ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 75
“เทพอสูรมากันแล้ว!” มีคนอุทานขึ้นมา
เมิ่งชวน เมิ่งต้าเจียงและเหยียนจินเงยหน้าขึ้นเห็นเส้นแสงสามเส้นพุ่งผ่านไป พวกเขาแทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่ามีร่างสามร่างพุ่งผ่านไป คนที่นำอยู่คือชายสวมชุดผ้าเนื้อเนียน ที่ตามหลังเขามาคือผู้หญิงชุดสีน้ำเงินและชายชุดโทรมๆ
หือ? เมิ่งชวนและเหยียนจินรู้สึกปวดตา หัวใจเต้นเร็วขึ้นทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่เสถียร พวกเขารีบมองลงมาทันที ไม่สามารถมองตรงไปที่พวกเขาได้
ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าเงยขึ้นไปมองอีกที เมิ่งต้าเจียงเองก็ก้มหัวลงมาเล็กน้อย
“พุ่งโดยใช้เพียงแค่พลังกายเท่านั้นรึ?”
“ทั้งสามคนใช้เพียงพลังกายเหาะมาเท่านั้น มีเพียงเทพอสูรระดับขุนนางเท่านั้นที่ทำเช่นนั้นได้”
“การสอบเข้าเขาหยวนชูทุกครั้งจะมีเทพอสูรระดับราชาและเทพอสูรระดับขุนนางอีกสองคนเป็นกรรมการ และคนที่นำหน้ามาคือราชาตงเหอ!” เมื่อฝูงชนก้มหัวกันพวกเขาก็พูดคุยกันผ่านกระแสเสียง คนเราจะสามารถปล่อยพลังปราณออกมาเพื่อส่งกระแสเสียงได้เมื่อเข้าถึง “พลัง” แล้ว คนส่วนมากในที่นี้จึงใช้การส่งกระแสเสียงเป็น
ฟุบๆๆ!
เทพอสูรจากเขาหยวนชูทั้งสามไปลงยืนตรงส่วนอื่นของวังตะวันฉาย
“ทุกๆท่าน ราชาตงเหอและเทพอสูรทั้งสองได้มาถึงแล้ว” มีพนักงานอยู่ในวังเพลิงตะวันเช่นเดียวกัน และหนึ่งในนั้นก็เป็นชายเคราแพะที่พูดเสียงดัง “ทุกท่านที่เข้าร่วมการสอบคัดเลือกของเขาหยวนชูโปรดเข้าแถวตามรายชื่อที่ข้าเรียก คนแรกอู๋ฉางจากรัฐหลงหยุน คนที่สองจางผิงจากรัฐเจียง คนที่สาม…”
เขาขานชื่อออกมาเรื่อยๆ หนุ่มสาวต่อแถวตามที่ถูกเรียก
“คนที่87 เมิ่งชวนจากรัฐอู๋”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น เมิ่งต้าเจียงก็พูดขึ้นว่า “ถึงตาเจ้าแล้ว รีบไปเถอะ”
“ขอรับ” เมิ่งชวนวิ่งไปต่อแถวด้านหลังในทันที
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“คนที่88 ฉีเฉาจากเมืองหยวนชู “ชายหนุ่มอีกคนเดินมายืนอยู่ข้างหลังเมิ่งชวน
…
มีคนเข้าร่วมการทดสอบของเขาหยวนชูทั้งหมด 312 คนในปีนี้
“ทุกท่าน ตามข้ามา” ชายเคราแพะกล่าวเสียงดัง เขาเดินนำไปและอัจฉริยะอีกสามร้อยกว่าคนก็ตามไปอย่างว่าง่าย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิง ลูกหลานของเทพอสูรระดับราชา หรือจะเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจก็ต้องทำตามกฎ เมื่อพวกเขาได้เห็นพลังของเทพอสูรระดับราชาและขุนนางทั้งสอง พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างของพลังอย่างมหาศาล
