ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 86
ตอนที่ 86 การทดสอบรอบสุดท้ายส่วนแรก
ในหุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอก
“จัดรูปขบวนเร็ว!”
“จัดรูปขบวน!”
เหล่าอัจฉริยะตะโกนตามๆกัน พวกเขามีทั้งหมดร้อยกว่าคน แต่มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่เทียบเคียงได้กับแม่ทัพอสูร! กลับกันมีแม่ทัพอสูรถึง 135 ตน และมีผู้นำอสูรอีกกว่าพันตน หากพวกเขาไม่ร่วมมือกันก็คงแพ้ไปอย่างรวดเร็ว
นักเกาฑัณฑ์สิบเอ็ดคนอยู่กลางกลุ่มและมีอัจฉริยะคนอื่นๆคอยปกป้องพวกเขา
เมิ่งชวนและชี่หยวนถงเป็นเพียงไม่กี่คนที่กล้าพุ่งเข้าใส่ทัพอสูร แต่นั่นก็เป็นได้แค่ความกล้าแบบโง่ๆ มีเพียงการร่วมมือกับคนอื่นเท่านั้นที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของพวกเขาให้มากขึ้นไปอีก
เขาเคยฝึกฝนในสำนักเต๋าตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าการร่วมมือกันสำคัญอย่างไร
“มันกำลังมา” เหล่าอัจฉริยะต่างจับจ้องไปที่อสูรที่กำลังพุ่งเข้ามา
“ฟัน!” ตงฟางที่เป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุด ถือขวานและโล่ขนาดใหญ่ เขากระแทกโล่หนามของเขาส่งให้อสูรหมาป่าลอยออกไป จากนั้น ตงฟางก็เหวี่ยงขวานและฟันใส่ผู้นำอสูรเสือจนตาย
“กันไว้!” หลายๆคนยกโล่ขึ้นมากัน
มีกระบี่แทงออกจากกำแพงโล่เรื่อยๆและสังหารผู้นำอสูรอย่างไร้ปราณี
ในขณะนั้นเอง นักเกาฑัณฑ์สิบเอ็ดคนยิงลูกศรออกมาอย่างต่อเนื่อง เหล่าอัจฉริยะที่ติดร้อยอันดับแรกต่างเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่ง ลูกศรพุ่งเข้าใส่เหล่าอสูรด้วยความเร็วมหาศาล พวกมันพุ่งเข้าใส่อสูรที่ถูกอัจฉริยะคนอื่นๆล่อเอาไว้ ในพริบตาเดียว ผู้นำอสูรหลายสิบตัวก็ตายไป
ในแง่ของการสังหารอย่างมีประสิทธิภาพ นักเกาฑัณฑ์นั้นสุดยอดที่สุด
รูปขบวนโล่วงกลมนี้นั้นราวกับเป็นเครื่องบดเนื้อ
กรรรรรร
ด้วยคำสั่งของเทพอสูรชุดสีแดง เหล่าอสูรเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีพวกมันตัวไหนกลัวความตาย พวกมันพุ่งเข้าใส่โล่อย่างต่อเนื่อง! อสูรบินเองก็พุ่งโฉบลงมาโจมตีเช่นกัน
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
ในขณะที่ผู้นำอสูรถูกสังหารอย่างต่อเนื่อง แม่ทัพอสูรก็เข้ามาถึงรูปขบวนของพวกเขาแล้ว
“แม่ทัพอสูรมาแล้ว”
“ทุกคนระวังตัว”
เหล่าอัจฉริยะระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม พวกเขาเองก็อยากจะสังหารอสูรอยู่แล้ว และนี่ยังเป็นการทดสอบของเขาหยวนชูอีก แน่นอนว่าต้องอยากจะทำให้ได้ดีที่สุดอยู่แล้ว
กระแสพลังของแม่ทัพอสูรนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า แถมพวกมันยังตัวใหญ่กว่ามากอีกด้วย!
แม่ทัพอสูรแรดถือค้อนอยู่หนึ่งคู่ มันแกว่งค้อนเป็นวงกว้าง เมื่อมันเข้ามาใกล้ มันก็ส่งเสียงคำรามพร้อมกับฟาดค้อนลงบนพื้น
ปั้ง ฉู่หยงรับค้อนด้วยกระบี่ จากนั้นก็เบี่ยงมันออกและฟันเข้าไปที่เขาของอสูรแรด ส่วนค้อนอักอันนึงนั้นก็ร่วงลงกับพื้น
ฟิ้ว
มีลูกศรพุ่งผ่านมาทะลุหน้าของอสูรแรดไป มันแทงเข้าไปลึกเกือบหนึ่งฉื่อ แต่อสูรแรดไม่สนในอาการบาดเจ็บของมันแม้แต่น้อย
ฟุบ ลูกศรแทงทะลุผ่านดวงตาของมันลึกเข้าไปในหัว และหลังจากนั้นอสูรแรดจึงล้มทรุดลงไปในที่สุด
ฉู่หยงต้านอสูรเอาไว้ในขณะที่หลี่อิ๋งและซงชาสังหารแม่ทัพอสูรอย่างรวดเร็วด้วยลูกศรเพียงดอกเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีแม่ทัพอสูรเข้ามาหามากกว่าเดิม!
