผู้อาวุโสแวบหนึ่ง แล้วเดินจากไป
ปึง~~~
เมื่อบานประตูปิดลง ทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ภายใต้แสงสว่างจากเทียนเล่มหนา
“รังแกกันเกินไปแล้ว!” ชายชราหัวโล้นร่างผอมกระแทกไม้เท้าลงกับพื้นอย่างเกรี้ยวกราด เสียงกระเบื้องแตกหักดังสะท้อนไปทั่วห้อง
“ปากบอกปรึกษากับพวกเรา แต่ความจริงแล้วกลับไม่ให้ทางเลือกพวกเราเลย รึคิดว่าพวกเราหน้าหนาอยากจะเกี่ยวดองกับพวกมันใจจะขาด?” ตอนนั้นเองชายชราท่าทางสุขุมผู้หนึ่งกล่าวเสียงเย็นขึ้นมาว่า “หากกล้าไปก่อความวุ่นวายที่ตระกูลอวิ๋น เกรงว่าบรรพชนของตระกูลอวิ๋นคงตบเจ้าตาย!”
“ยกเลิกงานหมั้นก็ดีเหมือนกัน หากพวกเราใช้การหมั้นหมายไปบีบบังคับตระกูลอวิ๋น เพื่อให้เด็กสองคนแต่งงานกัน แล้วจะมีประโยชน์อะไร? มีแต่จะทำให้ตระกูลอวิ๋นเคียดแค้น ที่เกี่ยวดองกันก็เพราะอยากเป็นพันธมิตรไว้ช่วยเหลือกันและกัน การมีความแค้นต่อกัน มิใช่สิ่งที่เราต้องการ อีกอย่างสำหรับตระกูลเมิ่งของพวกเรา การหมั้นหมายเป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่อาการบาดเจ็บของพี่หญิงสามต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องนี้สั่นคลอนรากฐานของตระกูลเมิ่งได้” ชายชราท่าทางสง่างามผู้นั้นหันไปถามชายชราอ้วนท้วมที่อยู่ด้านหน้าสุด “หัวหน้าตระกูล อาการบาดเจ็บของพี่หญิงสาม ไม่สามารถรักษาได้จริงหรือ?”
ชายชราร่างท้วมย่นคิ้วแล้วพูดว่า “อีกสองวัน พี่หญิงสามจะกลับมาที่ตงหนิง เมื่อถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที”
เมิ่งต้าเจียงที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้วแน่น
เสาหลักตระกูลเมิ่งกำลังล่มสลาย เหล่าผู้อาวุโสตระกูลเมิ่งจึงพากันกังวล
ตระกูลเมิ่งเก็บข่าวนี้ไว้เป็นความลับ มีเพียงเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้นที่ทราบ ถ้าหากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป คนในตระกูลหลายหมื่นคนคงพากันตื่นตระหนก ความวุ่นวายมากมายจะบังเกิด
ตอนนี้…
มีแค่ระดับสูงของสี่ตระกูลเทพอสูรเท่านั้นที่ทราบข่าวนี้ แต่ไม่มีใครเผยแพร่ออกไป เพราะเกรงว่าพวกลูกหลานตาบอดของตนจะไปกระตุ้นความโกรธของตระกูลเมิ่งเข้า อย่างไรเสีย ‘เมิ่งเซียนกู่’ ก็ยังไม่ตาย หรือต่อให้เมิ่งเซียนกู่ตายไปจริงๆ แต่นางก็ยังมีสหายที่เป็นเทพอสูรอยู่มากมาย ตราบใดที่ไม่ทำอะไรเกินเลย สหายของนางก็คงไม่ยื่นมือเข้ามาแทรก
อย่างไรก็ตามถ้าหากไม่มีเทพอสูร ตระกูลเมิ่งก็ไม่มีทางได้รับภารกิจสำคัญ เมื่อไม่สามารถแบกรับภารกิจสำคัญได้ ก็เป็นธรรมดาที่จะไม่คู่ควรได้รับอำนาจพิเศษใดใด
หน้าที่และอำนาจต้องเท่าเทียม
โลกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดา ไปจนถึงเทพอสูร มิมีใครสามารถหลีกพ้นหน้าที่ไปได้
มนุษย์ธรรมดาต้องฝึกฝนถึงระดับชำระแก่นแท้ ไม่ว่าหญิงหรือชาย เมื่ออายุครบยี่สิบปีจะต้องเข้ารับราชการทหารห้าปี! ซึ่งมีเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตรอดกลับมาได้ ทุกคนล้วนอยากฝึกให้ถึงระดับชำระแก่นแท้ เพราะว่าหากอ่อนแอเกิน ก็ไม่สามารถรับราชการทหารได้ ตามกฎหมาย หากไม่รับราชการทหารก็ไม่อนุญาตให้ประกอบอาชีพส่วนใหญ่ได้ เป็นเพียงคนชนชั้นล่าง ที่มีชีวิตอย่างแร้นแค้น
ส่วนเทพอสูร คือกระดูกสันหลังของมนุษยชาติ เทพอสูรทุกคนตลอดชีวิตล้วนอุทิศตนให้กับการต่อสู้เพื่อปกป้องมวลมนุษย์ แม้ว่าจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านเกิด ก็ยังต้องปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนเช่นกัน
