ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 46
ตอนที่ 46 กระบวนท่ากระบี่ที่สามของเมิ่งชวน
“พวกเราประเมินเจ้าต่ำเกินไป” มู่หรงหยู ผู้มีคิ้วสีขาวกับดวงตาสีทอง พูดด้วยเสียงต่ำ ก่อนจะกลายเป็นภาพติดตาและหนีไปทางตะวันออก
“จะหนีอย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนไล่ตามมันในทันทีโดยที่ไม่ใช้ “พลังแห่งวิญญาณ” และตามติดมู่หรงหยูได้ด้วยความเร็วปกติเพียงอย่างเดียว
พวกเขาวิ่งข้ามหลังคา ราวกับวิญญาณในยามค่ำคืน มีเพียงแค่เสียงลมพัด
“ฮับบี้ มีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก”
“มันเงียบลงแล้ว” ภายในบ้านที่ถูกมู่หรงหยูและรองหัวหน้าสาขาถูชางบุกเข้าไป มีชายร่างผอมโผล่หัวออกมาจากด้านใต้เพดานที่พังลง เขามองไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง ในความมืดนั่นเขามองเห็นชายร่างกำยำสูงเกือบสามเมตรนอนอยู่ไม่ไกลบนพื้น ร่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยขนสีดำ มองแวบแรกดูราวกับเป็นหมีสีดำตัวใหญ่ ชายร่างผอมหน้าซีดแล้วกลับลงไป
“อย่าออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าไปเด็ดขาด”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้ามองไม่ชัด แต่ดูเหมือนอสูรหมีกำลังนอนอยู่ที่ลานบ้านของเรา มันสูงเกือบสามเมตร สูงกว่าหลังคานบ้านเราเสียอีก”
“อะไรนะ? อสูรรึ?”
ทั้งคู่ซ่อนตัวอยู่ข้างในและไม่กล้าออกไปอีก
…
ภายในไม่กี่วินาที มู่หรงหยูและเมิ่งชวนก็มาถึงแม่น้ำสายใหญ่
“โอ้?” เมื่อเมิ่งชวนเห็นแม่น้ำเขาก็เข้าใจได้ในทันที ‘เพราะหนีข้าทางบกไม่ได้ ก็เลยจะใช้แม่น้ำหลบหนีอย่างนั้นรึ? ข้าไม่เก่งสู้ใต้น้ำด้วยสิ’
สำหรับจอมยุทธแล้ว การว่ายน้ำและดำน้ำตามปกติมันไม่เพียงพอ
ร่างเทพอสูรบางร่างที่มีคุณสมบัติธาตุน้ำมีความสามารถที่ให้ผู้ใช้เคลื่อนไหวในน้ำได้ไวเสียยิ่งกว่าปลา พวกเขาไวมาก และยังรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้ วิชาอสูรบางวิชาจากนิกายอสูรฟ้าทำให้ผู้ใช้ของมันรักษาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ใต้น้ำได้ค่อนข้างสูง การฝึกฝนของเมิ่งชวนนั้นไม่ได้ช่วยให้เขาต่อสู้ในน้ำได้เก่งขึ้น เขาใช้พลังได้ไม่เต็มที่เมื่ออยู่ใต้น้ำด้วยซ้ำ
‘ฮึ! มันเร็วมาก มันต้องมีร่างเทพอัสนีเป็นแน่ แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะกล้าตามข้าลงไปในน้ำเป็นแน่’ มู่หรงหยูพุ่งไปทางแม่น้ำ
ในตอนนี้ มู่หรงหยูเลิกคิดจะจับเมิ่งชวนแบบเป็นๆแล้ว ที่เขาต้องการมีเพียงการเอาชีวิตรอด นี่เป็นเพราะเมิ่งชวนเร็วจนเกิดคาด ขนาดยืมมือเขาฆ่าถูได้…มันทำให้ความมั่นใจของเขาหายไปจนสิ้น
‘ตราบใดที่ข้าสามารถหลบหนีไปได้และรายงานเรื่องนี้ให้ระดับสูง ข้าก็จะได้รับแต้มมากมาย เมิ่งชวนซ่อนความแข็งแกร่งไว้ได้ดีจริงๆ มันเข้าถึง “พลังกระบี่” ได้มาซักพักแล้ว’
วิชากระบี่ของเมิ่งชวนนั้นประณีตเกินไป ดูไม่เหมือนมือใหม่ที่เพิ่งเข้าใจ”พลังกระบี่”
ความจริงมันเป็นเวลานานกว่าครึ่งปีแล้วที่เมิ่งชวนตระหนักรู้ถึง “พลังกระบี่” นอกจากนี้เขาได้หลอมรวมเคล็ดของกระบี่ตัดอัสนีเข้ากับวิชากระบี่ของเขาทำให้มันงดงามยิ่งขึ้น ด้วยขอบเขตสิบก้าวของเขา เมิ่งชวนจึงเก่งกาจในการต่อสู้มาก และทำให้มู่หรงหยูรู้สึกได้ว่าเมิ่งชวนได้ตระหนักรู้ถึงพลังมาซักพักแล้ว
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
‘มันน่าจะตระหนักรู้ “พลังกระบี่” เมื่อตอนอายุสิบหก ไม่สิ อาจจะตอนอายุสิบห้า เวลาในรายงานที่ว่ามันบรรลุวิชาลับตอนไหนน่าจะเป็นของปลอม มันน่าจะจะค้นพบวิชาลับตั้งแต่อายุสิบเอ็ดไม่ก็สิบสองปี ข้าเสียเปรียบให้แก่มันทั้งๆที่ข้าควบแน่นแก่นอสูรมาเป็นปีแล้ว พรสวรรค์ของมันช่างน่ากลัวยิ่งนัก ถ้าหากข้ารายงานเรื่องนี้ให้อสูรฟัง มันจะต้องถูกตั้งค่าหัวเป็นแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่นานมันก็จะตาย’
โอ๋? จู่ๆมู่หรงหยูก็รู้สึกว่าเมิ่งชวนเพิ่มความเร็วขึ้น ในพริบตามันก็อยู่ข้างหลังเขา มันเอาจริง ก่อนหน้านี้ที่เมิ่งชวนฆ่าถู มู่หรงหยูก็ได้เห็นความเร็วที่แท้จริงของเมิ่งชวน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังตกใจอยู่ดีเมื่อได้เห็นเป็นครั้งที่สอง
มันเร็วเกินไป!