เพียงแค่มองแวบเดียวก็ทำให้กระแสเลือดปั่นป่วน มันทำให้พวกเขาอยากจะเป็นเทพอสูรมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่พวกเขาออกจากลานกว้าง พวกเขาก็เดินผ่านประตูวังเข้าไป
พวกเขาไปถึงสวนในวังเล็กๆซึ่งมีกลุ่มเทพอสูรนั่งอยู่ห่างออกไป เทพอสูรที่พาอัจฉริยะมาจากยี่สิบสามแคว้นของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ อย่างขุนนางเมฆาใต้และคนอื่นๆ ต่างนั่งคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ราชาตงเหอที่เป็นคนดูแลการสอบเข้านั้นก็นั่งอยู่บนที่นั่งตรงกลางและขุนนางอีกสองคนก็นั่งอยู่ข้างๆเขา
ราชาตงเหอแต่งตัวด้วยผ้าเนื้อเนียน เขาสะกดพลังของเขาเอาไว้ ทำให้เขาดูเหมือนเพียงคนธรรมดา อย่างไรก็ตาม ความน่าเกรงขามของเขานั้นต่างจากคนธรรมดา
“ขุนนางทะเลตะวันตก ลูกชายของเจ้าเข้าถึง”พลัง”ตั้งแต่อายุสิบสาม ความสามารถของเขาเรียกได้ว่าสูงเสียจริง! เด็กนั่นอาจจะได้ที่พิเศษเข้าสู่เขาหยวนชูโดยตรงได้เลยนะ ทำไมถึงต้องมาเข้าร่วมการทดสอบกันรึ?” ราชาตงเหอหัวเราะ
ขุนนางทะเลตะวันตกซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเขาหัวเราะขึ้นและพูดว่า “พี่ชาย ลูกของข้าน่ะชอบทำตามใจตัวเอง เมื่อสองเดือนก่อนเขาเข้าถึง”พลัง”และตั้งใจว่าจะเข้าทดสอบของเขาหยวนชู เห็นบอกว่าอยากจะแข่งกับอัจฉริยะคนอื่นๆในโลกนี้ เด็กคนนี้ไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก เขาพึ่งเข้าถึง”พลัง”แถมคู่แข่งก็อายุมากกว่ามาก คนส่วนมากอยู่ในระดับสูงกว่าเขาอีกแถมยังมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากกว่าเสียอีก ไม่ใช่ว่าเขากำลังหาเหาใส่หัวอย่างนั้นรึไงกัน? แต่ว่าเด็กนั่นก็ยังอยากจะมา”
“ให้เขาได้เปิดโลกกว้างก็ดี” ราชาตงเหอยิ้มขณะกวาดสายตามองอัจฉริยะกว่าสามร้อยคนที่เดินผ่านมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ฮึ” ทันใดนั้นราชาตงเหอก็พ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา ราวกับว่าฟ้าร้องดังก้องไปทั่วลานของวัง
คนกว่าสามร้อยคนตกใจ ขนาดเทพอสูรยังต้องประหลาดใจ
“เขาหยวนชูของเราจำกัดอายุของผู้เข้าร่วมไม่ให้เกิน 20 ปี” ราชาตงเหอกล่าว “ในบรรดาพวกเจ้าทั้ง 312 คน มีหนึ่งคนอายุเกินยี่สิบปีแล้ว ถ้าเจ้าก้าวออกไปแต่โดยดีเจ้าจะถูกลงโทษเบาๆ แต่ถ้าข้าจับเจ้าได้ ข้าว่าเจ้าคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
“เกินยี่สิบ?” เมิ่งชวนและคนอื่นๆงุนงง
จากนั้นก็มีเด็กหนุ่มสองคนเดินออกมาจากกลุ่ม ทั้งสองคนหันหน้ามองกันอย่างตกตะลึง
คนแรกก้มหัวไปทางเทพอสูรด้วยความเคารพ “ข้าคือหวูว่านเฟิงจากรัฐชาง ข้าเป็นเด็กกำพร้าที่ตระกูลหวูรับเลี้ยงมา ข้าไม่รู้ว่าอายุที่แท้จริงของข้าคือเท่าใดขอรับ”
