ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 9
ตอนที่ 9 กายาเทพอสูร
“มาเถอะ!” เมิ่งชวนกำลังมองไปที่ด้านล่างเวที สาดทอแววตาเป็นประกาย
เมื่อหวู่ฉี่ได้ยินคำสั่งของท่านประมุขก็บังเกิดความตะลึงขึ้นมาบ้าง แต่ก็สาดทอแววตาเป็นประกาย กำลังมองเมิ่งชวนที่อยู่บนเวทีประลอง ยิ้มแย้มหัวเราะออกมา : “ได้ เช่นนั้นก็มาสู้กันสักตั้ง”
ซวบ
เขาทางหนึ่งก้าวขึ้นไปถึงเวทีประลองแล้ว เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ยังถือว่ารวดเร็วเสียยิ่งกว่ามาก
“เคร่ง” เขาได้หยิบโล่ที่อยู่แผ่นหลังมาไว้ในมือ พร้อมกับดึงดาบใหญ่ด้ามหนึ่งออกมาจากภายในโล่ ดาบใหญ่ด้ามนี้มีลักษณะเป็นสีดำ สาดเป็นประกายสีแดงเล็กน้อย
มือหนึ่งถือโล่ มือหนึ่งหยิบถือดาบใหญ่เล่มหนา หวู่ฉี่ยืนอยู่ทางด้านนั้น สงบนิ่งมิสั่นไหวดุจขุนเขาสูง พร้อมกับปลดปล่อยพลังสภาวะไร้รูปลักษณ์ออกมา จนทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ชมอยู่โดยรอบมากมายล้วนแต่อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน
“ศิษย์พี่หวู่ฉี่ฝึกปรือกายาเทพอสูร คงจะเป็นกายาเมฆาอสูรมืดแล้ว” เมิ่งชวนกล่าว นั่นได้ทำให้แม้แต่เขาเองก็ยังต้องแตกตื่นกับพลังสภาวะบรรยากาศของกายาเทพอสูรเหล่านี้
“มิผิด เป็นกายาเมฆาอสูรมืดนี้แหลาะ!” หวู่ฉี่กล่าวจบก็ได้บุกเข้าหาเมิ่งชวนอย่างกะทันหัน บุกฝ่าโจมตีเข้าใส่เพียงคนเดียว จนเหมือนดั่งมีทัพใหญ่กดดันเข้ามา!แต่กลับหาได้มีความพลิกแพลงของกระบวนท่าไม่ แต่เป็นเพียงการโจมตีที่อาศัยความเร็วมหาศาลอย่างหมดจด
“ตูม”
หวู่ฉี่ที่กำลังถือโล่พุ่งเข้ามาใกล้จนถึงตรงหน้า รวดเร็วดุจดั่งภาพมายา ใช้โล่เข้ากระแทกใส่เมิ่งชวนไปในบัดดล พลังทำลายเช่นนี้นับว่าสามารถที่จะถล่มบ้านเรือนหลังหนึ่งจนแหลกลาญได้แล้ว
เพียงแต่เมิ่งชวนที่ขยับเท้าเคลื่อนไหว ก็ได้ขยับโล่นี้โจมตีเข้าไปยังทางด้านของหวู่ฉี่ เกิดเป็นประกายดาบฟันเข้าใส่หวู่ฉี่
“ตายซะ” วินาทีนั้นโล่ของหวู่ฉี่ได้แหวกม่านอากาศเข้ามา พร้อมกับดาบเล่มใหญ่ที่ได้ถูกฟันเข้ามาด้วยความช่ำชองเป็นอย่างยิ่ง ปะทะเข้ากับดาบนั้นของเมิ่งชวนเข้าด้วยกัน
ครืน——
ดาบสองด้ามปะทะเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นสะเก็ดไฟสาดกระเซ็น
หวู่ฉี่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวจึงค่อยทรงกายได้มั่นคง ด้านเมิ่งชวนกลับต้องกระเด็นลอยไปหลายจั้งจึงค่อยทรงตัวได้
“กระตุ้นเคล็ดวิชาลับ ถึงกกับสามารถระเบิดพลังออกมาได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว?” หวู่ฉี่ถึงกับต้องหรี่ตาลง
ฝึกปรือระดับปุถุชน:สร้างรากฐาน กลั่นลมปราณ ชำระแก่นแท้ ก่อกำเนิด ไร้ตำหนิ
