ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 47
ตอนที่ 47 ชะตาของมู่หรงหยู
‘จะรอดหรือไม่ก็ตอนนี้แหละ’ แม้ว่ามู่หรงหยูจะท้อแท้ แต่ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งมากขึ้น
เขาใช้คาถาต้องห้ามและพุ่งไปที่แม่น้ำที่ไหลเชี่ยว แม้ว่าการเสียแขนจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง แต่คาถาต้องห้ามก็ทำให้เขาเร็วกว่าปกติมาก
เร็วเข้าๆๆ! มู่หรงหยูวิ่งหนีสุดชีวิต ในขณะที่ระวังเมิ่งชวนที่อยู่ด้านหลังไปด้วย
เมิ่งชวนตามเขาไปเรื่อยๆ
‘มันไม่ได้จะฆ่าข้าอย่างนั้นรึ? เหมือนว่าการปลดปล่อยพลังที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ก็เป็นวิชาต้องห้ามประเภทหนึ่งเช่นกัน มันมีพรสวรรค์และความสามารถ มันคงไม่กล้าใช้วิชาต้องห้ามบ่อยเกินไป’ มู่หรงหยูรู้สึกโชคดีขึ้นมาบ้าง เพื่อชีวิตของเขาแล้ว เขาใช้คาถาต้องห้ามได้โดยไม่ลังเล แต่สำหรับอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบอย่างเมิ่งชวน พวกมันจะทะนุถนอมร่างกายและจัดสรรการใช้วิชาต้องห้ามอย่างระมัดระวังเนื่องจากกลัวรากฐานจะเสียหาย
แม่น้ำเชา มู่หรงหยูมองไปที่แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ มันดำดิ่งลงไปทันที เปลี่ยนเป็นภาพติดตาขณะที่กระโดดลงไปดังตูม
การไล่ตามครั้งนี้กินเวลาไปไม่กี่ชั่วอึดใจ
อันที่จริงแล้วพวกเขาข้ามแม่น้ำมาพอสมควรแล้ว เช่นถนนที่รองหัวหน้าถูและเกาตายนั้นก็มีแม่น้ำกว้างประมาณ2จั้งอยู่
อย่างไรก็ตามลำธารนั้นแคบเกินไป แม้ว่ามันจะลงไปในลำสายน้ำนั้น แต่ศัตรูที่อยู่บนฝั่งก็สามารถตามเลียบขอบถนนไปได้อยู่ดี หากยังตามติดต่อไปเช่นนั้นล่ะก็ เมื่อเมิ่งเซียนกูมาถึง ยังไงมันก็ตายอยู่ดี
มีเพียงแม่น้ำที่กว้างและลึกเท่านั้นที่ทำให้มันรอดพ้นจากการไล่ตาม
นี่คือแม่น้ำเชา มันกว้างเกือบ80จั้ง มันตามข้าไปไม่ได้ มู่หรงหยูถลำลงไปในแม่น้ำลึกกว่าเดิม ยิ่งลึกเท่าไหร่ ยิ่งหาได้ยากขึ้นเมื่ออยู่บนฝั่ง
หลังจากดำน้ำลงไป มันก็รีบว่ายไปตรงกลางแม่น้ำเชาในทันที ที่ซึ่งเป็นจุดที่ลึกที่สุด
โอ้?
