ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 67
ด้วยการสั่งการของเจ้าวังหยกสุริยัน เหล่าทหารและจอมยุทธกดดันเหล่าอสูรให้หนีกลับไป
“แม้ว่าการสังหารอสูรจะสำคัญ แต่เอาตัวให้รอดนั้นสำคัญกว่า” จอมยุทธที่เป็นผู้นำตะโกน “เราต้องกดดันให้อสูรออกไปจากเมืองตงหนิงให้ไวที่สุด ใช้เกาฑัณฑ์หรือหอกสั้นจะดีที่สุด เข้าประชิดตัวให้น้อยเอาเท่าที่จำเป็น”
และเพราะคำสั่งที่ถ่ายทอดออกไปนั้น จึงทำให้เหล่าทหารและจอมยุทธแห่งเมืองตงหนิงสามารถขับไล่เหล่าอสูรออกไปได้อย่างไม่ยากเย็น อสูรที่หนีช้าก็จะถูกล้อมและสังหารทิ้ง นี่จึงทำให้พวกมันต่างหลบหนีอย่างสุดใจ
“หนีเร็ว!”
“เทพอสูรมันอยู่ที่นี่ แล้วราชาอสูรของเราอยู่ที่ไหนกัน?”
“ราชาอสูรต้องพ่ายแพ้แล้วเป็นแน่ มิฉะนั้นพวกเราคงไม่ต้องถอยหรอก” ขวัญกำลังใจของอสูรลดลงจนสิ้นขณะที่พวกมันหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย
เจ้าวังหยกสุริยันจู่โจมใส่เป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่จะมุ่งเป้าไปที่อสูรที่แข็งแกร่ง
‘มีอสูรธรรมดามากเกินไป ถ้าเราไม่ต้อนมันให้จนมุม พวกมันก็จะกระจัดกระจายและสร้างความวุ่นวายไปทั่ว อาจจะทำให้เกิดปัญหาที่ใหญ่กว่านี้ได้ พวกแม่ทัพอสูรไม่ต้องคิดที่จะหนีไปได้หรอก พวกผู้นำอสูรข้าก็จะสังหารมันถ้าเป็นไปได้’ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าวังหยกสุริยันเจอแม่ทัพอสูร เขาจะรีบรุดเข้าไปทันที ตราบใดที่เขาอยู่ในระยะร้อยจั้งจากศัตรู เขาสามารถสังหารมันด้วยเส้นใยบางเฉียบได้อย่างง่ายดาย
“ท่านแม่ทัพตายแล้ว”
“ผู้นำก็ตายแล้วเหมือนกัน” อสูรที่เหลือหนีไปด้วยความตื่นตระหนก
…
ฝ่ายหนึ่งต้องหนีอย่างเอาเป็นเอาตายในขณะที่เหล่าเทพอสูรต้อนมันจนมุม และเพียงครึ่งชั่วยาม อสูรทุกตัวก็หนีกลับไปยังแดนอสูรจนหมด
“การบุกรุกจบลงแล้ว” เมิ่งชวนเดินเข้าเมืองไปบนถนนพร้อมกับเมิ่งต้าเจียง พ่อของเขา
พื้นที่แถบที่อยู่ใกล้กับประตูผ่านโลกนั้นเละมากที่สุด มีคนตายมากมาย ที่อื่นนั้นยังดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด คนที่ระดับต่ำกว่าชำระแก่นแท้ไปหลบอยู่ใต้ดินทัน เพราะว่าการบุกรุกนี้ไม่นาน จึงทำให้พวกอสูรไม่มีเวลาพอที่จะบุกเข้าไปในอุโมงค์ ส่วนคนที่ออกมาป้องกันนั้นอยู่ระดับชำระแก่นแท้หรือสูงกว่า รวมๆแล้วมีกว่าพันคน
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
มีคนตายจากการต่อสู้ประมาณ 1,000 คน และคนตายในแถบประตูผ่านโลกนั้นมีกว่า 10,000 คน มันเป็นพื้นที่ที่น่าเศร้าที่สุด
นอกจากนี้หลายๆที่ในเมืองยังถูกทำลายจากการต่อสู้กันระหว่างอสูรและมนุษย์ บ้านเรือนพังทลาย ร้านอาหารถูกถล่ม ถนนพังเละเทะ ร่องรอยของการต่อสู้มีอยู่ทั่ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ร้านของพวกเราพังแล้ว” เด็กน้อยมองไปบนนถนนที่เละเทะและร้องไห้
“ไม่เป็นไรหรอกลูก” หญิงสาวกอดลูกของเธอและมองไปยังสามีที่โชกไปด้วยเลือด เธอยิ้มและพูดว่า “แค่พวกเรายังมีชีวิตอยู่และได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ มันก็ไม่เป็นไรแล้ว”
เด็กน้อยยังคงสับสน
ชายคนนั้นกอดภรรยาและลูกของเขาเบาๆก่อนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แค่มีชีวิตรอดอยู่ก็ดีแล้วล่ะ” เมื่อชั่วยามก่อน เขาได้สังหารอสูรไปสามตนพร้อมกับสหายของเขา เขารอดชีวิตมาได้โดยไม่ได้สูญเสียแขนขาหรืออะไร มันทำให้เขารู้สึกโชคดีมาก