ในส่วนนี้การฝึกปรือสามขั้นแรกล้วนแต่ยังนับว่าเป็นชั้นสามัญ สามารถที่ฝึกปรือจนเกิดเป็นลมปราณ อีกทั้งยังทำให้กายาปุถุชนค่อยๆ ที่จะแข็งแกร่งขึ้น ด้วยความห่างชั้นในด้านนี้จึงยังมิถือว่าแตกต่างกันมากนัก
แต่ความหมายของ ‘ก่อกำเนิด’ ในขั้นที่สี่ ก็คือการหลุดพ้นและไปก่อกำเนิด!เพราะขั้นที่หนึ่งจะเริ่มฝึกปรือกายาเทพอสูรใหม่ จะทำให้คนธรรมดาเริ่มถือครองพลังอันมหาศาลของเทพอสูรมาได้บางส่วน นี่จึงเป็นระดับที่เพิ่มพูนขึ้นมาได้จนน่าตกใจกันอยู่บ้าง ที่ฝึกปรือหวู่ฉี่ก็จะเป็นกายาเมฆาอสูรมืด และเมื่อเข้าถึงขั้นสูงสุดของระดับก่อกำเนิด พลังและความเร็วของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นจนเป็นที่น่าตกใจ เรียกได้ว่าห่างไกลไปจากขั้นสูงสุดของระดับชำระแก่นแท้ไปอย่างห่างไกล
ถ้าหากเป็นการปะทะกันระหว่างระดับชำระแก่นแท้ตามปกติ หากว่าเป็นการใช้ดาบคู่ฟาดฟันเข้ามา เขาก็ยังสามารถใช้ฟันระดับชำระแก่นแท้ให้ตายได้ในดาบเดียว
ต่อให้เป็นผู้อยู่ในชำระแก่นแท้จะถือโล่เอาไว้ ก็มีแต่ต้องถูกฟันจนกระอักเลือดในดาบเดียว
ช่างถือเป็นพลังที่มหาศาลมากจนเกินไปแล้ว!
“เขาที่พึ่งจะระเบิดพลังอันมหาศาลออกมา จนใกล้เคียงกับพลังเจ็ดส่วนของข้า นี่ก็เหมือนกับได้ถือครองขีดพลังในช่วงตอนปลายในระดับก่อกำเนิดของข้าเองแล้ว” หวู่ฉี่เองก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง : “นี่ก็คือพลังอำนาจของเคล็ดวิชาลับอย่างงั้นหรือ?”
เขาที่ทราบความน่าสะพรึงกลัวของเคล็ดวิชาลับมาตั้งแต่แรก
อีกทั้งในศึกนี้ เขาเองก็คงยากที่จะมีชัยเหนือกว่าได้
“ข้ายังนับว่ามีความหวังที่จะมีชัยเหนือกว่าได้อยู่” หวู่ฉี่กัดฟันพร้อมกับพุ่งเข้ามาอีกครั้ง โถมเข้าใส่ดุจดั่งพลทหารม้าอันเกรียงไกร บุกทะลวงเข้ามาอย่างรุนแรง
“ข้าหยิบยืมเคล็ดวิชาลับเพื่อระเบิดพลังออกมาแต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าเขาอยู่บ้าง สามใบไม้ร่วง อย่างไรก็ตามก็ยังถือเป็นเคล็ดวิชาลับที่มุ่งเน้นไปที่ความรวดเร็วอยู่ดี” เมิ่งชวนลอบกล่าวกับตัวเอง แต่เมื่อขยับร่างกายในจุดที่ห่างออกไปก็ได้มี ‘เมิ่งชวน’ ปรากฏขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
“อยู่ทางนี้สินะ!” หวู่ฉี่ฝึกปรือกายาเมฆาอสูรมืด โดดเด่นได้เหนือกว่าในการประสาทสัมผัส จนสามารถสัมผัสได้ถึงการบุกเข้ามาจากเงาที่อยู่อีกทางด้านหนึ่ง
เมื่อเทียบเปรียบกับป๋ายกวนยังนับว่ามีพลังที่จะสวนกลับได้อยู่บ้าง
หวู่ฉี่ แม้แต่เคล็ดวิชาลับ’ สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ จะมีความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมากกระนั้นก็ยังสัมผัสได้ จนเกิดเป็นการตอบสนองได้อย่างทันควัน
“ตูม” ดาบด้ามหนาของเขา พลันฟาดฟันเข้ามาอีกหนึ่งดาบ
“เคร้ง!!!”
