ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 73
ตอนที่ 73 มาถึงแล้ว (บทสุดท้ายของภาค)
หลังจากเขียนคำว่า “แสงแดดยามเช้า” ลงไป เมิ่งชวนก็พิจารณาภาพทั้งสามที่วางอยู่บนโต๊ะ
ตลอดหกเดือนที่ผ่านมานี้เขาใช้เวลาวาดภาพทั้งสามมาโดยตลอด ในตอนที่เขากดพู่กันลงไปนั้น เขารู้สึกได้ถึงความเศร้าโศก โกรธเกรี้ยว และสับสน เพราะสุดท้ายแล้ว มีผู้คนมากมายต้องตายในวันนั้น เขาต้องพบกับความตายมากมาย
แต่หลังจากวาดภาพเสร็จ หัวใจของเขาก็สงบลง อย่างไรก็ตาม ภายในใจที่สงบเยือกเย็นราวกับทะเลนั้น มีความปรารถนาที่จะต่อสู้อย่างไม่สั่นคลอน! มนุษย์นับไม่ถ้วนต่อสู้กับอสูรมาหลายชั่วอายุคน นั่นก็เพื่อความหวัง เพื่อคนที่รักและลูกหลาน พวกเขาทั้งหมดเต็มใจที่จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านั้น มนุษย์เองก็เต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตเช่นเดียวกับเทพอสูร
‘ข้าจะไม่ผลีผลาม ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ให้แข็งแกร่งขึ้น ข้าจะกลายเป็นเทพอสูรที่ทรงพลัง และวันหนึ่ง มนุษย์เราจะปราบอสูรจนหมดสิ้น’
ไม่มีใครที่จะหยุดไม่ให้ดวงตะวันขึ้นมาได้
เอี๊ยด
เมิ่งชวนผลักประตูเดินเข้าไปในสวน ดวงอาทิตย์อัสดงย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีแดง
เมิ่งชวนนั่งอยู่ที่สวนและตรวจสอบช่องว่างแห่งจิตของเขา ร่างเล็กๆในช่องว่างแห่งจิตของเขาไม่โปร่งแสงเหมือนเมื่อก่อนและมีตัวตนมากกว่าเดิมมาก
‘ที่ข้ามี”พลังแห่งวิญญาณ” มันเกิดมาจากการวาดภาพ ภาพวาดธรรมดานั้นไม่ช่วยอะไร มีแค่ภาพสรรพชีวิตและภาพแสงแดดยามเช้าเท่านั้นที่มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สองปีหลังจากที่ข้าวาดภาพสรรพชีวิต ข้าก็วาดภาพมาทุกๆวันด้วยอารมณ์ที่เข้าถึงภาพนั้น แต่กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรกับจิตวิญญาณของข้าเลย เห็นได้ชัดว่า การขัดเกลาจิตของข้านั้นไม่ง่ายเลย’
‘จิตของข้าเริ่มชัดเจนขึ้น แต่เขตแดนสิบจั้งก็ยังคงกว้างเท่าเดิม ขอบเขตสัมผัสของข้าก็ยังไกลหนึ่งลี้เท่าเดิม’ เมิ่งชวนรู้สึกงุนงง ‘ข้าจะลองวิชากระบี่ดู’
เพียงนึก เมิ่งชวนก็เปิดใช้งาน”พลังแห่งวิญญาณ”ทันที มันหลอมรวมกับปราณในร่างกายของเขาอย่างเรียบสนิท ทำให้ความสามารถในการควบคุมร่างของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพียงขยับตัวครั้งเดียว เขาก็พุ่งไปข้างหน้าเกือบสามจั้ง จากนั้นเขาก็ฟาดกระบี่ออกไป! ลำแสงกระบี่พุ่งผ่านอากาศ แต่ว่ามันไม่ทำให้อากาศขยับแม้แต่น้อย เพียงแค่มองท่วงท่าของเขาด้วยตาเปล่า มันก็ทำให้ใจสั่นสะท้านแล้ว
‘”พลังแห่งวิญญาณ”ไม่ได้แตกต่างออกไป ส่วนความแข็งแกร่งของข้ายังคงเหมือนเดิม’ เมิ่งชวนยังคงใช้วิชากระบี่ของเขาต่อไป
ลำแสงกระบี่สว่างขึ้นในสวน ทุกๆการโจมตีนั้นถูกปลดปล่อยออกมาสุดแรง!