ฟุบ
หลังจากยืนยันว่ามู่หรงหยูจะหลบหนีไปทางแม่น้ำ เมิ่งชวนก็ไม่รอช้าอีกต่อไป เดิมทีแล้วที่เขาถ่วงเวลาก็เพราะจะรอให้ญาติผู้ใหญ่มา อย่างไรก็ตามหากเขารออีกฝ่ายจะกระโดดลงแม่น้ำและหนีไป
“ฆ่า!” เขาตัดสินใจเสี่ยงดวงเป็นครั้งสุดท้าย เขาหลอมรวม “พลังแห่งวิญญาณ” เข้ากับร่างกายของเขา การควบคุมร่างกายและพลังปราณของเขาสมบูรณ์แบบ ทำให้เมิ่งชวนรู้สึกมีอำนาจ เขาปลดปล่อยพลังของเขาและไล่ตามมู่หรงหยู ในจังหวะนั้นเอง เขาก็ตวัดกระบี่ของเขา
ขณะที่กระบี่ฟาดลงไปนั้น สายฟ้าในร่างของเขาก็ระเบิดออก
กระบวนท่าที่ 17 ของกระบี่ตัดอัสนี การโจมตีครั้งแรกของเบญจโลกาอัสนี!
หากท่าชักกระบี่นั้นมีไว้สำหรับการลอบโจมตี ถ้าเช่นนั้นเบญจโลกาอัสนีนั้นก็เป็นท่าจู่โจมที่รุนแรงที่สุด ที่มีพลังรุนแรงมหาศาล
การโจมตีครั้งนี้รวดเร็วราวกับสายฟ้าและท่วงท่าที่งดงามมาพร้อมกัน
มันเร็วมาก มู่หรงหยูรู้สึกว่าการโจมตีของเมิ่งชวนนั้นเร็วเกินไป การโจมตีนี้เร็วยิ่งกว่าครั้งก่อนๆเสียอีก
‘มันทำอะไรข้าไม่ได้หรอก’ มู่หรงหยูใช้วิชาต้องห้ามทันที ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก และกระบี่คู่ของเขาก็ปิดผนึกพื้นที่ตรงหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเสียงอาวุธที่กระทบกัน มู่หรงหยูก็ปัดป้องการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ตูม!