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เมืองตงหนิงรอดจากหายนะนี้ได้ คราวนี้เมืองก็จะสงบไปอีกสิบยี่สิบปี ฮ่าฮ่าฮ่า…” ชายชราพันผ้าพันแผลที่ปกคลุมไปด้วยเลือดถือเหล้าและหัวเราะ ระหว่างนั้นเขาก็เฝ้ามองดูผู้คนที่เริ่มปรากฏขึ้นมาบนท้องถนน คนธรรมดาอ่อนแอที่หลบอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน ตอนนี้ก็กลับออกมาหมดแล้ว สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับเมืองตงหนิง
“ลุงจาง ท่านคือฮีโร่!” ชายคนหนึ่งตะโกนขณะมองไปยังชายแก่
“ลุงจางมานี่เร็ว มาเอาตีนหมูนี่ไปทำน้ำซุปกินเสัยเถอะ” คนขายเนื้อพบว่าร้านของเขาไม่ได้เสียหายอะไร หมูที่เตรียมไว้ตอนเมื่อเช้ายังอยู่ เขาห่อตีนหมูคู่หนึ่งและมอบให้ชายชรา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ทำให้เมิ่งชวนและพ่อของเขารู้สึกดีขึ้นมาก
“เทพอสูรนั้นความสำคัญมาก แต่ทหารมนุษย์ก็สำคัญไม่แพ้กัน” เมิ่งต้าเจียงกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ “เป็นเพราะพวกเขาจึงทำให้เราสามารถสกัดกั้นอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ได้และป้องกันไม่ให้ผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์ถูกสังหาร ไม่ว่าเทพอสูรจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ศัตรูมันมากขนาดไหนกันล่ะ? แต่แน่นอนว่าการต่อสู้ระหว่าเทพอสูรและราชาอสูรนั้นจะตัดสินผลของสงคราม หากเทพอสูรแพ้ ให้ทหารธรรมดาสู้ต่อไปก็ไร้ประโยชน์”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
เพื่อเมืองตงหนิงและเมืองมนุษย์นับไม่ถ้วนแล้ว เขาจะต้องกลายเป็นเทพอสูรให้ได้! หลังจากที่เขาเป็นเทพอสูรแล้วเท่านั้นถึงจะมีพลังพอที่จะปกป้องทุกอย่างได้
…
ณ จวนบรรพบุรุษ
เมิ่งชวนและพ่อของเขามาถึงจวนบรรพบุรุษ
โคมไฟสีขาวถูกติดประดับไว้ที่ทางเข้าจวน เหล่าคนในตระกูลต่างใส่ชุดไว้ทุกข์
“ท่านผู้อาวุโส” และจากนั้นคนในตระกูลก็นำชุดไว้ทุกข์มาให้พวกเขาใส่เช่นกัน
เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงใส่ชุดนั้น
“ไปหาท่านผู้อาวุโสสามกันเถอะ” เมิ่งต้าเจียงกล่าว มีจำนวนมากจากตระกูลเมิ่งเสียชีวิต ผู้อาวุโสสี่คนเสียชีวิต และคนในระดับก่อกำเนิดและชำระแก่นแท้อีกมายมาย
ผู้อาวุโสสามเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ตายไป จึงถูกแล้วที่จะไปเคารพศพเขาเป็นคนแรก
โถงไว้อาลัยถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว
“เจ้ามาแล้ว” ผู้นำตระกูล เมิ่งเหยียนผิง นั่งอยู่ข้างใน เขาดูแก่ลงอย่างมาก “กราบเคารพน้องสามเสียเถอะ”
“ขอรับ”
เมิ่งต้าเจียงกราบก่อนจากนั้นเมิ่งชวนก็ทำตาม
หลังจากกราบเคารพแล้ว เมิ่งชวนก็ยืนขึ้นและมองดูศพของผู้อาวุโสสาม สัปเปร่อได้แต่งหน้าศพไปแล้ว เขานอนอยู่ราวกับกำลังนอนหลับ ใบหน้าของเขาดูสงบมากกว่าปกติ
เมิ่งเหยียนผิงมองไปที่เมิ่งชวนและพูดด้วยเสียงทุ้ม “ที่น้องสามต้องการมากที่สุดตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ คือการที่เจ้าได้เข้าสู่เขาหยวนชูและกลายเป็นเทพอสูร เมิ่งชวน เจ้าอย่าทำให้เขาผิดหวังล่ะ”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า “ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
…
หลังจากเคารพผู้อาวุโสสามอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็ไปยังโถงไว้ทุกข์อื่น
