ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 41
ตอนที่ 41 ข่าวแพร่กระจาย
เมิ่งชวนมองไปที่ศพของจ้าวชานก่อนจะหยิบนกหวีดออกจากเข็มขัดแล้วเป่า
เมื่อพลังปราณของเขาไหลเข้าสู่นกหวีด ก็เกิดเสียงหวีดดังขึ้นเสียดหู มันดังออกไปทั่วทุกทิศทาง สามารถได้ยินเป็นระยะทางไกลหลายลี้ นกหวีดนี้ใช้เพื่อรวบรวมคนของตระกูลเมิ่งที่อยู่โดยรอบ มีเพียงร้อยคนที่มีสถานะค่อนข้างสูงในตระกูลเท่านั้นที่มีนกหวีดนี้ คนทั่วไปในตระกูลจะมีเพียงพลุขอความช่วยเหลือมาตรฐานเท่านั้น พวกเขาสามารถจุดพลุขอความช่วยเหลือได้ในช่วงเวลาวิกฤต ซึ่งเป็นสัญญาณที่จะทำให้คนในตระกูลที่อยู่ใกล้เคียงรีบเร่งและให้ความช่วยเหลือ
วืด วืด วืด มีคนมาถึงคนแล้วคนเล่า
“นายน้อยเมิ่งชวนรึ” คนส่วนใหญ่ที่มาถึงเป็นจอมยุทธที่ทำงานให้กับตระกูลเมิ่ง มีคนจำนวนน้อยที่เป็นคนในตระกูลเมิ่ง ตระกูลเมิ่งมีขนาดใหญ่ และทรงอำนาจ ดังนั้นจึงต้องจ้างวานจอมยุทธหลายคน
“นี่คือศพของหัวหน้าคนที่สองของกลุ่มโจรเมฆาโลหิต จ้าวชาน” เมิ่งชวนชี้ไปยังศพที่อยู่ตรงหน้าเขา “นอกจากนี้ยังมีศพของโจรเมฆาโลหิตในหอเมฆาคราม ฝากดูแลด้วย”
“ขอรับ” ทุกคนตอบโดยพร้อมเพรียงกัน
เมิ่งชวนพยักหน้าและจากไป
ในตอนนี้กลุ่มคนที่มารวมตัวกันอยู่ก็เริ่มพูดคุย
“พี่ชายหวัง พาคนไปที่หอเมฆาครามและจัดการกับศพของโจรเมฆาโลหิต นอกจากนี้ให้ค้นหาว่านายน้อยเมิ่งชวนทำอะไรในหอเมฆาครามบ้าง” ผู้อาวุโสสั่ง ผู้อาวุโสคนนี้เป็นหนึ่งในเก้าพ่อบ้านงานภายนอกของตระกูลเมิ่ง เขามีสถานะที่ค่อนข้างสูงในตระกูลเมิ่ง และตระกูลของเขาก็ได้รับใช้ตระกูลเมิ่งมาสามชั่วอายุคนแล้ว ผู้ที่ถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งสำคัญ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้นามสกุลเมิ่งย่อมต้องมีความสามารถเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ในทางตรงกันข้าม หากสมาชิกของตระกูลเมิ่งคนใดมีความสามารถที่ไม่ได้เรื่อง พวกเขาอย่างมากก็ได้แค่ไม่อดตาย สถานะของพวกเขาด้อยกว่าพ่อบ้านงานภายนอกมาก
“ขอรับ” ทันใดนั้น ผู้คนกว่าสิบคนก็มุ่งหน้าไปที่หอเมฆาคราม
“มืออสูรโลหิต จ้าวชาน จอมยุทธระดับไร้ตำหนิ” ผู้อาวุโสมองไปที่ศพบนพื้น และอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “นายน้อยเมิ่งชวนแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมจริงๆ”
“นายน้อยเมิ่งชวนยังคงอยู่ที่ระดับก่อกำเนิด การที่จะสามารถฆ่าคนที่มีระดับพลังการฝึกปรือที่สูงกว่าได้นั้น เขาต้องมาถึงจุดสูงสุดของ “หนึ่งเดียว” เขาต้องอยู่ไม่ไกลจากการเข้าใจ “พลังกระบี่” เท่าไหร่นัก” คนอื่นๆที่อยู่รอบตัวเขา ก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
…