ดาบของเขากลับฟันใส่อากาศธาตุ แต่โล่ในมือของเขากลับยังสามารถต้านรับดาบที่ลึกลับซับซ้อนของเมิ่งชวนเอาไว้ได้
“เร็วยิ่งนัก ข้ายังต้องฟันโดนเพียงอากาศธาตุแล้ว” หวู่ฉี่ร้อนรนขึ้นจับใจ โชคยังดีที่เขาได้ใช้โล่คอยระวังป้องกันอยู่โดยรอบ มือหนึ่งถือโล่มือหนึ่งถือดาบใหญ่ กระตุ้น《สองผสานเคล็ดดาบทักษะโล่》อันเป็นสุดยอดวิชาประจำสำนักของสำนักกระจกทะเลสาบที่แท้จริงออกมา การใช้สุดยอดวิชาประจำสำนักก็ย่อมนับว่ามีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดได้เป็นอย่างมาก ดังนั้นหวู่ฉี่จึงได้เลือกสุดยอดวิชาประจำสำนักที่มีความเหมาะสมกับเขาอย่างกายาเมฆาอสูรมืด
กายาเมฆาอสูรมืด ได้ผนวกเคล็ดดาบทักษะโล่สองผสานเข้าด้วยกัน
ในด้านการป้องกันแทบจะไม่มีช่องโหว่เลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังมีการโจมตีที่ดุดัน เขาเองก็นับว่าเป็นศิษย์อันดับหนึ่งในระดับก่อกำเนิดอันเลื่องชื่อของสำนักกระจกทะเลสาบ
“สองผสานเคล็ดดาบทักษะโล่ หนึ่งหยิน หนึ่งหยาง ย่อมต้องร้ายกาจอย่างแน่นอน กระนั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะสามารถต้านข้าได้สักกี่กระบวนท่า” เสียงของเมิ่งชวนยังคงดังก้อง บุกทะลวงจู่โจมเข้ามา
“ไม่ต้องแล้ว เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” ทางด้านที่หวู่ฉี่ยืนอยู่นั้น ดาบโล่ได้ผสานเข้าด้วยกันเพื่อต้านรับดาบที่พลิ้วไหวรวดเร็วของเมิ่งชวน
“พรวด”
“พรวด”
“ถี่”
เมิ่งชวนได้กระตุ้นท่าร่างจนถึงความเร็วสูงสุด ประกายดาบสายแล้วสายเล่า ที่กำลังกระตุ้นใช้ออกมาอยู่ก็คือวิชาดาบใบไม้ร่วง
ในตอนแรกเริ่มหวู่ฉี่ที่ได้ต้านทานยังถือว่ามีความกล้าหาญอยู่บ้าง แต่เมิ่งชวนที่ใช้ออกด้วยดาบแล้วดาบเล่า แทบจะเกิดขึ้นภายใต้ลมหายใจเดียว จนทำให้เขาที่ต้องคอยต้านทานยิ่งมาก็ยิ่งกินแรงมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดสภาวะการป้องกันต่อกระบวนท่าสุดท้ายก็เกิดความเปลี่ยนแปลง เมิ่งชวนได้ผ่านการใช้วิชาดาบต่อเนื่อง ทำลายการป้องกันของเขาที่แทบจะไร้ซึ่งจุดอ่อนจนยิ่งฟาดฟันก็ยิ่งปรากฏให้เห็นชัดขึ้น
เพียงแค่หกดาบ ก็สามารถกดดันจนหวู่ฉี่ยังถึงกับต้องซวนเซถอยหลัง กล้ำกลืนต้านรับต่อไป
“เช้ง”
ประกายอันเฉียบคมพลันแล่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
หวู่ฉี่เองก็ไม่อาจใช้โล่เข้าต้านทานได้ทัน ปลายดาบก็ได้จ่อเอาไว้ที่ลำคอของเขาเอาไว้แล้ว
“นี่……” หวู่ฉี่ที่กำลังก้มหน้ามองดาบด้ามนี้จ่ออยู่ที่ลำคอ จับจ้องมองเมิ่งชวนที่อยู่ตรงหน้า
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้ประมือกับผู้ถือครองเคล็ดวิชาลับในระดับชำระแก่นแท้ อีกทั้งยังต้องพ่ายแพ้อย่างอเนจอนาถ
“ข้าแพ้แล้ว” หวู่ฉี่กล่าวอย่างหมดแรง : “เคล็ดวิชาลับนับว่าน่าหวาดกลัวกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ยิ่งนัก ไม่เพียงแต่จะสามารถทำให้เจ้าระเบิดความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าได้ แม้กระทั่งวิชาดาบก็ยังมีความสำเร็จที่เฉียบคมกว่ามาก”
เมิ่งชวนพยักหน้า
มิผิด
