ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 49
ตอนที่ 49 สิบแปดปี
หนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ที่นิกายอสูรฟ้าสาขาตงหนิงถูกทำลาย
ที่สนามฝึกในจิงหูเมิ่ง
เหยียนจินที่สวมชุดขาวถือกระบี่ไว้ในมือแต่ละข้าง รอบข้างเต็มไปด้วยบรรยากาศเยือกเย็น ทำให้พื้นที่รอบข้างดูพร่ามัว เขาจ้องมาทางเมิ่งชวนอย่างไม่วางตา
ตอนนี้เหยียนจินที่อายุสิบแปดปีก็เข้าถึงระดับไร้ตำหนิไปแล้วเช่นกัน! เขาได้ท้าทายกลุ่มจอมยุทธที่เชี่ยวชาญในการใช้”พลัง”ในเมืองตงหนิง อันที่จริงแล้วเขาได้ท้าทายจอมยุทธระดับไร้ตำหนิสามคนในเมืองตงหนิง หยุนฟู่เฉิง จางหยงและไป๋ซู่วาน แถมยังเอาชนะพวกมันได้ทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ!
ในแง่ของวิชากระบี่เพียงอย่างเดียว เขาเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองตงหนิงไปแล้ว นอกจากนี้เขายังมีรากฐานของเทพอสูรที่ทรงพลังอีกทั้ฃความแข็งแกร่งและความเร็วของเขาก็เหนือกว่าจอมยุทธไร้ตำหนิทั่วไป ดังนั้นมันจึงทำให้เขาสามารถเอาชนะทั้งสามคนยั้ยได้
อย่างไรก็ตามมีคนหนึ่งที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้ และนั่นคือเมิ่งชวน!
“เหยียนจิน นี่จะเป็นท่าครั้งสุดท้ายในการประลองกันวันนี้” เมิ่งชวนในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินกรมท่าถือกระบี่ไว้ในมือข้างหนึ่งขณะยืนอยู่ไกลๆ และโจมตีทันทีที่พูดจบ
วูบบบ!
เมิ่งชวนค่อยๆหายไปและโดนกระแสพลังที่เยือกเย็นเข้าใส่ แม้ว่ากระแสพลังเยือกแข็งจะส่งผลต่อความเร็วและการมองเห็นของเขา แต่สายฟ้าในร่างกายของเขาก็จุดประกายและขับเคลื่อนเขาไปด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ เขายังคงแข็งแกร่งกว่าเหยียนจินในทุกๆด้าน แม้ว่าจะโดนผลลบก็ตาม
ซุบ! ลำแสงกระบี่วาบขึ้น ไม่มีเสียงลมใดๆตอนที่เขาฟันลงมา ด้วยวิชากระบี่ของเขาในตอนนี้ แม้แต่อากาศก็ไม่ใช้อุปสรรคอีกต่อไป
เหยียนจินพยายามจะป้องกันอย่างเต็มที่ด้วยกระบี่ทั้งสอง
ภายในพริบตาก็มีเมิ่งชวนโผล่ออกมาเป็นแปดคน และแต่ละคนก็ฟาดฟันกระบี่ที่แตกต่างกันออกไป พวกมันทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนวิชากระบี่คู่ของเหยียนจิน เมิ่งชวนไม่แยกร่างแต่อย่างใด ร่างแยกเหล่านั้นเป็นผลมาจากเคลื่อนไหวของเขา ลำแสงแปดกระบี่เหล่านี้พุ่งเข้าหาเหยียนจินทีละคน
เหยียนจินสามารถสัมผัสการฟันแปดครั้งของเมิ่งชวนได้อย่างชัดเจนจากขอบเขตเยือกแข็ง กระบี่ของเขาปัดการโจมตีออกไปเรื่อยๆ แต่ว่าราวกับการโจมตีของเมิ่งชวนนั้นกำลังฉีกการป้องกันของเพื่อทำให้เกิดช่องว่าง อย่างไรก็ตามเหยียนจินใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อสกัดกั้นการโจมตีทั้งแปดครั้งทำให้การโจมตีของเมิ่งชวนล้มเหลว
ซุบ
ในชั่วพริบตาเดียว เมิ่งชวนถอยก็ห่างออกไปหลายสิบก้าว ความเร็วนั้นมันทำให้เปลือกตาของเหยียนจินถึงกับกระตุก
‘เป็นความเร็วที่น่ากลัวซะจริง ว่ากันว่าการฝึกฝนร่างเทพอัสนีจะได้ความเร็ว แต่ความเร็วของเมิ่งชวนนั้นเรียกได้ว่าเป็นของอัจฉริยะของแท้เลย!’