ข่าวของเมิ่งชวนฆ่าโจรเมฆาโลหิตสองคนแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในผู้เสียชีวิตก็คือ มืออสูรโลหิต จ้าวชาน หอเมฆาครามเป็นสถานที่ซึ่งผู้คนเข้าออกบ่อยครั้ง ดังนั้นหลายคนจึงให้ความสนใจ มีบางคนที่พยายามติดตามไปดู “เมิ่งชวนปะทะมืออสูรโลหิตจ้าวชาน” แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะติดตามได้ทัน
เมื่อเมิ่งชวนเป่านกหวีดในเวลาต่อมา เขาก็ได้ดึงดูดผู้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้ามามากมาย นอกเหนือจากบุคลากรในตระกูลเมิ่ง หลายคนยังเห็นศพของจ้าวชานด้วยตาของตัวเอง
…
ภายในห้องส่วนตัวในหอนางโลมแห่งอื่น
หวินฟู่อันกำลังสนทนากับเพื่อน และยังมีหญิงสาวสวยคอยอยู่เคียงข้างเขาด้วย ในตอนนี้ประตูก็เปิดออกและชายวัยกลางคนอีกคนก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“พี่จาง เรารอเจ้ามาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว” หวินฟู่อันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้องเป็นเจ้ามือดื่ม”
“พวกเจ้าทุกคนคงรู้เกี่ยวกับแม่เสือที่บ้านของข้า ไม่มีอะไรที่ข้าสามารถทำได้ ข้าได้แต่แอบออกมาตอนนี้” ชายวัยกลางคนยิ้มขณะที่เขานั่งลง เขาเงยหน้าขึ้นและกระดกแก้วเหล้า ถัดจากเขามีหญิงสาวสวยเติมถ้วยของเขาทันที ชายวัยกลางคนพูดต่ออย่างตื่นเต้น “มีข่าวใหญ่ที่ข้าอยากจะแลกเปลี่ยนกับเจ้าสองคน”
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
“ข่าวใหญ่อะไรรึ” ชายหน้าตาร่ำรวยอีกคนถามอย่างสบายๆ ขณะที่เขาสวมกอดหญิงสาวข้างตัว
“ประมาณสองชั่วโมงก่อน มีบางอย่างเกิดขึ้นที่หอเมฆาคราม” ชายวัยกลางคนกล่าว “เมิ่งชวนของตระกูลเมิ่งไปที่หอเมฆาคราม…” ขณะที่เขาพูดเขาก็เหลือบไปที่หวินฟู่อัน
เปลือกตาของหวินฟู่อันกระตุก
“เขาไปที่หอเมฆาครามถื่อเป็นเรื่องใหญ่อะไรกัน” ชายที่ดูร่ำรวยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีเพียงครึ่งหนึ่งของผู้ที่รับใช้กองทัพเท่านั้นที่สามารถกลับมาอย่างมีชีวิต และส่วนใหญ่ได้แต่กลับมาพร้อมกับความพิการ เป็นเรื่องปกติที่จะไปหอนางโลมก่อนที่จะรับใช้ราชการทหาร”
“เขาไม่ได้ไปหอเมฆาครามหาผู้หญิง แต่ไปหาผู้ชายสองคน” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างพอใจ หวินฟู่อันและชายที่ดูร่ำรวยตกตะลึง
ชายวัยกลางคนพูดต่อว่า “พวกนั้นเป็นคนในกลุ่มโจรเมฆาโลหิตสองคน เมิ่งชวนไปที่หอเมฆาครามและทำการฆ่าโจรคนหนึ่งก่อน จากนั้นเขาก็ไล่ตามโจรที่มีชื่ออีกคนนั่นก็คือ มืออสูรโลหิต จ้าวชาน”
“มืออสูรโลหิต จ้าวชานงั้นรึ” หวินฟู่อันและชายผู้มั่งคั่งตื่นตระหนก
