ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 94
ตอนที่ 94 ต่างคนต่างชะตาชีวิต (บทสุดท้ายของภาค)
‘จดหมายจากตระกูลอย่างนั้นหรือ?’ เมิ่งชวนรับจดหมายและอ่าน จากพ่อ? ‘พ่อพึ่งจะกลับไปเมื่อสองวันก่อนนี้เอง ทำไมถึงเขียนจดหมายมาไวจังล่ะ?’
แม้จะสงสัยว่าในจดหมายนั้นเป็นเรื่องอะไรแต่เขาก็ไม่ได้อ่านในทันที เขาหยิบเอายา สมบัติสมุนไพรและหนังสือสีดำเดินกลับไปที่ถ้ำของเขา
ตั้งแต่ที่เขาได้เป็นศิษย์ของเขาหยวนชู เขาก็อ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดตลอดเวลา ไม่ได้กลับไปที่ถ้ำของตนเลยซักครั้ง
…
บนจิ้งหมิงเฟิง ตรงพื้นที่ที่ค่อนข้างห่างไกล เมิ่งชวนนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ขณะมองทะเลเมฆที่กว้างใหญ่ล่องลอยผ่านหุบเขาไป บนยอดเขาเองก็มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดเวลา
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
‘ท่านย่าทวดได้จากไปแล้ว’ เมิ่งชวนเก็บจดหมายของพ่อไป มันเป็นจดหมายที่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้นเอง
ในเช้าวันที่ 23 ธันวาคม พ่อได้รีบกลับไปเมืองตงหนิง เขาบอกข่าวดีกับเมิ่งเซียนกูและเหล่าคนในตระกูล
ย่าทวดของเขานั้นบาดเจ็บหนักมาตั้งแต่การบุกรุกของอสูร เธอใช้พละกำลังที่มีทั้งหมด จนทำให้ร่างของเธอตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากว่าครึ่งปี แต่ถึงอย่างนั้น เพราะความมุ่งมั่นของเธอ เธอก็รอจนกว่าจะได้ข่าวว่าเมิ่งชวนได้เข้าสู่เขาหยวนชู หลังจากที่เธอได้ข่าวนี้มันก็ทำให้เธอมีความสุขและสบายใจ สิ่งที่ติดค้างในใจก็หายไปหมด และนั่นทำให้อาการของเธอทรุดลงอย่างรวดเร็ว
และในคืนนั้น หลังจากที่ย่าทวดได้สั่งเสียเหล่าคนในตระกูล เธอก็จากไปพร้อมกับรอยยิ้ม
มีจดหมายสองฉบับ อันหนึ่งมาจากพ่อของเขาและอีกอันมาจากย่าทวดของเขา
เมิ่งชวนค่อยๆคลี่จดหมายของย่าทวด
“เมิ่งชวน ข้าดีใจมากที่เจ้าได้อันดับหนึ่งในการสอบเข้าของเขาหยวนชู แต่ข้าคงจะไม่ได้เจอเจ้าอีกต่อไปแล้ว คืนนี้ข้าคงจะต้องไปแล้ว สิ่งที่ข้าอยากจะบอกเจ้าข้าจะเขียนมันลงในจดหมายนี้ อนาคตของเจ้านั้นยาวไกลกว่าของข้ามาก ข้าทำได้แค่ให้คำแนะนำแก่เจ้านิดหน่อยในฐานะเทพอสูรที่อยู่มาแปดสิบปี