เคล็ดวิชาลับ ก็คือกายใจทักษะทั้งสามอย่างรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แน่นอนว่าย่อมสามารถที่จะระเบิดพลังความเร็วออกมาได้อย่างมากมายมหาศาล
ครั้งหนึ่งเทพอสูรบรรพกาลได้เคยกล่าวเอาไว้ กายหยาบของมนุษย์จะสามารถเสริมพลังได้เป็นอย่างมาก คนผู้หนึ่งที่เป็นเพียงคนสามัญมิเคยฝึกปรือมาก่อน การจะยกวัตถุนับร้อยชั่งก็ยังเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่กินแรง แต่ถ้าหากสามารถปรับสมดุลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ปรับสมดุลพลังกายที่มาจากกระดูกทุกข้อ กล้ามเนื้อทุกส่วน เขาผู้นั้นก็จะสามารถระเบิดพลังกายโดยที่สามารถยกสิ่งที่มีน้ำหนักนับหมื่นชั่งได้! แน่นอนว่านั้นย่อมเป็นพลังกายที่ได้รับการปรับสมดุลทั้งหมดจนอยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น
เพียงแต่ตามความเป็นจริง วิชาดาบวิชากระบี่ที่นับเป็นขั้นศิลปะที่เหนือล้ำยิ่งกว่า การจะสามารถปรับสมดุลได้ยิ่งนับเป็นเรื่องที่น่าตกใจกว่ามากเลยทีเดียว
การผสานหนึ่งขั้นสู่วิชาดาบสู่ศิลปะเฉพาะทางย่อมถือเป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่
เคล็ดวิชาลับสามใบไม้ร่วง ที่สามารถเพิ่มพูนพลังได้อย่างล้นหลาม เพิ่มพูนความเร็วจนเป็นที่น่าตกใจ! ทำให้พลังของเมิ่งชวนเข้าถึงระดับของหวู่ฉี่ (ขั้นสูงสุดระดับก่อกำเนิด) ได้ประมาณเจ็ดส่วนได้ รวดเร็วได้จนสามารถกดดันหวู่ฉี่ อีกทั้งยังสามารถควบคุมวิชาดาบได้แยบคายยิ่งกว่า กระบวนท่าดาบได้ถูกผนวกผสานเข้าสู่ระดับที่สมบูรณ์แบบ ไม่เพียงแต่แค่การใช้ดาบอย่างต่อเนื่องเจ็ดดาบ อีกทั้งยังสามารถทลายสองผสานเคล็ดดาบทักษะโล่ที่เพิ่มพูนพลังป้องกันขึ้นอีกมากมายได้
“นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าก็จะถือเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งในหมู่ศิษย์หลายพันคนในสำนักกระจกทะเลสาบแล้ว” หวู่ฉี่จับจ้องมองไปที่เมิ่งชวนพร้อมทั้งกล่าวออกมา : “เจ้าก็คือศิษย์พี่ใหญ่ในรุ่นนี้ของสำนักกระจกทะเลสาบแล้ว”
แม้ว่าสำนักกระจกทะเลสาบจะยึดหลักผู้เข้าสำนักก่อนหลัง
แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนัก……ก็ย่อมเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักอยู่แล้ว หลังจากที่โค่นล้มหวู่ฉี่ลง เมิ่งชวนย่อมสามารถสำเร็จเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักกระจกทะเลสาบ
กล่าวจบ หวู่ฉี่ก็ได้เดินลงจากเวทีประลองไปในทันที
“ศิษย์พี่ใหญ่เมิ่งชวน!” ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงตะโกนร้องให้กำลังใจจากเหล่าศิษย์น้องทั้งหลายดังสนั่น
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
ศิษย์พี่ใหญ่ ถึงอย่างไรก็ต้องดูว่ามีบารมีมากพอหรือไม่
ศิษย์พี่ใหญ่ที่เคยได้รับการยอมรับหลายแต่หลายคนของสำนักกระจกทะเลสาบที่ผ่านมา ล้วนแต่ไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่าบารมี เพราะไม่ได้มีความสามารถที่โดดเด่นอะไรมากนัก อีกทั้งยังไม่ได้รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับ!อีกทั้งยังอยู่ห่างไกลจากคำว่าทักษะศิลปะอีกไกลโข เช่นนั้นไม่แน่ว่าก็คงจะต้องถูกบรรดาศิษย์น้องก้าวข้ามไปได้ภายใต้การประลองยุทธ์อย่างแน่นอน!