“จ้าวชานถูกตัดแขนข้างหนึ่งในที่เกิดเหตุ จากนั้นเขาก็หนีไปทันทีด้วยความหวาดกลัว เมิ่งชวนไล่ตามเขาไปประมาณหนึ่งลี้ แล้วค่อยฆ่าเขา” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เขายอดเยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมจริงๆ”
หวินฟู่อันอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เขาสามารถฆ่ามืออสูรโลหิตจ้าวชานได้ด้วยรึ นั่นคือจอมยุทธในระดับไร้ตำหนิ ข้าประเมินว่าเมิ่งชวนน่าจะอยู่ในช่วงปลายของระดับก่อกำเนิด”
“หรือว่าเขาตระหนักรู้ถึง “พลัง” ” ชายวัยกลางคนเดา
“เป็นไปไม่ได้” หวินฟู่อันกล่าวทันที “ถ้าเขาตระหนักรู้ถึง “พลัง” พวกคนในหอเมฆาครามทั้งหมดจะต้องระบุได้แน่ ข่าวนี้คงจะแพร่กระจายไปทั่วเมืองแล้ว ถ้าหากเป็นเช่นนั้น”
“ถูกตัอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตระหนักรู้ถึง “พลัง”” ชายที่ดูร่ำรวยกล่าวเสริม “เขามาถึงขั้น “หนึ่งเดียว” เมื่อปีก่อนเท่านั้น เขาจะไปรวดเร็วขนาดนั้นได้ยังไง ถ้าเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ… เขาก็ควรจะสามารถฆ่ามืออสูรโลหิตจ้าวชานได้ในหอเมฆาคราม แต่ในความเป็นจริงเนื่องจากเขาเชี่ยวชาญด้านความเร็ว การที่เขาสามารถฆ่าจ้าวชานได้หลังจากผ่านไปหนึ่งลี้ ย่อมหมายความว่าความแตกต่างระหว่างพวกเขานั้นไม่มากนัก”
“สิ่งที่พี่ไป๋พูดนั้นมีเหตุผล” หวินฟู่อันพยักหน้า
“ตระกูลของพวกเจ้าทั้งสองต่างรู้ดีว่าเมิ่งเซียนกูบาดเจ็บอย่างรุนแรง นั่นหมายความว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี” ชายผู้มั่งคั่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นเมื่อเขาบรรลุเคล็ดวิชาลับเมื่ออายุสิบห้าปี เธอจึงพยายามอย่างเต็มที่ในการดูแลเขา ด้วยประสบการณ์แปดสิบปีของเมิ่งเซียนกูในฐานะเทพอสูร และการดูแลเป็นอย่างดีของเธอ รากฐานเทพอสูรของเมิ่งชวนจะต้องแข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาจะอยู่ในช่วงปลายของระดับก่อกำเนิด แต่ช่องว่างระหว่างร่างกายของเขากับมืออสูรโลหิตจ้าวชาน ก็อาจจะไม่กว้างมากนัก เขาสามารถจัดการจ้าวชานได้อย่างชัดเจน เพราะเขามีวิชากระบี่ในขอบเขตที่สูงกว่า เขาน่าจะไปถึงจุดสูงสุดของระดับก่อกำเนิด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถเข้าใจ “พลังกระบี่” ได้ภายในสองถึงสามปี”
“เข้าใจ “พลัง” ภายในสองหรือสามปีงั้นรึ” หวินฟู่อันหัวเราะเยาะ “พี่ไป๋ข้ายอมรับว่าเขาเป็นอัจฉริยะ แต่นั่นคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่วิชากระบี่ของเขาจะก้าวรุดหน้าไปแบบนั้น บางทีเขาอาจจะบรรลุ “พลัง” หลังจากอายุยี่สิบก็เป็นได้”
“อย่าดูถูกเขา” ชายที่ดูร่ำรวยส่ายหน้า “ตระกูลไป๋ของเราคอยติดตามดูอยู่ เมิ่งชวนชักกระบี่ และยิงธนูหน้าไม้ทุกวัน แปดพันครั้งต่อวัน ว่ากันว่าเขาฝึกวิชาด้วยวิธีอื่นอีกด้วย… เขาขยันเป็นพิเศษจริงๆ”