“ข้อแรก พยายามพึ่งสหายร่วมรบของเจ้าในสนามรบ ในการต่อสู้เสียงเป็นเสี่ยงตายเช่นนี้ สหายของเจ้าสามารถช่วยชีวิตเจ้าได้หากเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน อย่ามุทะลุเพียงเพราะว่าตนนั้นแข็งแกร่ง อย่างที่สอง พยายามเก็บซ่อนท่าไม้ตายเอาไว้ตลอด แม้จะเป็นตอนที่สังหารศัตรูก็พยายามเก็บไว้ให้เป็นความลับ พวกอสูรเก็บข้อมูลของเทพอสูรทุกคน เมื่อความลับของเจ้าถูกเปิดเผย เจ้าก็จะตกอยู่ในอันตราย อย่าบอกใครเด็ดขาดว่าวิชาที่ดีที่สุดของเจ้าคืออะไร บอกไปคนหนึ่งก็จะกลายเป็นสองคน จากสองคนก็จะกลายเป็นสาม เป็นสิบ และก็จะมีคนรู้อีกมากมาย”
“แม้เทพอสูรจะต่อสู้เพื่อมนุษย์ชาติ แต่มันก็ยังมีคนทรยศ พวกมันร่วมมือกับอสูรหากมีผลประโยชน์บางอย่าง พยายามอย่าเปิดเผยความสามารถของเจ้ามากเกินไป เก็บพลังที่แท้จริงเอาไว้เป็นความลับ”
“ข้อที่สาม ยิ่งเจ้าแข็งแกร่งเท่าไหร่ ในสนามรบเจ้าก็จะยิ่งมั่นใจเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าประมาทเกินไป พยายามหาทุกโอกาสที่จะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้บนเขาหยวนชู ยิ่งเจ้าแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี! ข้าได้เห็นเทพอสูรมากมายที่ต้องตาย จำเอาไว้ ยิ่งเจ้าแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
“ไม่จำเป็นต้องโศกเศร้าเสียใจให้กับการจากไปของข้า ชีวิตของข้าเริ่มมาจากคนที่ไม่ได้สำคัญอะไรเลย ในตอนที่ข้าได้เข้าถึงพลังข้าก็อายุ 22 ไปแล้ว ไม่มีโอกาสได้เข้ารับการทดสอบของเขาหยวนชูด้วยซ้ำ ข้าเป็นได้แค่ศิษย์นอก หลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมามากมายและด้วยโชคที่มากพอ ข้าก็ได้มาเป็นเทพอสูร บางครั้งสหายของข้าก็สกัดอสูรที่เข้ามาโจมตีข้า และทำให้ข้ายังมีชีวิตได้มาจนถึงวันนี้หลังจากแปดสิบปีของการเป็นเทพอสูร”
“ข้าขึ้นนำตระกูลเมิ่งเพื่อให้ตระกูลกลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง จนทำให้กลายเป็นหนึ่งในตระกูลเทพอสูรทั้งห้าในเมืองตงหนิง ข้ารอดมาได้นานพอที่จะเห็นเจ้าเข้าสู่เขาหยวนชูก่อนตาย ข้าไม่มีอะไรติดค้างอีกแล้ว”
“เส้นทางของเทพอสูรนั้นยากลำบาก เจ้าต้องก้าวเดินไปอย่างระมัดระวัง ถ้าเป็นไปได้ก็สังหารราชาอสูรให้ได้เยอะๆ! หาเรื่องอะไรมาให้ข้าโม้ให้สหายเก่าของข้าฟังในโลกหน้าบ้างนะ”
เมิ่งชวนเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขณะอ่านจดหมาย เขารู้ว่าย่าทวดของเขาได้จากไปอย่างสงบ แต่ว่าเขากลับรู้สึกแย่
เธอใช้เงินสะสมของตระกูลเพื่อแลกเป็นหยดไขกระดูกหยกเทพอสูร และเธอยังโอนแต้มทั้งหมดที่สะสมมาตลอดแปดสิบปีในฐานะเทพอสูรเพื่อช่วยให้เขาฝึกวิชาได้ไวมากขึ้นในเขาหยวนชูอีกด้วย
เธอส่งต่อทุกอย่างมาให้เขา