เด็กหนุ่มอีกคนก็กล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม “ข้าคือเทียนกูจากรัฐอัน ตอนที่ข้ายังเด็ก บ้านเกิดของข้าถูกอสูรรุกรานและข้าก็เร่ร่อนไปทั่วทุกหนแห่ง ตอนนั้นข้ายังเด็กและข้าเองก็ไม่รู้อายุจริงๆของข้าเช่นกัน เมื่อตระกูลเทียนรับเลี้ยงข้า พวกเขาก็ได้ตัดสินใจให้ว่าข้าอายุห้าขวบขอรับ”
“เทียนกูจากรัฐอัน เจ้าอายุยี่สิบเอ็ดปี” ราชาตงเหอกล่าว “เจ้าอายุเกินข้อจำกัดและทำผิดกฎเขาหยวนชู แต่เพราะเจ้ายอมรับเอง ข้าจะให้เจ้าไปรับราชการทหารสิบปี”
“ขอรับ” เด็กหนุ่มโค้งคำนับด้วยท่าทางนอบน้อม
ปกติแล้ว การรับราชการทหารจะกินเวลาเพียงห้าปีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม บางคนก็ใช้ประโยชน์จากการรับราชการทหารที่เกินปกติ เช่นเมิ่งต้าเจียง เขารับราชการทหารมาสิบปี ผูนำสำนักเต๋ากระจกทะเลสาบ เก๋อหยู ใช้เวลาสิบสองปีในด่านฉินหยางและสร้างวิชากระบี่ของเขา ดังนั้นการรับราชการทหารสิบปีนั้นจึงเป็นประโยชน์มากกว่าเสียอีก นี่ก็คงเป็นเพราะคนๆนั้นก้าวออกมาเองและในตอนเด็กยังเป็นคนเร่ร่อนอีก
‘ราชาเทพอสูรสามารถบอกอายุของพวกเราทั้งสามร้อยคนได้อย่างรวดเร็วขนาดนั้นเลยรึ?’ เมิ่งชวนแอบแปลกใจ เขารู้ว่าเขาหยวนชูมีวิธีประเมินอายุของผู้เข้าร่วม แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เทพอสูรจะรู้ได้เพียงแค่เหลือบมอง
เทียนกูจากรัฐอันเดินออกไปแต่โดยดี เขาไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมการสอบคัดเลือก
สำหรับหวูว่านเฟิงนั้นค่อนข้างดีใจ เห็นได้ชัดว่าอายุของเขาไม่เกินกำหนด
…
หนุ่มสาวทั้ง 311 คนยืนอยู่เฉยๆในขณะที่เหล่าญาติพี่น้องกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาในวัง อย่างไรก็ตาม พวกเขายืนอยู่บนระเบียง
“ทุกคน” ชายที่ดูกระเซอะกระเซิงที่นั่งข้างๆราชาตงเหอก็ลุกขึ้นมา เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นมองไปที่เหล่าอัจฉริยะก่อนจะพูดพร้อมกับหัวเราะว่า “การสอบเข้าเขาหยวนชูจะจัดขึ้นสองวัน วันนี้เป็นรอบคัดเลือก พรุ่งนี้เป็นรอบสุดท้าย”
“รอบคัดเลือกแบ่งออกเป็นสามส่วน ทุกๆส่วนนั้นต้องได้คะแนนถึงขั้นต่ำ สำหรับผู้ที่ไม่ถึงเกณฑ์จะถูกคัดออกทันที หลังจากผ่านสามส่วนแล้ว จะมีการประกาศคะแนนรวมออกมา ร้อยอันดับแรกจะผ่านรอบคัดเลือก ที่เหลือถูกคัดออก”
“รอบคัดเลือกรอบแรกคือ…” ชายที่ดูกระเซอะกระเซิงสะบัดแขนเสื้อและมีชั้นแสงหลายชั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ชั้นแสงเหล่านี้ยาวสิบจั้งกว้างสามสิบจั้งและหนาหนึ่งฉื่อ กำแพงแสงนี่มีอยู่กว่าสองร้อยอัน