ดังนั้น เทพอสูรจึงเป็นที่ยกย่องและเคารพของผู้คน ตระกูลของพวกเขาจึงพลอยรุ่งเรืองไปด้วย แต่ถ้าหากเทพอสูรตายไปหรือไม่สามารถแบกรับหน้าที่สำคัญได้ ตระกูลของพวกเขาก็ต้องถอยออกจากตำแหน่งสำคัญเป็นธรรมดา
******
เมื่อเมิ่งชวนกลับถึงบ้าน ท้องฟ้าก็ใกล้ค่ำแล้ว
“อาชวน รีบมานั่งกินข้าวเร็ว ได้ยินว่าเจ้ากับลุงเมิ่งไปที่เรือนบรรพบุรุษ ยังคิดว่าวันนี้พวกเจ้าน่าจะกลับมาทานอาหารเย็นไม่ทันเสียอีก” หลิ่วชีเยว่กำลังนั่งดื่มโจ๊กทานขนมปังเเผ่น เมิ่งชวนนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม บ่าวหญิงจึงนำโจ๊กถ้วยหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้า เมิ่งชวนดื่มโจ๊ก ขณะที่ปล่อยใจให้ครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรสักคำ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ” หลิ่วชีเยว่ถาม
“อ้อ”
เมิ่งชวนหลุดจากภวังค์ แล้วตอบกลับส่งๆว่า “ตระกูลอวิ๋นและตระกูลเมิ่งปรึกษากัน แล้วตัดสินใจที่จะยกเลิกการหมั้นหมายของข้ากับอวิ๋นชิงผิง”
“ยกเลิกการหมั้นหมาย?” หลิ่วชีเยว่ตาเป็นประกายขึ้นมา
“อือ เมื่อครู่นี้ หนังสือหมั้นหมายก็ถูกฉีกที่นั่น” เมิ่งชวนพยักหน้า
หลิ่วชีเยว่เพ่งพินิจเมิ่งชวนอย่างละเอียด แล้วถามว่า “ทำไม เจ้ารู้สึกปวดใจรึที่ยกเลิกงานหมั้น? ขนาดดื่มโจ๊กยังมัวเหม่ออยู่อีก?”
“เปล่า” เมิ่งชวนส่ายหน้า “เดิมทีข้ากับอวิ๋นชิงผิงนิสัยก็เข้ากันไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าก็รู้อยู่แล้วเหรอ ยกเลิกการหมั้นนี้ นางสบายใจ ส่วนข้าก็โล่งอก นี่เป็นเรื่องดีสำหรับนางและข้า แล้วทำไมข้าจะต้องปวดใจด้วยเล่า”
“งั้นเจ้าเหม่อทำไม?” หลิ่วชีเยว่ไล่บี้ต่อ
“ข้าคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ” เมิ่งชวนขมวดคิ้ว “เดิมทีการหมั้นหมายนี้บรรพชนของพวกเราก็เป็นผู้จัดการด้วยตนเอง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมาขอยกเลิกงานหมั้นถึงบ้าน แต่อย่างน้อยตระกูลอวิ๋นก็ควรจะส่ง ‘สามอันดับแรกของตระกูลอวิ๋น’ มาด้วย นี่คือการแสดงความเคารพขั้นพื้นฐานต่อตระกูลเมิ่งของพวกเรา แต่ว่าครั้งนี้กลับมีเพียงผู้อาวุโสอันดับห้า และคนที่ไม่มีประโยชน์อย่างอวิ๋นฟูอันมาด้วย นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการดูถูกตระกูลเมิ่งหรือ นี่คือข้องสงสัยประการแรก”
“ประการที่สอง ในห้องโถงตอนนั้น เหล่าผู้อาวุโสแต่ละคนล้วนมีสีหน้าที่ไม่ดีนัก แต่พวกเขาก็ทนข่มกลั้นตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้อาวุโสของพวกเรานิสัยดีแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ประกายที่สาม ปกติเวลาที่อวิ๋นฟูอันเผชิญหน้ากับบิดาของข้า เขาจะแสดงท่าทางเอาใจใส่ และกริยาที่นอบน้อมเป็นอย่าง แต่วันนี้เขากลับแสดงท่าทีเย่อหยิ่ง ความนอบน้อมเหล่านั้นหายไปไหนแล้ว?”
“ที่สำคัญคือ การยกเลิกการหมั้นหมาย เบื้องหลังของเรื่องนี้จะต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ แต่จะมีเหตุผลอะไรกัน ถึงทำให้การหมั้นหมายโดยบรรพชนทั้งสองตระกูลถูกยกเลิก? ”
เมิ่งชวนมองหลิ่วชีเยว่ “ข้ากำลังเดาว่าเป็นเพราะตระกูลอวิ๋นมีผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่กว่า! หรือเป็นเพราะตระกูลเมิ่งของพวกเรา”
หลิ่วชีเยว่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจขึ้นมา “อาชวน ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเจ้าคิดมากถึงเพียงนี้? ”
“ข้าก็แค่เดาไปเรื่อย ในเมื่อท่านพ่อมิยอมบอกข้า ก็แสดงว่าเขาคงมีเหตุผลของเขา” เมิ่งชวนหัวเราะ
“คนถูกยกเลิกการหมั้นยังมีหน้ามาหัวเราะได้อีกนะ รีบกินขนมปังของเจ้าเถอะ” หลิ่วชีเยว่ยิ้มกว้าง
“กินแล้วกินแล้ว” เมิ่งชวนหยิบขนมปังแผ่นขึ้นมาแล้วกัดคำใหญ่