ท่านย่าทวด ข้าจะนำตระกูลให้ได้ดี ตาของเมิ่งชวนแดงนิดหน่อย เขามองไปที่ทะเลเมฆที่กว้างใหญ่และพูดเบาๆ “ข้าจะจดจำคำสอนทั้งสามอย่างของท่าน และข้าก็จะสังหารราชาอสูรให้มากกว่านี้ด้วย ท่านย่าทวด หลับให้สบายขอรับ”
เมิ่งชวนมองไปทางตะวันออก ราวกับเขาเห็นบ้านเกิดที่ย่าทวดของเขาได้จากไป
ย่าทวดของเขาจากไปแล้ว เทพอสูรเมิ่งหยาน ผู้ที่ตลอดชีวิตได้ปกป้องมนุษย์ชาติได้จากไปแล้ว หากเทียบกับสหายหลายๆคนของเธอแล้วเธอเป็นคนที่โชคดี ที่ได้กลับมาบ้านเกิดและเฝ้าดูเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ และยังมีเหล่าคนในตระกูลคอยอยู่เคียงข้างก่อนตาย
…
เมิ่งชวนอ่านหนังสือในห้องสมุดต่อไปอีกสองสามวัน แม้ว่าเขาจะตัดสินใจเลือกฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังอ่านหนังสือของร่างอสูรสมุทรนิรันดร์ ร่างเทพวายุอัสนี ร่างเทพสว่างโชติ และร่างเทพอสูรอื่นๆด้วยเช่นกัน
หลังจากอ่านจบ เขาก็ไปที่ศาลาชี้แนะ
“เจ้าตัดสินใจได้แล้วรึ?” ผู้อาวุโสอี่มองเมิ่งชวน “เมื่อเจ้าตัดสินใจไปแล้ว เจ้าจะเลือกร่างเทพอสูรร่างอื่นไมไ่ด้ไปอีกสามปีนะ”
“ขอรับ ข้ามั่นใจ” เมิ่งชวนพยักหน้า “ร่างอสูรตัดสายฟ้าขอรับ” แม้ว่าเขาจะฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าไม่ได้ แต่เขาก็สามารถเลือกร่างเทพอสูรระดับสูงแทนได้อยู่ดี ร่างเทพวายุอัสนี ส่วนร่างอสูรสมุทรนิรันดร์นั้นไม่ใช่แนวเขา
“ได้สิ” ผู้อาวุโสอี่พยักหน้าเล็กน้อย เพียงสะบัดมือก็มีหนังสือสีดำลอยมาจากชั้นหนังสือข้างๆ “นี่คือสูตรการฝึกของร่างอสูรตัดอัสนี จดจำมันไว้ และส่งมันกลับมาถ้าเจ้าเสร็จแล้ว”
เมิ่งชวนเปิดหนังสือเล่มหนานั่งขัดสมาธิลงอ่านตรงนั้น เขาเปิดมันออก มีตัวอักษรและภาพในนั้น มีพลังสายฟ้าและพลังวินาศปกคลุมอยู่ในทุกหน้ากระดาษ ในขณะที่เขาจมอยู่กับโลกของหนังสือ สติของเขาก็เข้าไปอยู่ในนั้นจริงๆ
รอบๆข้างดูพร่ามัว
จากนั้นเขาก็เห็นชายร่างสูงผมกระเซิงนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาเป็นคนเดียวกับคนที่อยู่ในชิ้นส่วนกระบี่ตัดสายฟ้าที่เขามีเลย
กระแสพลังวินาศหนาเตอะกระจายออกมาจากร่างของเขา หมอกสีดำนั้นแผ่ออกไปทั่วทิศทางพร้อมกับสายฟ้าที่พันรอบตัวเขา
เขาลืมตาขึ้นมา และเมิ่งชวนก็สบตาเข้ากับเขา ข้อมูลจำนวนมหาศาลพวยพุ่งเข้ามา
มันเป็นวิธีการฝึกฝนของร่างอสูรตัดอัสนีอย่างละเอียด มันเหมือนกับที่ในหนังสือเขียนบรรยายเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ภาพการฝึกวิชาเหล่านั้นกลายเป็นชายตรงหน้าแสดงให้ดูโดยตรง และมันก็ติดลึกอยู่ในความทรงจำของเมิ่งชวน