แต่เมิ่งชวนกลับแตกต่างออกไป!
เขาที่รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับ ในยามที่อยู่ในระดับชำระแก่นแท้ก็สามารถโค่นล้ม ‘ขั้นสูงสุดระดับก่อกำเนิด’ อย่างหวู่ฉี่ลงได้ อีกทั้งเมิ่งชวนอีกไม่นานก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด เมื่อถึงเวลาศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ ที่นับว่ามีความสนิทสนมกับเขากันอยู่บ้างก็ยิ่งเริ่มคุยโอ่อวดกันมากขึ้น……ตัวอย่างเช่นแม้กระทั่งระดับก่อกำเนิดก็ยังไม่สามารถรับกระบวนท่าของเขาได้แม้สักกระบวนท่าเดียว!
คนผู้หนึ่งที่นับได้ว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ไร้ผู้ต้านอย่างแน่นอน จึงจะสามารถทำให้เหล่าศิษย์น้องบังเกิดความเชื่อมั่นได้อย่างหมดใจ
“ฮาฮาฮา……เอาละ ลงมากันเถอะ” ท่านประมุขเก๋อหยู่ก็ได้หัวเราะร่า ยากนักที่จะมีบรรยากาศเช่นนี้ได้ : “ให้เหล่าศิษย์น้องระดับชำระแก่นแท้คนอื่นๆ ออกมาทำการประลองทำการตัดสินชิงอันดับกันอีกสักสองคนเถอะ”
“ขอรับ” เมิ่งชวนจึงค่อยได้เดินลงไปทันที
“คารวะศิษย์พี่เมิ่ง” ว่านหมางเหลียนผสานมือแล้วกล่าวด้วยความเคารพ
“คารวะศิษย์พี่เมิ่ง” บรรดาศิษย์ตึกขุนเขาธาราที่อยู่โดยรอบก็ได้ยิ้มแย้มและแสดงการคารวะ ยังมีศิษย์ร่วมสำนักกันอีกบางส่วนที่ต่างก็บังเกิดความคิดที่จะได้สานสัมพันธ์อันดีกันขึ้นมาบ้าง พวกเขาต่างก็ทราบดีว่าพวกเขาและเมิ่งชวนนั้นแทบจะแตกต่างกันเกินไปแล้ว ซึ่งนั้นก็คือสุดยอดผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งอันดับสองของทั่วทั้งเมืองตงหนิง ความหวังสู่การสำเร็จเป็นเทพอสูรในอนาคต
……
ซวบซวบซวบ!!!
ลูกศิษย์ตระกูลเมิ่งแต่ละคนต่างก็กำลังกระตุ้นวิชาตัวเบา มุ่งทะยานไปยังจวนบรรพชน
“เดรัจฉานน้อยอย่างพวกเจ้าแต่ละคน จะหนีไปกันเร็วถึงเพียงนี้ไปทำไมกัน” ประตูหลักจวนบรรพชนตระกูลเมิ่งที่มีความใหญ่โตยิ่ง ย่อมต้องมีเหล่าองครักษ์ประจำตระกูลเฝ้ากันอยู่ บรรดาคนในตระกูลต่างก็ย่อมรู้จักเหล่าผู้เยาว์ภายในตระกูลเหล่านี้กันอยู่แล้ว
“เมิ่งชวนรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับแล้ว” บุคคลแรกที่ตะโกนออกมาเสียงดังก็คือผู้เยาว์ที่มาจากตระกูลเมิ่ง จนทำให้เหล่าคนในตระกูลที่เป็นองครักษ์เฝ้าประตูต่างก็ตะลึงลานกันขึ้นมาบ้าง ในยามที่พวกเขายังตกอยู่ในอาการตกตะลึงอยู่ ผู้เยาว์นั้นก็ได้มุ่งหน้าตรงดิ่งเข้าไปยังภายในจวนบรรพชนพร้อมกับตะโกนขึ้นเสียงดังอย่างต่อเนื่องว่า: “เมิ่งชวนรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับแล้ว!”
ลูกศิษย์ตระกูลเมิ่งคนอื่นจึงค่อยกระโจนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
แต่ละคนล้วนแต่ตะโกนกันเสียงดังกึกก้อง
“เมิ่งชวนรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับแล้ว”
“ศิษย์พี่เมิ่งรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับแล้ว”
“เมิ่งชวน ได้รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับในสำนักกระจกทะเลสาบแล้ว!”