“ใช่ ใช่ ใช่ เขาขยันขันแข็งมาก แต่ถ้าความขยันขันแข็งมีประโยชน์ละก็ เหล่าเทพอสูรก็คงจะมีไม่น้อย” หวินฟู่อันกล่าวต่อ หากการหมั้นหมายไม่ถูกยกเลิก เขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นเมิ่งชวนเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม หลังจากยกเลิกการหมั้นแล้ว เขากลับหวังว่าเมิ่งชวนจะกลายเป็นคนที่ไม่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น หากหวินฟู่อันสามารถคาดเดาได้ถูกต้องภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ วีรบุรุษทั้งสามของตระกูลหวินจะกลายเป็นสี่วีรบุรุษของตระกูลหวิน
…
ข่าวดังกล่าวทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วโลกภายนอกตระกูลเมิ่ง และกลุ่มตระกูลเมิ่งก็อยู่ในอารมณ์ที่ตื่นเต้น เป็นสุข มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดทั่วทุกหนทุกแห่ง
ที่จิงหูเมิ่ง
“ชวนเอ๋อร์เจ้าออกไปทานอาหารเย็นกับชีเยว่ และตอนที่เจ้ากำลังเดินทางกลับ เจ้าได้ลงมือฆ่าโจรเมฆาโลหิตสองคนอย่างงั้นรึ” เมิ่งต้าเจียงมองไปที่ลูกชายของเขา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“พ่อรู้อยูู่แล้วว่าข้าสัมผัสกระแสพลังได้ภายในรัศมีหนึ่งลี้” เมิ่งชวนกล่าว “ข้ารู้สึกได้ถึงกระแสพลังคาวเลือดจากคนทั้งสองจากระยะไกล กระแสพลังนั้นข้นกว่าเพชฌฆาตที่เชี่ยวชาญในการตัดหัวคนในศาลของราชสำนัก นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าทำการสืบสวนต่อไปอีก และข้าได้ยินการสนทนาของพวกเขาจากระยะทางสิบก้าว และระบุตัวตนของจ้าวชานที่ปลอมตัวมาได้ โจรเมฆาโลหิตสองคนสมควรตายอยู่แล้ว อย่าว่าแต่มืออสูรโลหิตจ้าวชาน”
เมิ่งต้าเจียงพยักหน้าเล็กน้อย
“พ่อไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้ใช้ “พลังกระบี่” ทั้งหมดที่ข้าใช้เป็นเพียงความแข็งแกร่งที่มากกว่ามืออสูรโลหิตจ้าวชานเพียงเล็กน้อย และข้าได้ฆ่าเขาตอนที่ไม่มีใครอยู่” เมิ่งชวนกล่าว เขารู้สึกได้ถึงสภาพแวดล้อมในระยะหนึ่งลี้ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่ามีใครอยู่รอบๆหรือไม่
“เยี่ยมมาก”
เมิ่งต้าเจียงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้ผู้คนต่างพูดกันว่าวิชากระบี่ของเจ้ามาถึงจุดสูงสุดของขั้น “หนึ่งเดียว” แล้วและเจ้าก็อยู่ไม่ไกลจากการตระหนักรู้ถึง “พลังกระบี่” ในช่วงกลางของปีหน้าหากเราประกาศว่าเจ้าประสบความสำเร็จ “พลังกระบี่” ก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดา อีกอย่างศาลของราชสำนักก็ได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นมืออสูรโลหิตจ้าวชานจริงๆ ส่วนผู้เสียชีวิตอีกคนก็ได้รับการตรวจหารอยสักและถูกระบุว่าเป็นกลุ่มโจรเมฆาโลหิตเช่นเดียวกัน”