จากนั้นไม่นาน เมิ่งชวนก็กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“เจ้าคงจะเสร็จแล้ว” ผู้อาวุโสอี่โบกมือและเก็บหนังสือเล่มหนาออกไป
เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “นี่เป็นเพียงพื้นฐานของร่างอสูรตัดอัสนี มีแค่ข้อมูลของระดับยาเมฆา แดนอมตะและมหาสุริยัน นอกจากนั้นก็ไม่มีอีกเลย”
“นี่เป็นหนังสือเล่มแรกของร่างอสูรตัดอัสนี ข้อมูลของระดับเดือนมืดมิดและสูงกว่านั้นจะอยู่ในเล่มที่สอง” ผู้อาวุโสอี่ยิ้ม
“แล้วเล่มที่สองอยู่ไหนหรือขอรับ?” เมิ่งชวนถาม
“ถึงมันวางอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าก็ยังเรียนรู้มันไม่ได้อยู่ดี” ผู้อาวุโสอี่ยิ้ม “เจ้าต้องควบแน่นแก่นสารแห่งจิตของเจ้าให้ได้ก่อนถึงจะได้รับมรดกเล่มที่สอง”
“ท่านผู้อาวุโสขอรับ แก่นสารแห่งจิตคืออะไรหรือขอรับ?” เมิ่งชวนถามออกมา เขาอ่านหนังสือมากมายในห้องสมุด แต่สิ่งที่เขารู้ก็มีแค่แก่นสารแห่งจิตคือกุญแจสำคัญในการเป็นเทพอสูรระดับเดือนมืดมิด
ผู้อาวุโสอี่ยิ้ม “มนุษย์นั้นมีจิตวิญญาณ พวกมันอยู่ในทะเลแห่งสติที่อยู่ระหว่างคิ้วของเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถมองเห็นหรือรับรู้พวกมันได้ หากคนๆนั้นสามารถฝึกฝนจิตวิญญาณของตนได้ มันก็จะควบแน่นเป็นแก่นสารแห่งจิต และพวกเขาก็จะสามารถเห็นวิญญาณของตนได้ มีเพียงศิษย์ของเขาหยวนชูที่ไปถึงระดับมหาสุริยันเท่านั้นถึงจะเรียนรู้วิธีการฝึกฝนแก่นสารแห่งจิต ถึงข้าจะมอบให้เจ้าเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่เจ้าก็จะไม่สามารถฝึกฝนจิตวิญญาณได้อยู่ดี”
เมิ่งชวนหวั่นใจ
‘มนุษย์มีจิตวิญญาณที่อยู่ท่ามกลางทะเลแห่งสติในระหว่างคิ้วหรือ? มันไม่สามารถรับรู้หรือมองเห็นได้? และเมื่อควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้ก็จะสามารถมองเห็นจิตวิญญาณได้อย่างนั้นหรือ?’
คนตัวเล็กที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของข้านั้นคือแก่นสารแห่งจิต? เมิ่งชวนได้แต่เดา จากที่ผู้อาวุโสอี่กล่าว การฝึกฝนแก่นสารนั้นทางเขาหยวนชูจะมอบให้แก่เทพอสูรระดับมหาสุริยันเท่านั้น
“พวกอสูรเองก็พยายามตามหาความลับของแก่นสารแห่งจิตเช่นกัน เพราะฉะนั้นเจ้าต้องเก็บมันเป็นความลับหากเจ้าได้เรียนเรื่องของแก่นสารแห่งจิตไปแล้ว” ผู้อาวุโสอี่กล่าว “หากเจ้าเผยแพร่ความลับนั้น จะถือว่าเจ้าเป็นผู้ทรยศในทันที”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า “มีเพียงเทพอสูรระดับมหาสุริยันเท่านั้นที่จะฝึกแก่นสารแห่งจิตได้อย่างนั้นหรือขอรับ?”