ท่าที่ห้า ท่าที่หก ท่าที่เจ็ด… เมิ่งชวนยังคงฟาดฟันต่อไปอย่างมีความสุข เขาพบว่าเขามีพลังแห่งวิญญาณเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมมาก
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
กระบวนท่าที่สิบหก! หลังจากท่าที่สิบหก เขาก็พบว่า”พลังแห่งวิญญาณ”ของเขาใกล้หมดแล้ว และไม่สามารถโจมตีอย่างเต็มกำลังได้อีก
เขาเผยรอยยิ้มขณะยืนอยู่ในสวน ‘วิญญาณที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความแข็งแกร่ง แต่”พลังแห่งวิญญาณ”กลับมีปริมาณเพิ่มขึ้น แต่ก่อนข้าสามารถโจมตีได้สูงสุดห้าครั้ง แต่ตอนนี้ข้าสามารถโจมตีได้ถึงสิบหกครั้ง’
…
ที่สวนข้างๆ เหยียนจินถือกระบี่ในมือทั้งสองข้างขณะจ้องไปข้างหน้า เขาจินตนาการภาพของชายกล้ามโต เย็นชา และดาบทัณฑ์สวรรค์ที่กระจายอยู่รอบท้องฟ้า
เป้าหมายของเหยียนจินคือการเอาชนะผู้ชายคนนั้น อย่างไรก็ตามหลังจากได้เห็นดาบทัณฑ์สวรรค์ ที่เป็นเพียงแค่ตรากระบี่เท่านั้น นั่นหมายถึงนั่นเป็นเพียงแค่หนึ่งในสิบของพลังกระบี่ทัณฑ์สวรรค์ที่แท้จริง เหยียนจินเข้าใจได้ว่าชายคนนั้นแข็งแกร่งมากขนาดไหนจริงๆ
“ข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้” เหยียนจินแกว่งกระบี่ของเขาอีกครั้ง ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ชายร่างใหญ่ตรงหน้า
…
วันเวลาผ่านไปขณะที่เมิ่งชวนและเหยียนจินฝึกวิชาทุกวัน ในช่วงเวลานี้ หลิวชีเยว่ก็ส่งจดหมายมาบ้างบางที ให้พ่อของเธออันหนึ่ง และให้เมิ่งชวนอีกอันหนึ่ง
เพียงพริบตาเดียว มันก็เข้าหน้าหนาวและเข้าเดือนธันวาคมแล้ว
หิมะแรก 18 ธันวาฯ สามวันก่อนการสอบเข้าเขาหยวนชู
ฟิ้วๆๆๆ
เมิ่งชวนใช้ท่าชักกระบี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพียงฟันออกไป พลังแห่งฟ้าดินนั้นครอบระยะกว้างออกไปเป็นร้อยจั้ง เขาสามารถรู้สึกได้ถึงทุกอย่างในระยะร้อยจั้ง
‘”พลังกระบี่”ของข้าฝึกฝนจนถึงขีดสุดแล้ว’
“พลัง”สามารถกระตุ้นพลังแห่งฟ้าดินได้ และเมื่อถึงขีดสุด เราจะสามารถใช้พลังฟ้าดินเพื่อรับรู้ทุกสิ่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังนั้นที่ใช้ออกมาได้! นี่เป็นเขตแดนที่ก่อเกิดมาจากพลังกระบี่
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีข้อบกพร่องในเขตแดนนี้ หากใครใช้พลังแห่งฟ้าดินเพื่อรับรู้สิ่งนั้น การรับรู้ของพวกเขาอาจจะพร่ามัวหากเจอกับคู่ต่อสู้ที่สามารถควบคุมพลังแห่งฟ้าดินได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในระดับนั้นคนๆนั้นคงจะแข็งแกร่งมากกว่าหากใช้พลังกายหรือพลังปราณ