บรรยากาศในจวนเมิ่งนั้นหนักและเศร้าโศก เพราะไม่ว่าอย่างไร คนในตระกูก็ตายไปหลายคน เด็กหลายคนยังงุนงง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่เกิดการรุกรานของอสูรขึ้น แม้ว่าในจวนจะมีคนของตระกูลอาศัยอยู่กว่าสามพันคน แต่มีเกือบสองพันคนที่ยังไปไม่ถึงระดับก่อกำเนิด ก็หลบอยู่ในอุโมงค์ พวกเขาซ่อนอยู่ในอุโมงค์หลายชั่วโมงก่อนจะกลับออกมา โดยไม่ได้พบกับอันตรายใดๆ
พวกเขารู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างมันเป็นเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม มีโถงไว้อาลัยหลายแห่งถูกจัดในจวนบรรพบุรุษ และทั้งตระกูลก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก เหล่าเด็กๆไม่กล้าแม้จะงอแง
“กราบซะนะ” ดวงตาของพ่อแม่ของเด็กๆแดงก่ำ พวกเขาให้ลูกๆก้มกราบทีละคน ทุกๆครอบครัวที่สูญเสียใครไปต่างได้รับการเคารพ เพราะว่าพ่อแม่ของพวกเขารู้ว่าเป็นเพราะคนเหล่านี้ที่ทำให้พวกเขารอดชีวิตมาได้
เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงแวะเข้าไปในบ้านแต่ละหลังก่อนที่จะไปหาย่าทวดในที่สุด
“ท่านย่าทวด” พ่อลูกเดินเข้าไปในลานกว้าง
เมิ่งเซียนกูนั่งอยู่คนเดียวในสวน เธอไม่ชอบให้ใครมาดูแล แค่ก แค่ก ใบหน้าของเมิ่งเซียนกูซีดเซียว กระแสพลังของเธออ่อนลงเล็กน้อย ทำให้เธอคงสภาพเหมือนปกติได้ยาก
“ท่านย่าทวด อาการบาดเจ็บของท่าน…” เมิ่งชวนกล่าวอย่างเป็นห่วง
เมื่อเห็นเมิ่งชวน เมิ่งเซียนกูก็ยิ้ม “อ่า เจ้ามาแล้ว อาการบาดเจ็บของข้ามันเล็กน้อย ข้าอยู่ได้อีกไม่นานอยู่แล้ว ข้ามีความสุขมากที่เจ้าสามารถสู้กับราชาอสูรและป้องกันให้เมืองไม่ล่มสลายได้”
เมิ่งต้าเจียงก็พูดเช่นกัน “ท่านป้า ท่านไม่ต้องกังวลแล้ว พักผ่อนให้สบายเถอะ”
“ใช่ขอรับ พักผ่อนให้สบาย” เมิ่งชวนกล่าวตาม
เมิ่งเซียนกูเป็นเทพอสูรมาเกือบแปดสิบปี เธอเป็นเสาหลักของตระกูลก็ว่าได้ ตระกูลเมิ่งนั้นได้รับการปกป้องจากเธอ เมื่อมีเธออยู่ ตระกูลเมิ่งก็จะรู้สึกปลอดภัย แต่หากเธอไม่อยู่แล้ว มันก็ราวกับว่าตระกูลเมิ่งจะล่มสลาย
“ข้ารู้ตัวข้าดี” เมิ่งเซียนกูพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ตายไวขนาดนั้นหรอก ข้าจะทน…. ไม่ว่ายังไงข้าจะมีชีวิตอยู่จนถึงฤดูหนาวปีนี้ ข้าอยากได้ยินข่าวดีที่เจ้าสามารถเข้าเขาหยวนชูได้สำเร็จก่อนที่ข้าจะได้พักผ่อนอย่างสงบ”
ในตอนนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากนอกสวนหย่อม
ประตูเปิดออก
ผู้นำตระกูล เมิ่งเหยียนผิงพูดจากด้านนอก “พี่สาม มีคนจากวังหยกสุริยันมา เขามาหาเมิ่งชวน”
“มีคนจากวังหยกสุริยันตามหาเมิ่งชวน?” เมิ่งเซียนกูขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ท่านเซียนกู” ชายอีกคนที่ยืนอยู่ด้านนอกพูดขึ้นมาด้วยความเคารพ “ขุนนางเมฆาใต้บอกกับพวกเราว่าเขาอยากจะพบกับนายน้อยเมิ่งขอรับ”
“ขุนนางเมฆาใต้?” เมิ่งเซียนกูตื่นตระหนก
ตำแหน่งของราชาทะเลตงไห่นั้นสูงส่งมาก และรัฐโดยรอบทั้งหมดก็ได้รับผลนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม ขุนนางเมฆาใต้ก็เป็นเทพอสูรที่ทรงพลังมากเช่นกัน เป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรัฐอู่ เขาเป็นคนที่ตอบรับการขอความช่วยเหลือของเมืองตงหนิง
“เมิ่งชวนเจ้ารีบไปเถอะ” เมิ่งเซียนกูพูด “ต้าเจียง เจ้าควรไปกับเขาด้วย”
“ขอรับ” เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงตอบ
สองพ่อลูกรีบเดินตามผู้ส่งสารไปวังหยกสุริยัน