“เหยียนจิน วิชากระบี่เต่าของเจ้านี่ทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆเสียจริงนะ แม้แต่วิชากระบี่ของข้าก็ไม่สามารถทำลายมันลงได้” เมิ่งชวนหัวเราะ “ช่างมันเถอะ ไม่จำเป็นต้องดวลต่อไปแล้ว”
“ขอขอบคุณ” เหยียนจินชักกระบี่กลับและมองไปที่เมิ่งชวน ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังช่วยข้าฝึกฝนวิชากระบี่ของข้า”
“ฮ่าฮ่า ข้าก็กำลังฝึกวิชากระบี่ของข้าด้วยเช่นกัน” เมิ่งชวนเดินไปที่โต๊ะใกล้ๆและดื่มชาที่เขารินเอง
หลิวชีเยว่ ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะหินและกำลังอ่านหนังสืออยู่ ก็โตเป็นสาวแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอเตี้ยกว่าเมิ่งชวนเกือบครึ่งหัว นั่นเพราะเขาเองก็อายุ 18 แล้วเช่นกัน จึงทำให้เขาสูงกว่าเมื่อก่อนมาก
“เหยียนจิน วิชาการเคลื่อนไหวและวิชากระบี่ของอาชวนนั้นรวดเร็ว เขาสามารถโจมตีหรือถอยได้ตามที่ใจ ไม่มีทางที่เจ้าจะทำอะไรเขาได้หรอก ยอมแพ้ซะเถอะ” หลิวชีเยว่กล่าวพร้อมกับทำหน้ามุ่ย
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
“ข้ารู้ แต่ตราบใดที่วิชากระบี่ของข้าสามารถรั้งเขาไว้ได้ มันก็มีโอกาสที่จะเอาชนะเขาได้” เหยียนจินกล่าวอย่างจริงจัง
“ชีเยว่ วิชากระบี่น้ำแข็งหยินหยางของเหยียนจินอันตรายมาก ข้าไม่กล้าสู้ตรงๆด้วยซ้ำ” เมิ่งชวนกล่าว
รากฐานเทพอสูรของเขาแข็งแกร่งมาก และรากฐานเทพอสูรของเหยียนจินก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเช่นกัน
ตามบัญญัติการฝึกวิชาทั้งเก้าที่เขารวบรวมมา เขาฝึกอย่างสุดขั้วและเร่งความเร็วให้ถึงขีดจำกัด แต่สำหรับเหยียนจินนั้น เขามุ่งเน้นไปที่การใช้วิชากระบี่คู่ และเชี่ยวชาญในการสู้ตรงๆมากกว่า
เขาแค่ไปได้ไกลกว่าเพียงแค่ก้าวเดียว
เขาเข้าใจ”พลังกระบี่”เร็วกว่าเหยียนจินครึ่งปี และสิ่งนี้ทำให้เขาได้เปรียบในการประลอง แต่เขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้
แต่ถ้าใช้ “พลังวิญญาณ” ผลมันก็จะต่างออกไป แต่ว่าเขาต้องเก็บมันไว้เป็นความลับ และจะไม่ใช้มันเว้นแต่จะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายเท่านั้น ในการประลองนั้น เขาจะใช้แค่”พลังแห่งวิญญาณ”เมื่อประลองกับย่าทวดของเขาเท่านั้น
“เมิ่งชวน ปีนี้เจ้าจะไปที่เขาหยวนชูใช่ไหม?” เหยียนจินถาม
“แน่นอน” เมิ่งชวนพยักหน้า
เหยียนจินพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าว “เราจะได้ประลองกันอีกครั้งในเดือนนี้” เมื่อพูดเช่นนั้นแล้วเขาก็หันหลังและเดินจากไป
“หมอนี่หยิ่งซะจริง ไม่รู้จักมารยาทเลย มาที่บ้านของเราอยู่บ่อยๆแท้ๆ แต่ก็ไม่เคยนำของขวัญมาให้เลย คำพูดก็เย็นชา จะว่าไป อาชวน เจ้าเคยช่วยชีวิตหมอนี่ไว้ด้วยซ้ำ” หลิวชีเยว่บ่นหลังจากเหยียนจินจากไป
“ด้วยอารมณ์แบบเขานั้น แค่นี้ก็สุภาพกับเรามากแล้ว มิฉะนั้นเขาคงจะไม่แม้แต่จะพูดกับเจ้าหรอก นอกจากนี้ เหตุผลที่ข้าประลองกับเขานั่นก็เพราะวิชากระบี่ของเขาจะสามารถช่วยขัดเกลาวิชากระบี่ของข้าได้ด้วยเช่นกัน”
หากตอนนี้เขาได้พบกับมู่หรงหยูอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้”พลังแห่งวิญญาณ” แต่เขาก็คงสามารถบดขยี้และฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม เมิ่งชวนก็ไม่คิดเรื่องนั้นแม้แต่นิดเดียว
หลังจากอ่านข่าวกรองจากนิกายอสูรฟ้าสาขาตงหนิงแล้ว เขาก็พบว่าสถานการณ์ระหว่างมนุษย์และอสูรรุนแรงแค่ไหน เขาจำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น ในยุคนี้ หากไม่ใช้”พลังแห่งวิญญาณ”เขาก็จะไม่ได้ติดยี่สิบอันดับของอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหมดในโลกด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่นย่าทวดของเขาได้กล่าวถึงลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่ ผู้ซึ่งตระหนักรู้ถึง”พลัง”ตั้งแต่อายุสิบสามและกลายเป็นเทพอสูรตอนอายุสิบห้า มีอีกหลายคนที่โดดเด่นกว่าเขามาก แน่นอนว่าอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้เข้าสู่เขาหยวนชูแล้ว
“อะไรนะ? อสูรบุกแดนมนุษย์ถึง129ครั้งเมื่อสองปีที่ผ่านมารึ?” หลิวชีเยว่มองไปที่หนังสือและอุทาน “อาชวน หนังสือในห้องหนังสือของเจ้ามันเป็นเรื่องจริงจริงหรือ?”