เมิ่งชวนรุดโจมตีครั้งต่อไป
การโจมตีครั้งที่สองนั้นมีพลังของการโจมตีครั้งแรกติดไปด้วย สายฟ้าในร่างกายของเขาพุ่งสูงขึ้น พลังปราณของเขาก็พุ่งออกมาราวกับคลื่นยักษ์ ท่ากระบี่นี้รุนแรงเสียยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าลำแสงกระบี่จะมีความยาวเพียงสามจ้าง แต่ก็แข็งแกร่งกว่าท่าชักกระบี่อัสนี้ขั้นสูงสุดที่เขาเคยใช้เมื่อก่อนหน้านี้
ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิด ภาพในตาของมู่หรงหยูพร่ามัว ท่ากระบี่มันทำให้เขามองไม่เห็น
ป้าง! มู่หรงหยูเก่งกาจในกระบี่คู่ของเขาอยู่แล้ว เขาสามารถสกัดกั้นการโจมตีได้อย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตามลำแสงนั้นมันส่งแรงกระแทกที่หนักหน่วงไปถึงอวัยวะภายในของเขา ร่างกายของมู่หรงหยูสั่นสะท้าน และโพรงจมูกของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นเลือด
คราวนี้ การโจมตีครั้งที่สาม! เมิ่งชวนเบิกตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารมหาศาล หลังจากที่ใช้ “พลังแห่งวิญญาณ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมิ่งชวนสามารถปลดปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้ายได้เพียงครั้งเดียว มันเป็นฟางเส้นสุดท้าย
เขาใช้กระบวนท่ากระบี่ตัดอัสนีที่17ได้เพียงแค่นิดหน่อย เข้าเข้าใจแค่สองท่า ท่าที่สามเขายังไม่รู้
อย่างไรก็ตาม เขาใช้ความรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวสองครั้งแรกเพื่อบรรลุการโจมตีครั้งที่สามในรูปแบบของตัวเอง สายฟ้าภายในร่างกายของเขาแผลงฤทธิ์ พลังปราณของเขาไหลผ่านเส้นชีพจรของเขาเป็นระลอกคลื่น เขาระงับพลังงานนี้ไว้ไม่อยู่ เขาไม่สามารถเปลี่ยนเส้นทางและส่งพลังงานไปสู่การโจมตีครั้งที่สี่ได้ สิ่งที่เขาทำได้คือปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเขาออกมาโดยไม่คิดอะไรเลย
ขวับ
สายฟ้าและพลังปราณในร่างกายของเขาเข้าสู่กระบี่ในการโจมตีครั้งสุดท้ายของเขา
ขวับ
มันไม่เหมือนกับการโจมตีสองครั้งก่อนหน้านี้ การโจมตีสองครั้งแรกทรงพลังและทรงอำนาจ การโจมตีแต่ละครั้งเร็วและมีรุนแรงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ แต่การโจมตีครั้งที่สามนั้นอ่อนโยน มันคือกระบี่เงาจันทราที่เขาฝึกฝนมาเป็นเวลานาน! เขาเคยวิชานี้เพื่อฆ่าถูชาง อย่างไรก็ตามความเร็วในการฟาดกระบี่เงาจันทรานี้ไวยิ่งกว่าเดิม ท้ายที่สุดแล้ว พลังที่สะสมมาจากสองท่าแรก มันทำให้เขาใช้ท่ากระบี่เงาจันทราที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดออกมาได้
วิชากระบี่นั้นอ่อนโยนและสะพรึง และวิถีของมันก็คาดเดาไม่ได้
นี่เป็นการผสานระหว่างท่าที่เมิ่งชวนคิดขึ้นเอง ด้วยการผสานสองท่าแรกของเบญจโลกาอัสนี และต่อท่าที่สามด้วยกระบี่เงาจันทรา!
เป็นการผสมผสานกันระหว่างความรุนแรงและนุ่มนวล
‘แย่แล้ว’ มู่หรงหยูเคยชินกับการสกัดการโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง มันเตรียมพร้อมที่จะป้องกันการโจมตีครั้งที่สาม แต่ใครจะคิดว่าการโจมตีครั้งที่สามจะเปลี่ยนจากรุนแรงกลายเป็นอ่อนโยนในทันใด มู่หรงหยูพยายามจะปัดมันอย่างเอาเป็นเอาตาย
กระบี่ของมู่หรงหยูปะทะเข้ากับลำแสงกระบี่ แต่แสงนั้นเหมือนกับแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา มองเห็นได้ แต่จับต้องไม่ได้
เมื่อกระบี่คู่ของมู่หรงหยูสัมผัสกับลำแสงกระบี่ พลังแปลกๆก็ทะลวงการป้องกันของเขาเข้ามา และลำแสงกระบี่ก็โผล่ออกมาตรงหน้าเขา
‘ไม่ดีแล้ว’ ใจของมู่หรงหยูตกลงไปที่ตาตุ่ม เมื่อเขาปัดป้องการโจมตีไม่ได้ ได้แต่ยกแขนขึ้นมากัน
ฟึบ!
ลำแสงกระบี่อ่อนๆวูบขึ้น
แขนปลิวออกไป และรอยเลือดก็ปรากฏขึ้นมาบนอกของมู่หรงหยู
‘ข้าจะตายด้วยน้ำมือของเมิ่งชวนอย่างนั้นรึ?’ ใจของมู่หรงหยูเย็นวาบ แม้เขาจะรอดจากการโจมตี แต่เขาก็สูญเสียแขนไป และแผลเหวอะตรงหน้าอกของเขามันก็ทำให้แรงของเขาหายไปอย่างมาก ในตอนนี้เขามีกำลังเหลือเพียงครึ่งเดียว
ขนาดใช้แรงเต็มที่เขายังพ่ายแพ้
ด้วยพละกำลังที่มีเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว มู่หรงหยูจึงรู้สึกหมดกำลังใจ
‘ข้ายังฆ่ามันไม่ได้อย่างนั้นรึ?’ เมิ่งชวนขนลุกซู่ การใช้พลังวิญญาณมันทำให้เขาอ่อนแรง เขาใช้พลังเต็มที่ไม่ได้อีกแล้ว เมื่อไม่มีพลังวิญญาณ อย่างมากเขาก็แข็งแกร่งได้เท่ากับรองหัวหน้าสาขาทั้งสอง แม้มู่หรงหยูจะบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะฆ่ามันได้