เมิ่งชวนที่ยืนอยู่ริมฝั่ง สามารถสัมผัสมู่หรงหยูได้ ในตอนแรกเขาสามารถสัมผัสมู่หรงหยูได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อมู่หรงหยูดำลงไปเกือบ6จั้ง เขาก็ “มอง” ได้ไม่ค่อยชัดแล้ว รู้สึกแค่เพียงพลังที่มุ่งลึกลงไป และยิ่งลึกลงไปก็ยิ่งอ่อนลงเท่านั้น
มู่หรงหยูดำนลงไปลึกขึ้นและว่ายไกลออกไป
เมิ่งชวนไม่กล้าที่จะวิ่งตามไปบนผิวน้ำแม้แต่น้อย ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาเขาสามารถเดินบนน้ำได้ แต่หากมู่หรงหยูโจมตีเขาเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย หากถูกลากลงน้ำอาจจะถึงตาย
‘ดินและหินเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับขอบเขตการรับรู้ของข้า ส่วนน้ำคืออันดับสอง พอมันดำลงไปได้เพียงหนึ่งจั้ง ข้าก็รู้สึกไม่ได้แล้ว’ เมิ่งชวนหน้าซีด
มู่หรงหยูได้หายไปจากการรับรู้ของเขาแล้ว
ตรงกลางของแม่น้ำเชานั้นลึกเกือบ6จั้ง ส่วนอื่นๆของแม่น้ำนั้นลึกประมาณ2จั้ง แม้จะเป็นตรงชายฝั่งก็ตามที เพราะไม่ว่าอย่างไรเรือก็สามารถผ่านแม่น้ำสายนี้ได้
มันหนีออกไปจากการรับรู้ข้าไปแล้ว เมิ่งชวนยืนอยู่ริมชายฝั่งและมองไปที่แม่น้ำเชาที่เป็นประกายระยิบระยับ เขาครุ่นคิดอะไรหลายๆอย่าง
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
…
ในขณะเดียวกัน…
เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายออกจากเมืองตงหนิงอีกครั้ง พวกเขาเดินทางออกนอกเมืองเป็นระยะๆทุกปี
อย่างไรก็ตาม เมิ่งเซียนกูยังอยู่ที่คฤหาสน์บรรพบุรุษเมื่อไม่นานมานี้เพราะเป็นช่วงตรุษจีน เมื่อเมิ่งชวนยิงพลุขอความช่วยเหลือที่เมิ่งเซียนกูเป็นคนให้ จึงทำให้เมิ่งเซียนกูที่ใส่พลังปราณลงไปในนั้น รู้สึกได้ในทันที
“ฮืม?” เมิ่งเซียนกูถือไม้เท้าของเธอและเดินออกมาจากที่พัก และเมื่อเดินออกไปก็พบกับพลุที่อยู่บนฟ้า
“เมิ่งชวนขอความช่วยเหลืออย่างนั้นรึ?”
เมิ่งเซียนกูรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา เธอกระแทกไม้เท้าลงพื้นเบาๆ คลื่นที่มองไม่เห็นก็กระจายออกไปในทันที มันรวดเร็วมาก ในชั่วพริบตา คลื่นได้กระจายออกไปเกือบสิบลี้ทุกทิศทางรวมทั้งบริเวณที่มีการจุดพลุด้วย
เธอรู้สึกได้ว่าเมิ่งชวนกำลังหลบหนีในขณะที่ชายคิ้วขาวมู่หรงหยู รองหัวหน้าสาขาถูร่างราวกับหมีและรองหัวหน้าสาขาเกาหลังค่อมก็ล้อมเขาไว้ได้
‘มู่หรงหยูอย่างนั้นรึ? หัวหน้านิกายอสูรฟ้าสาขาตงหนิงและรองหัวหน้าสาขาทั้งหมดอยู่ที่นี่ แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดในทั้งสามก็ตระหนักรู้ถึง”พลัง”และสามารถปลดปล่อยกลิ่นอายอสูรได้ ส่วนมู่หรงหยูก็เรียกได้ว่าเกือบเป็นอมตะในขอบเขตเทพมารของมัน’ เมิ่งเซียนกูขมวดคิ้ว ‘เมิ่งชวนกำลังตกอยู่ในอันตราย!’