“คำสั่งก็คือ พวกเจ้าแต่ละคนใช้พลังเต็มที่โจมตีใส่ข้า แต่จำไว้ เจ้าห้ามใช้วิชาต้องห้ามเทพอสูร ยิ่งเกราะลำแสงนี้แตกไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อย่างต่ำเจ้าต้องทำให้ได้ยี่สิบอัน หากเจ้าทำลายได้ไม่เกินยี่สิบ เจ้าจะถูกคัดออก เริ่มได้” ชายผมกระเซิงยืนอยู่เฉยๆและควบคุมกำแพงแสงอย่างง่ายดาย
“ก่อนอื่นอู๋ฉางจากรัฐหลงหยุน” ชายเคราแพะประกาศ
เด็กหนุ่มผิวคล้ำเดินไปข้างหน้าอย่างเคร่งเครียด เขาชักกระบี่หนาๆของเขาออกมาและก้าวไปข้างหน้าก่อนจะฟันลงอย่างรุนแรง และลำแสงกระบี่สีดำก็ฟันผ่านเกราะแสงดังก้อง
“37 ชั้น ต่อไปจางผิงจากรัฐเจียง” ชายเคราแพะตะโกน
…
แต่ละคนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวและฟันได้ครั้งเดียวเท่านั้น การโวยวายเพราะทำได้ไม่ถึงเป้านั้นไม่มีประโยชน์ ในการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับอสูรนั้นไม่มีครั้งที่สอง
“29 ชั้น ต่อไปคือฉู่หยงจากเมืองหลวง” ชื่อของคนๆนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก
“ฉู่หยงจากเมืองหลวง?” เมิ่งชวนก็สนใจเช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องอัจฉริยะคนอื่นๆ แต่เขาก็เคยได้ยินชื่อฉู่หยงมาก่อน เขานั้นเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะแห่งเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ เมื่อเจ็ดปีก่อน ชื่อของเขาก็ดังไปทั่วโลกแล้ว และเขาเองก็จะสอบเข้าเขาหยวนชูด้วยในปีนี้
ฉู่หยงร่างสูงสวมเสื้อคลุมสีดำและถือกระบี่ขนาดใหญ่ไว้บนหลังของเขา เขาชักกระบี่ออกมาและร่างก็ปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสีดำ พลังอันมหาศาลทำให้เหล่าอัจฉริยะที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกถึงแรงกดดัน
เมิ่งชวนเองก็ตกใจเช่นกัน แรงกดดันที่คนๆนี้ปล่อยออกมานั้นรุนแรงยิ่งกว่าแม่ทัพอสูรอีก
“พัง!” เขาตะโกนเสียงดังก้อง
กระบี่ฟาดเข้าใส่กำแพงแสงและเกิดเสียงดังขึ้น ตูม
กำแพงแสงถูกทำลายในทันที เหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ยังคงอยู่
“191” ชายเคราแพะตะโกน คนอื่นๆส่งเสียงดังจอแจ อัจฉริยะกว่าห้าสิบกว่าคนได้ลองฟัน แต่กลับไม่มีใครทำลายได้เกินร้อยชั้นเลย แต่ฉู่หยงทำลายได้ถึง 191 ชั้น! ความแตกต่างมันช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง
ทุกคนตรงนี้ต่างจ้องมองมาที่เขา
มันช่างน่าตกใจ
คนดูหลายคนตกใจเช่นกัน มีเพียงผู้อาวุโสตาเดียวเท่านั้นที่หัวเราะ “ฮ่าฮ่า นั่นหลานชายข้าเอง หลานชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นไงล่ะ!”
ช่างเป็นการโจมตีที่ทรงพลัง เมิ่งต้าเจียงก็ทึ่งเช่นกัน เขาภูมิใจในตัวลูกชายเขามาก แต่พลังของการโจมตีครั้งนี้ทำให้เขาตกใจ นี่เป็นการโจมตีที่สามารถเทียบเท่าได้กับเทพอสูรกำเนิดใหม่เลยทีเดียว แม้จะไม่ใช้วิชาต้องห้ามแต่เขาก็ยังน่าเกรงขาม!