เมิ่งชวนเหลือบมองไปที่เธอ มันเป็นหนึ่งในหนังสือมากมายที่ย่าทวดให้มา
“ใช่แล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า “เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการทำสงครามกับอสูร! อสูรมีพลังมากกว่า แต่สุดท้ายแล้วนี่คือโลกมนุษย์ พวกอสูรนั้นอาศัยอยู่ในภพอสูร พวกมันจะต้องมีทางผ่านมายังโลกนี้ และมนุษย์ได้สร้างเมืองขนาดใหญ่ที่ทางผ่านเข้าโลกเพื่อเป็นประตูที่มันคงและแน่นหนา โดยที่มีเทพอสูรที่ทรงพลังคอยคุ้มกันเอาไว้”
“ที่อสูรบุกโจมตีถึง 129 ครั้ง เมื่อสองปีก่อน ก็เนื่องจากทางผ่านเข้าโลกที่ปรากฏขึ้นเองตามธรรมชาติ สิ่งนี้ทำให้อสูรสามารถบุกเข้ามาได้ สำหรับทางผ่านเข้าโลกนั้น… ส่วนใหญ่มันไม่เสถียร บางอันอยู่ได้ครึ่งวัน ในขณะที่บางอันอยู่ได้เกือบสองสัปดาห์ แต่สุดท้ายแล้วพวกมันก็จะหายไป อันที่คงอยู่ตลอดนั้นมีไม่มาก”
“อย่างเช่นด่านฉินหยางของเมืองตงหนิงของเรา ก็เป็นทางผ่านโลกถาวรเพียงแห่งเดียวในช่วง 800 ปีที่ผ่านมา”
หลิวชีเยว่ปิดหนังสือ ข้อมูลในหนังสือทำให้เธอหวั่นไหว
“มีคนตายมากมาย ทุกการรุกรานมีแต่คนตาย” เสียงของหลิวชีเยว่ดูอ่อนแรง
“ตอนหกขวบข้าเคยเห็นมันด้วยตาตัวเอง” เมิ่งชวนพูดอย่างใจเย็น “ครั้งนั้น เมืองแต่ละเมืองต่างล่มสลายต่อๆกัน คนหลายแสนคนถูกสังหาร โชคดีที่ในที่สุดเทพอสูรก็มาถึง มิฉะนั้นข้าคงจะต้องตายในการรุกรานของอสูรนั้นเป็นแน่”
เหตุผลที่ทุกเมืองมีวังหยกสุริยันนั้นก็เพื่อปกป้องเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่น ในสถานการณ์ที่เลวร้ายพวกเขาสามารถระดมเทพอสูรที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อเสริมกำลังการป้องกันของเมืองได้
“โอ้ใช่ อาชวน เจ้าจะเข้าร่วมการประชุมล่าอสูรของวังหยกสุริยันหรือไม่?” หลิวชีเยว่ถาม “ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน”
“ข้าสัญญากับเจ้าสำนักแล้วว่าข้าจะไปเมื่อถึงเวลา” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเองก็เข้าถึงวิชาลับแล้ว บางทีเจ้าอาจจะเป็นพลเกาฑัณท์เพียงคนเดียวในสำนักเต๋าก็เป็นได้ที่เข้าถึงมัน”
หลิวชีเยว่เงยหน้าขึ้น “แน่นอน แต่เมื่อเทียบกับอาชวนกับเหยียนจินแล้ว ข้ายังห่างไกลมาก”
เมิ่งชวนยิ้ม
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่กี่วันก็จะครบสามเดือนแล้วตั้งแต่ที่เขาเข้าถึงระดับไร้ตำหนิ พลังปราณของเขาเกือบจะสมบูรณ์แล้ว และตอนนี้สามารถที่จะลองควบแน่นแก่นเทพอสูรได้
‘ข้าจะทำสำเร็จในการลองครั้งแรกหรือเปล่านะ’
ในเมืองตงหนิงนี้ มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการควบแน่นแก่นเทพอสูร โดยที่มีระดับต่ำกว่าเทพอสูร