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน เมิ่งชวนนั้นเก่งกว่าเดิมได้เกือบห้าเท่านับจากต้นปีนี้
เมื่อ “พลังกระบี่” ถึงจุดสูงสุด ขั้นตอนต่อไปคือการสร้าง “สำนึกกระบี่” ‘แต่ข้าจะสร้าง “สำนึกกระบี่” อย่างไรกัน?’ เมิ่งชวนสงสัย
“สำนึกกระบี่” เป็นระดับที่สามของวิชากระบี่ ความยากในการบรรลุ “สำนึกกระบี่” นั้นยากยิ่งกว่าการเป็นเทพอสูรเสียอีก นี่เป็นเพราะเงื่อนไขในการเป็นเทพอสูรนั้นคือการเข้าถึง “พลัง” ควบแน่นแก่นแท้ และเข้าสู่ห้วงความเป็นความตาย! ดังนั้น เทพอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่นั้นก็ยังคงอยู่ในแค่ระดับพลังเพียงเท่านั้น
‘ย่าทวดบอกข้าว่าเธอถึงระดับสำนึกกระบี่ตอนอายุห้าสิบ แม้เธอจะเป็นเทพอสูรตอนอายุสามสิบห้าก็ตาม นี่เป็นระดับสูงสุดที่เธอเคยไปถึง เมิ่งเซียนกูนั้นถือว่าเร็วแล้ว มีบันทึกว่าเทพอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่หลายคนนั้น กว่าจะเข้าถึงระดับสำนึกกระบี่ก็แปดสิบกว่าปีแล้ว บางคนกว่าจะเข้าถึงระดับสำนึกกระบี่ก็เข้าไปร้อยปีแล้ว’
ผู้ที่ได้กลายมาเป็นเทพอสูรนั้นต่างเป็นคนที่สุดยอด อย่างไรก็ตาม มันก็แสนยากเย็นที่จะเข้าถึงสำนึกกระบี่ได้ ส่วนมากยังติดอยู่ในระดับพลังนับหลายปี
‘ข้าจะไปอย่างช้าๆ อีกสามวันนับจากนี้ ก็จะเป็นการสอบเข้าเขาหยวนชูแล้ว หลังจากได้เข้าไปแล้ว ข้าจะไปขอรับการแนะนำ มันควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการฝึกฝนสำนึกกระบี่ในเขาหยวนชู’
มุ่งให้สูง หากไม่ทำเช่นนั้นมันก็คงจะได้เป็นแค่ระดับธรรมดา หากเขาอยากจะเข้าถึงสำนึกกระบี่ เขาต้องทำในเขาหยวนชู และเพื่อสิ่งนั้น การลองผิดลองถูกนั้นคงจะนานเกินไป
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเขา
“ชวนเอ๋อร์ นายน้อยหยาน แล้วคนจากรัฐอู๋มาแล้ว” เมิ่งต้าเจียงตะโกนเสียงดัง
‘คนจากรัฐอู๋มาที่นี่?’ เมิ่งชวนเก็บกระบี่ของเขาและเดินออกจากห้องไป เหยียนจินเองก็ทำเช่นเดียวกัน
เมิ่งชวนและเหยียนจินมองออกไปไกลและเห็นนกสีแดงเพลิงยักษ์พุ่งโฉบลงมาจากด้านบน ด้านบนเป็นกลุ่มคนจำนวนมากนั่งขัดสมาธิอยู่ พวกเขาลงจอดลงที่ทางเข้าหลักของอาคารรับรอง
“ไปดูกันเถอะ” เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายเรียกพวกเขา
เมิ่งชวนและเหยียนจินตามมา
เมื่อพวกเขามาถึงห้องโถงหลักของอาคารรับรอง คนกลุ่มใหญ่ก็มาถึง คนที่เดินนำไม่ใช่ใครอื่น ขุนนางเมฆาสวรรค์ที่แต่งตัวเรียบง่ายและประนีตนั่นเอง
เมิ่งชวนและคนอื่นๆเป็นจุดดึงดูดสายตาตั้งแต่เข้ามาแล้ว
“นั่นสินะเมิ่งชวน”