ร่างของเธอหายไปในทันที และรีบรุดไปให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
เธอไม่มีเวลาตรวจสอบอะไรอีก ตรวจสอบรังแต่จะทำให้เสียเวลา เธอต้องไปให้เร็วที่สุด! ในอดีตเธอเคยเข้าร่วมกองกำลังกับเทพอสูรคนอื่นๆที่ด่านอันไห่ ที่เธอต้องทำคือการการลาดตระเวนรอบๆ ควบคุมเขตแดนและทิ้งหน้าที่ต่อสู้ให้สหายของเธอ
วูบ
ไม่กี่ชั่วอึดใจ เมิ่งเซียนกูก็มาถึงบริเวณที่เธอเห็นเมิ่งชวนกำลังหลบหนี
เพียงแวบเดียวเธอก็เห็นร่างของรองหัวหน้าเกาแยกออกเป็นสองส่วน เห็นได้ชัดว่ากระบี่ได้ผ่าร่างของมันเป็นสองส่วน
‘หรือจะมีจอมยุทธคนอื่นมาช่วยเมิ่งชวนกัน?’ เมิ่งเซียนกูงุนงงในขณะที่กระแทกไม้เท้าของเธอลงพื้น ก่อให้เกิดคลื่นที่มองไม่เห็นอีกครั้ง
เธอพบศพที่ใหญ่ราวกับหมีอยู่ในพื้นที่อยู่อาศัยไม่ไกลจากนั้นในทันที มันคือร่างของรองหัวหน้าสาขาถูที่โดนบาดแผลลึกที่คอ
คลื่นที่มองไม่เห็นกระจายออกไปอีกสิบลี้
เธอพบมู่หรงหยูกำลังถูกเมิ่งชวนไล่ตามในทันที เห็นได้ชัดว่ามู่หรงหยูกำลังหลบหนีเมิ่งชวนที่ไล่ตามฆ่าเขา
‘เมิ่งชวนกำลังไล่ตามมู่หรงหยูอย่างนั้นรึ?’ เมิ่งเซียนกูงุนงง
เมื่อเธอพบร่างของรองหัวหน้าสาขาทั้งสอง เธอคิดว่ามีจอมยุทธมาช่วยเมิ่งชวนไว้ แต่ตอนนี้มันเป็นไปได้มากที่เมิ่งชวนจะฆ่าพวกมัน นอกจากนี้เขายังกำลังไล่ตามมู่หรงหยูที่เป็นอมตะอยู่ภายใต้ขอบเขตเทพอสูรด้วย
แม้ว่าจะประหลาดใจ แต่เมิ่งเซียนกูก็ยังรีบวิ่งไป
ทุกก้าวพุ่งไปไกลเป็นสิบจ้าง และทุกครั้งที่เท้าแตะพื้น คลื่นที่มองไม่เห็นก็กระจายออกไป
ในทุกย่างก้าว เธอตรวจสอบสถานการณ์ และมันส่งผลต่อความเร็วของเธอ อย่างไรก็ตามเมิ่งเซียนกูไม่กังวลอีกต่อไป ในขณะที่เธออยู่ใกล้มาก เธอก็มั่นใจว่ามู่หรงหยูหลบหนีไปไม่ได้เป็นแน่
‘เมิ่งชวนลงมือแล้วรึ?’ เมิ่งเซียนกูสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อพวกเขาเข้าใกล้แม่น้ำเชา ความเร็วของเมิ่งชวนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่เฉือนมู่หรงหยู การโจมตีนั้นทำให้เธอต้องประหลาดใจ วิชากระบี่ที่รวดเร็วราวกับสายฟ้าและรุนแรงน่าสะพรึง มู่หรงหยูพยายามปิดกั้นด้วยวิชาต้องห้าม และในการลงกระบี่ครั้งที่สาม มันกลับนุ่มนวลและอ่อนโยน ทำให้มู่หรงหยูบาดเจ็บอย่างหนักจนขั้นแขนขาด
‘เมิ่งชวนหลานข้าแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?’
เมิ่งชวนมักจะประลองกับพ่อของเขาและเมิ่งเซียนกู
แต่ว่าการประลองเหล่านั้นเพียงเพื่อขัดเกลาความสามารถของเขา ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหลอมรวมพลังวิญญาณ!
…
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน มู่หรงหยูกระโดดลงไปในแม่น้ำ และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
เมิ่งชวนที่ยืนอยู่ริมฝั่งก็ขมวดคิ้วและอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ‘ถ้าปล่อยให้มันหนีไป มู่หรงหยูจะต้องรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ให้พวกอสูรทราบอย่างแน่นอน และมันจะต้องส่งลูกน้องมาสังหารข้าเป็นแน่’
เขารู้ตัวดี ถึงจะไม่ใช้”พลังแห่งวิญญาณ”เขาก็เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ ยิ่งใช้พลังวิญญาณได้ มันก็ทำให้เขาเป็นหนึ่งในอัจฉริยะของโลกนี้เลยทีเดียว แค่เรื่องที่เขาสามารถไล่ตามมู่หรงหยู ที่ควบแน่นแก่นอสูรได้แล้ว มันทำให้เหล่าอสูรต้องให้ความสำคัญกับนายน้อยจากเมืองตงหนิงคนนี้เป็นแน่
โอ๊ะ? เขาสัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันทรงพลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว มันเร็วยิ่งกว่าตอนที่เขาใช้พลังแห่งวิญญาณเสียอีก
ในไม่ช้า ร่างที่เป็นดังเงาก็มาถึงแม่น้ำเชา นั่นคือหญิงชราที่ถือไม้เท้า
ท่านย่าทวด ตาของเขาเป็นประกาย
เมิ่งเซียนกูยืนอยู่บนผิวน้ำในขณะที่ไม้เท้าของเธอแตะผิวน้ำอย่างนุ่มนวล แม่น้ำทั้งสายเริ่มสั่นสะเทือนและระลอกคลื่นก็กระจายออกไปทุกทิศทาง
ลึกลงไปในแม่น้ำ ที่ด้านล่างของแม่น้ำ มู่หรงหยูซึ่งกำลังหลบหนีด้วยความเร็วสูงก็รู้สึกว่ามีด้ายมาพันรอบตัวมันอย่างรวดเร็ว มันหน้าถอดสีและดิ้นรนสุดกำลัง อย่างไรก็ตาม ด้ายนี้มันเหนียวมากจนดิ้นไม่หลุด
เทพอสูร ใบหน้าของมู่หรงหยูเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ความสิ้นหวังที่เกิดจากความไร้กำลังเมื่อได้พบกับเทพอสูร
พลังอสูรของมันถูกปิดผนึกเมื่อด้ายเข้าสู่ร่างกายของมัน จากนั้นเส้นด้ายก็เริ่มดึงมู่หรงหยูขึ้นมาจากแม่น้ำและส่งให้มันลอยขึ้นไป
มันถูกโยนออกมาจากน้ำ
มู่หรงหยูเห็นหญิงชราถือไม้เท้าอยู่บนผิวน้ำ
เมิ่งเซียนกู มู่หรงหยูรู้สึกสิ้นหวัง สุดท้ายแล้วเธอก็ตามทัน
มู่หรงหยู เมิ่งชวนผ่อนคลายทันทีเมื่อเห็นมู่หลงหยูถูกลากขึ้นจากแม่น้ำ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าข่าวเขาจะหลุดไปอีกแล้ว มู่หรงหยูใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจในการว่ายน้ำไปเกือบ50จั้ง ความเร็วของมันเทียบได้กับจอมยุทธระดับไร้ตำหนิบนบกเลยทีเดียว ปลายังไม่เร็วเท่ามันเลยด้วยซ้ำ
เมิ่งเซียนกูถือไม้เท้าของเธอแล้วเดินไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ และลากมู่หรงหยูตามมาเหมือนกับเกี๊ยว
“ท่านย่าทวด” เมิ่งชวนโค้งคำนับด้วยท่าทางนอบน้อม
1 จั้งประมาณ 3.3 เมตร
2 ลี้ประมาณ 1 กิโลเมตร