“เงินสดและสมบัติที่พวกนั้นมีอยู่ รวมกับอาวุธเมื่อแปลงเป็นเงินพร้อมกับค่าหัวของราชสำนักจักรพรรดิ เป็นเงินทั้งสิ้น 160,000 หยวน” เมิ่งต้าเจียงหยิบตั๋วเงินออกมาหนึ่งปึก” นี่เป็นของขวัญจากตระกูล สินสงครามของเจ้า”
“จ้าวชานควักเงินจำนวนมากออกมาขอความเมตตาก่อนที่จะตาย” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พ่อไม่ต้องให้ข้าแล้ว”
“สินสงครามของเจ้าจะเป็นของเจ้า นั่นเป็นเรื่องปกติ เจ้าโตแล้ว ดังนั้นเจ้าควรจัดการกับพวกมันด้วยตัวเอง” เมิ่งต้าเจียงยื่นตั๋วเงินมาให้
เมิ่งชวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับมันไว้
เงินหยวนหลายหมื่นหยวน… นั่นเทียบเท่ากับความมั่งคั่งทั้งหมดของตระกูลที่ร่ำรวยอย่างตระกูลโจว แม้แต่โจรเมฆาโลหิต นั่นก็เป็นเงินจำนวนมหาศาล
แต่สำหรับตระกูลเทพอสูรอย่างตระกูลเมิ่งแล้ว พวกเขาไม่ได้คิดอะไรเลย
…
เขากลับไปที่ห้องและเอนกายพิงเตียง ภายใต้แสงไฟยามค่ำคืน เมิ่งชวนพลิกดูตั๋วแลกเงินปึกหนา รวมกับเงินที่เขาได้รับจากจ้าวชานอีกเป็นจำนวนทั้งสิ้น 50,000 หยวน
“แม้กระทั่งในวัยของข้า สิ่งที่ข้าเคยมีมากที่สุดก็คือเงินห้าพันหยวนเท่านั้น” เมิ่งชวนถอนหายใจ แม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงและมีฐานะสูงส่งจากตระกูล แต่เขาก็ไม่ได้รับเงินเลย ตระกูลให้เงินช่วยเหลือเขารายเดือนเล็กน้อย และพ่อของเขาก็ให้เงินค่าขนมแก่เขาบ้าง เขาไม่ได้ใช้เงินมากนัก และเมื่อเวลาผ่านไปเขาก็สะสมเงินได้เพียงห้าพันหยวน เขาด้อยกว่านักธุรกิจที่ร่ำรวยหลายคน
แต่เขาได้รับมากมายขนาดนี้ในวันเดียว
หลังจากดูแล้ว เขาก็วางเงินไว้ข้างตัวอย่างสบายๆ และสายตาของเขาก็จ้องมองไปที่ชิ้นโลหะสีดำที่ห่อด้วยผ้าฝ้าย
เมื่อเทียบกับตั๋วเงินแล้ว เขามีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสมบัติเทพอสูรมากกว่า อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดหวังมากมายนัก ไม่ว่าอย่างไร มันก็เสียหายมากเกินไป
นี่เป็นชิ้นส่วนโลหะสีดำที่เสียหาย เมิ่งชวนหยิบชิ้นส่วนโลหะสีดำขึ้นมา และกระแสพลังเทพอสูรที่กดดันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ก็แผ่ออกมาจากชิ้นโลหะสีดำ สิ่งนี้ทำให้เมิ่งชวนระวังตัวมากขึ้น แม้ว่าห้องของเขาจะสว่างไสวด้วยแสงจันทร์ แต่เมิ่งชวนก็ไม่จำเป็นต้องใช้สายตาในการ “มอง” วัตถุต่างๆ จิตสัมผัสของเขาทะลุเข้าไปทุกตารางนิ้วของชิ้นโลหะสีดำ
ในขณะที่เขาตรวจสอบมัน ชิ้นส่วนของโลหะสีดำก็มีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นซึ่งส่งผลกระทบต่อเขา
เขารู้สึกว่าสติของเขาถูกดึงเข้าไปในชิ้นโลหะสีดำในทันที