แม่ทัพอสูรรอบแรกนั้นทำให้รูปขบวนโล่ของพวกเขาแปรปรวน เหล่าอัจฉริยะไม่สามารถหยุดเหล่าแม่ทัพอสูรเอาไว้ได้
“อ๊ะ”
“ไม่ดีแล้ว”
ทันใดนั้นเอง รูปขบวนส่วนหนึ่งก็เริ่มพังลง แม่ทัพอสูรแมวที่เปลี่ยนเป็นเส้นแสงสีดำเข้ามาจู่โจมอย่างไม่กลัวตาย เหล่าอัจฉริยะล้มลงกับพื้น แต่ในขณะที่แมวอสูรนั้นกำลังจะฉีกกระชากมนุษย์ด้วยกรงเล็บของมัน พลังที่มองไม่เห็นก็ห่อหุ้มเหล่าเด็กๆและดึงพวกเขากลับไปที่ทางเข้าหุบเขา เทพอสูรของเขาหยวนชูช่วยคนที่บาดเจ็บเอาไว้
หากจะถูกฆ่า เทพอสูรจะช่วยเอาไว้ให้
‘พวกเราแพ้ทั้งแต่แม่ทัพอสูรโจมตีเข้ามาเลยอย่างนั้นรึ?’ เหล่าอัจฉริยะที่ถูกช่วยเอาไว้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย พวกเขามองดูเหล่าอสูรที่พุ่งเข้าใส่รูปขบวนโล่วงกลมก่อนที่จะถูกยกกลับมาด้านหน้า
เมิ่งชวนไม่สนใจแม่ทัพอสูรตนอื่นและกลับไปป้องกันแม่ทัพอสูรแมวอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองแข่งความเร็วกัน เขาใช้เบญจโลกาอัสนีที่ไม่สมบูรณ์ ท่าฟันสามท่า!
การโจมตีรวดเร็วที่สุดของกระบวนท่าของเขาคือกระบี่เงาจันทร์ กระบี่ของเขาฟันลงใส่ท้องของแม่ทัพอสูรแมว ทิ้งแผลลึกเอาไว้ จากนั้นก็มีลูกศรพุ่งทะลุหัวของอสูรแมวไป อสูรแมวเร็วก็จริง แต่ร่างของมันไม่ทนเท่าอสูรหมีหรืออสูรวัว
เมิ่งชวนหันกลับไปเห็นซงชาที่ส่งยิ้มมาให้ก่อนที่เขาจะยิงต่อไป
เมิ่งชวนเองก็รู้สึกได้ว่าเขาสามารถจัดการกับแม่ทัพอสูรได้ง่ายมากขึ้นแค่ไหนนับตั้งแต่การบุกรุกของอสูรที่เมืองหยวนชู ภายในครึ่งปีที่ผ่านมานี้ การผลักดัน “พลังกระบี่” ไปถึงขีดจำกัดทำให้เขานั้นแข็งแกร่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องโจมตีเกือบสิบครั้งถึงจะสังหารแม่ทัพอสูรได้ ถึงอย่างนั้น เขาก็สังหารแม่ทัพอสูรบางตนไม่ได้ โชคยังดีที่เขามีนักเกาฑัณฑ์คอยสนับสนุนอยู่ ลูกดอกของพวกเขานั้นไวกว่ากระบี่มาก
…
ผ่านไปครู่หนึ่ง
อัจฉริยะหลายๆคนทนรับมือไว้ไม่ค่อยไหวและถูกช่วยออกไปหลังจากที่แม่ทัพอสูรพุ่งเข้าใส่รูปขบวนโล่วงกลม
การทดสอบจบลง
“หยุด” เสียงของหญิงสาวในชุดสีแดงดังก้องไปทั่วหุบเขา อสูรทั้งหมดหยุดต่อสู้อย่างว่าง่าย
“กลับไปที่ถ้ำของพวกเจ้า” หญิงสาวคนนั้นสั่ง เหล่าอสูรวิ่ง คลาน หรือบินกลับไปที่ถ้ำของพวกมันในหน้าผาทันที และพวกมันก็ถูกล่ามตรวนเอาไว้ด้วยพลังที่มองไม่เห็น
มีเพียงคนเจ็ดคนที่เนื้อตัวโชกไปด้วยเลือดยืนอยู่ในหุบเขา เมิ่งชวน เหยียนจิน ชี่หยวนถง ฉู่หยง หยานเฟิง ซงชา และหลี่อิ๋ง
พวกเขายืนอยู่กับที่หอบหายใจถี่
“จบแล้วเหรอ?” หยานเฟิงถามด้วยเสียงแหบแห้ง
“ผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้ว” ฉู่หยงนั่งลงหมดแรง
“อสูรพวกนั้นมันบ้าชัดๆ” ชี่หยวนถงก็หมดแรงเช่นกัน
เหยียนจินยืนอยู่เงียบๆ นิ้วมือของเขาที่ถือกระบี่ทั้งสองเล่มเอาไว้ เริ่มเปลี่ยนกลายเป็นสีขาว