“จิตวิญญาณนั้นติดตัวพวกเรามาตั้งแต่เกิด” ผู้อาวุโสอี่กล่าว “บางคนเกิดมาพร้อมกับวิญญาณที่อ่อนแอ บางคนก็เกิดมาพร้อมกับวิญญาณที่แข็งแกร่ง อันที่จริงแล้วในประวัติศาสตร์ก็เคยมีคนที่เกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าหากมีอัจฉริยะอย่างนั้นปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ เหล่าอสูรคงจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะลอบสังหารเขาให้ได้เป็นแน่ สามพันปีที่ผ่านมานี้ พวกเราไม่เคยได้ข่าวว่ามีใครเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตอีกเลย ทุกๆคนฝึกฝนจิตวิญญาณได้หลังจากถึงระดับมหาสุริยันกันทั้งนั้น หลังจากพยายามอย่างหนักหลายปี พวกเขาก็จะสามารถควบแน่นแก่นสารแห่งจิตขึ้นมาได้”
“เทพอสูรระดับมหาสุริยันจำนวนมากติดอยู่ในขั้นควบแน่นแก่นสารแห่งจิตนั่นแหละ จึงทำให้พวกเขากส่วนมากกลายเป็นเทพอสูรระดับเดือนมืดมิดไม่ได้ อธิบายเรื่องนี้มากไปก็ไม่ได้อะไรในตอนนี้ มันยังไวไปสำหรับเจ้า” ผู้อาวุโสอี่โบกมืออีกครั้ง หนังสือกองหนึ่งสิบเล่มลอยมา
“หนังสือทั้งสิบเล่มนี้เป็นบันทึกข้อมูลจากศิษย์ของเขาหยวนชูที่ฝึกร่างอสูรตัดอัสนีตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกมันละเอียดมาก มันน่าจะตอบทุกคำถามที่เจ้าจะมีในการฝึกได้” ผู้อาวุโสอี่ส่งหนังสือสิบเล่มให้เมิ่งชวน “เจ้าสามารถเอาหนังสือสิบเล่มนี้กลับไปได้ แต่อย่าเอาลงจากเขา” เมื่อพูดจบเขาก็หลับตาทำสมาธิต่อ
“ขอรับ” เมิ่งชวนรับไปด้วยท่าทางนอบน้อม “ข้าขอลา”
จากนั้นเขาก็ออกจากศาลาชี้แนะไป
หลังจากที่เมิ่งชวนจากไป ผู้อาวุโสอี่ก็เปิดตาขึ้นและมองออกไป เขากระซิบกับตัวเอง “จิตรับรู้ของเขาสูงมาก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหลายร้อยปี หรือว่าเขาจะเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตกันนะ? บางทีข้าคงจะคิดมากเกินไป ถึงอย่างไรข้าก็บอกทุกอย่างที่จำเป็นไปแล้ว” จากนั้นเขาก็หลับตา
…
‘ในสามพันปีที่ผ่านมา พวกเราไม่เคยได้ยินข่าวคราวว่ามีใครเคยเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตเลย เทพอสูรทุกคนต่างฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตในระดับมหาสุริยัน’ เมิ่งชวนรู้สึกหวั่นใจด้วยความกลัวอย่างช่วยไม่ได้หลังจากที่ออกมาจากศาลาชี้แนะ ‘ถ้าหากพวกอสูรรู้เรื่องนี้เขา พวกมันจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อลอบสังหารเขาน่ะหรือ? โชคดีที่ข้าเชื่อฟังที่ท่านย่าทวดบอก ข้าไม่ได้ใช้พลังแห่งวิญญาณต่อหน้าคนอื่นๆในการสอบเข้า’
‘ถึงอย่างนั้น ผู้อาวุโสอี่ตั้งใจบอกเรื่องนี้กับข้าหรือเปล่า? หรือมันแค่เรื่องบังเอิญ ไม่ ผู้อาวุโสอี่เป็นเทพอสูรระดับราชา เป็นแผ่นหลังของมนุษย์ชาติ เขาต่อสู้เพื่อมนุษย์มาทั้งชีวิตจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ไม่จำเป็นที่จะต้องถามถึงความซื่อสัตย์ของเขาแม้แต่น้อย ไม่ว่าเขาจะตั้งใจบอกมาหรือไม่ แต่มันก็เป็นคำแนะนำจากความปราถนาดี’