“เขาสังหารแม่ทัพอสูรสองตนติดๆกันได้” คนอื่นๆแอบกระซิบกัน
เมิ่งชวน เหยียนจิน หลิวเย่ป๋ายและเมิ่งต้าเจียงโค้งคำนับด้วยท่าทางนอบน้อม “คารวะท่านขุนนาง”
เมิ่งชวนยังสังเกตเห็นอีกว่ามีหนุ่มสาวกว่าสิบคนอยู่ในห้องโถง เกือบทั้งหมดมาพร้อมกับผู้ใหญ่ คนเหล่านี้คืออัจฉริยะของรัฐอู๋ทั้งหมดที่เข้าร่วมการสอบเข้าของเขาหยวนชู
“ดี” ขุนนางเมฆาใต้ยิ้มและพยักหน้า
“คนสิบสองคนจากรัฐอู๋ของเราจะเข้าร่วมการสอบคัดเลือกเขาหยวนชูด้วยเช่นกัน” ขุนนางเมฆาใต้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สองคนนี้มาจากเมืองตงหนิง คนนี้ชื่อเมิ่งชวน อีกคนชื่อเหยียนจิน พวกเขาไปเมืองหยวนชูเมื่อไม่กี่เดือนก่อน พวกเจ้าทำความรู้จักกันไว้ละกัน อีกอย่าง ในอีกสามวัน ในวันที่ 21 ธันวาคม จะมีการสอบเข้าเขาหยวนชู ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่นั่นแต่เช้า เพราะฉะนั้นเตรียมตัวให้พร้อม”
“ขอรับ” ทุกคนรับทราบด้วยท่าทางนอบน้อม
สถานะของขุนนางเมฆาใต้นั้นสูงกว่าสถานะของพวกเขามาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องคุ้มกันอัจฉริยะเหล่านี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อัจฉริยะเหล่านี้จะได้พบเขา
“นายน้อยเมิ่ง ข้าชื่อหวังปู้หยูแห่งตระกูลหวังในเมืองอู๋” ลูกขุนนางที่ดูสง่างามวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มในทันที “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสังหารแม่ทัพอสูรสองตนติดกันเลยอย่างนั้นหรือ? ข้าอยากพบเจ้ามาโดยตลอดหลังจากที่ได้ข่าว ในที่สุดข้าก็ได้พบกับเจ้าในวันนี้”
“นายน้อยหวัง” เมิ่งชวนทักทายอย่างสุภาพ
พวกผู้ใหญ่ออกไปเลือกที่พักของพวกเขา เด็กๆก็เริ่มพูดคุยกัน
“ไม่ดีแล้ว รัฐอู๋ของเรามีสิบสองคน ราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่มีทั้งหมด 23 รัฐ! แถมยังมีอัจฉริยะมากมายในเมืองหลวงแล้วก็เมืองหยวนชู แต่เขาหยวนชูรับเพียงแค่ 20 คน ถึงจะแบ่งกันยังไง บางรัฐก็ไม่ได้เข้ารอบด้วยซ้ำ!” ชายหนุ่มคุยกับเพื่อนของเขาอย่างไม่ค่อยพอใจ “แถมยังมีพวกอัจฉริยะที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษอย่างเมิ่งชวนอีก เป็นไปไม่ได้ที่จะสอบผ่านเลยด้วยซ้ำ”
“เขาหยวนชูประเมินจากหลายแง่มุม เราอาจมีโอกาสก็ได้” เพื่อนของเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
…
หลังจากทำความรู้จักกันแล้ว เหล่าหนุ่มสาวก็กลับไปที่ห้องของตัวเองและเริ่มเตรียมตัวสำหรับการสอบเข้าเขาหยวนชู การสอบเข้าครั้งนี้จะส่งผลต่ออนาคตของพวกเขา
บทสุดท้ายของภาคการต่อสู้แห่งเมืองตงหนิง