เมิ่งชวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ขอบคุณทุกคนมาก” ซงชากล่าว “ถ้าไม่ได้พวกเจ้าคอยปกป้องพวกเราไว้ พวกเราคงจะไม่รอดถึงตอนนี้”
“ถ้าเจ้าอยากจะขอบคุณใคร ไปขอบคุณเมิ่งชวน เจ้านั่นพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องพวกเจ้าทั้งสอง” หยานเฟิงกล่าวพร้อมกับหอกในมือ
“นายน้อยเมิ่งสุดยอดจริงๆนะ” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งหัวเราะ
เมิ่งชวนเพียงแต่พยักหน้าและไม่พูดอะไรกลับไป เขาหมดแรงแล้ว ในเวลาหนึ่งก้านธูปที่ผ่านมานี้ เขาตั้งใจอยู่กับการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นไปทั่ว
เขาสามารถประเมินสถานการณ์รอบตัวเขาภายในขอบเขตสิบจั้งได้อย่างง่ายดาย เขาสามารถจัดการกับปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ และเขาเองก็ยังใช้ความเร็วของเขาเพื่อปกป้องนักเกาฑัณฑ์ทั้งสองเอาไว้ แน่นอนว่าคนอื่นๆเองก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะปกป้องนักเกาฑัณฑ์ทั้งสองเอาไว้เช่นกัน
นักเกาฑัณฑ์สามารถสังหารอสูรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ในสนามรบ การปกป้องนักเกาฑัณฑ์นั้นสำคัญมาก
“พวกเจ้าทั้งสองแข็งแกร่งจริงๆ ตอนที่แม่ทัพอสูรสามตนนั้นใช้หมอกพิษ เจ้าทั้งคู่ก็พุ่งเข้าใส่ฝูงอสูรและสังหารแม่ทัพทั้งสามตัวไปได้” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา มันเป็นความทรงจำที่ไม่น่าพิศมัยเท่าไหร่ หากพวกเขาไม่ได้สังหารแม่ทัพอสูรสามตัวนั้นไป พวกเขาคงจะทนหมอกพิษเอาไว้ได้ไม่นาน
“การทดสอบรอบแรกจบแล้ว พวกเจ้าเจ็ดคนรีบกลับไปซะ” หญิงสาวชุดสีฟ้าสั่ง
เมิ่งชวนและคนอื่นๆมุ่งหน้ากลับไปที่หุบเขาในทันที
…
ราชาตงเหอ ชายผมกระเซิง และหญิงสาวชุดสีฟ้ากำลังประเมินเหล่าอัจฉริยะระหว่างการทดสอบอย่างแม่นยำ
“มีอัจฉริยะบางคนอยู่ในระดับที่สูงและมีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างนั้น พอต้องมาอยู่ในการต่อสู้ที่ตึงเครียดกลับลนลาน พวกเขาปลดปล่อยพลังออกมาได้เพียงเจ็ดส่วนจากพลังที่มี พวกเขาถึงกับบ้าเลือดพุ่งออกไปที่สนามรบ จนทำให้รูปขบวนเสียหาย ทำให้กลายเป็นขัดขาคนอื่นแทน” หญิงสาวชุดสีฟ้าส่ายหัว “พวกนี้คือคนที่มีความสามารถในการต่อสู้น้อยมาก”
“การฝึกฝนได้ดีไม่ได้หมายความว่าจะต่อสู้ได้เก่ง” ชายผมกระเซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ความสามารถในการต่อสู้นั้นสำคัญมาก เทพอสูรที่มีความสามารถในการต่อสู้สูงสามารถสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งพอๆกันได้ถึงห้าตัว
“จากอัจฉริยะทั้งร้อยคน มีถึงเจ็ดคนที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ จะดูแลพวกโง่เง่านี้ไปเพื่ออะไรกันเล่า?” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว “อัจฉริยะส่วนใหญ่ทำได้ตามที่หวัง พวกเขารู้ว่าจะต้องร่วมมือกันยังไงและไม่เป็นภาระให้แก่เพื่อนๆ มีเพียงสิบสองคนเท่านั้นที่ต่อสู้ได้เก่งจริงๆ”