…
เมิ่งชวนเลือกร่างเทพอสูรของเขาได้เร็วกว่าศิษย์คนอื่นๆมาก อัจฉริยะคนอื่นๆค่อยๆตัดสินใจได้ทีละคน
“ข้าเลือกร่างอสูรกายาทรงพลังขอรับ” ชี่หยวนถงกล่าวด้วยความนอบน้อม
“ชี่หยวนถง เจ้ามาจากตระกูลชี่ เจ้าคงจะรู้ว่าการที่ไปหยุดอยู่ที่ขั้นที่ 17 บนแท่นบูชาแห่งความมืดหมายความว่าอย่างไรสินะ” ผู้อาวุโสอี่กล่าว
ชี่หยวนถงก้มหน้า”ข้าเข้าใจขอรับ”
“พลัวมตของเจ้ายังอ่อน แต่ว่าเจ้านั้นทำได้ยอดเยี่ยมในด้านอื่นๆ เพราะเหตุนั้นเขาหยวนชูจึงให้โอกาสเจ้า” ผู้อาวุโสอี่กล่าว “แต่หากเจ้าไม่สามารถทดแทนพลังใจที่หายไปได้ เจ้าก็คงไปได้ไม่ถึงระดับมหาสุริยันหรอก”
ชี่หยวนถงเงียบลง หากเขาไม่ได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันมันคงจะน่าขายหน้ามาก
“ดังนั้น เขาหยวนชูจึงตัดสินใจว่าจะส่งเจ้าลงจากภูเขาไปด่านหยุนไท่หยางหลังจากเจ้าจดจำร่างเทพอสูรของเจ้าได้แล้ว เจ้าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของแนวหน้าและเข้ารับราชการทหารเป็นเวลาหนึ่งปี” ผู้อาวุโสอี่กล่าว “ข้าหวังว่าสนามรบจะช่วยหล่อหลอมเจ้าด้วยสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้นได้ อีกหนึ่งปีเจ้าจะได้กลับมาสู่เขาหยวนชู”
“ขอรับ” ชี่หยวนถงไม่ลังเลเลย เขาต้องการที่จะชดเชยข้อบกพร่องนี้จริงๆ
หลังจากที่ชี่หยวนถงได้รับมรดกร่างเทพอสูรกายาทรงพลัง เขาก็ลงจากเขาและมุ่งหน้าไปยังด่านหยุนไท่หยางในทันที
กองรบแนวหน้าพบเจออันตรายมากที่สุดที่หน้าประตูเมือง โอกาสตายนั้นสูงมากที่สุด ชี่หยวนถงต้องไปประจำอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปี นี่เป็นเพียงแผนส่วนแรกที่เขาหยวนชูเตรียมไว้ให้ชี่หยวนถง หากว่าพลังใจของเขายังคงไม่เพียงพอ ยังมีอีกหลายสิ่งที่รอคอยเขาอยู่….
ในฐานะอัจฉริยะที่เขาหยวนชูให้ค่า พวกเขาจะคอยดูแลและปล่อยให้เขาเติบโต
…
“ข้าเลือกร่างเทพบัวฟ้าขอรับ” เหยีนจินกล่าวเมื่อเข้าไปถึงศาลาชี้แนะ
“ข้าเลือกร่างเทพสองโลกขอรับ” เหยียนชื่อถงอายุสิบสามปีตัดสินใจได้แล้ว
“ร่างอสูรทรายดำขอรับ” จัวเซี่ยวบอกกับผู้อาวุโสอี่
“ร่างเทพเขาหยวนชูเจ้าค่ะ” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งตัดสินใจเลือกได้ในที่สุด
…
เหล่าอัจฉริยะต่างได้เลือกเส้นทางของพวกเขาในอนาคต แต่ถึงอย่างนั้นตามที่เคยมีๆมา ส่วนมากพวกเขาก็จะฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้ไม่สำเร็จ ในอีกสามปี พวกเขาก็จะเปลี่ยนไปฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงแทน นี่เป็นเพราะร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษมีเงื่อนไขที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือการความเชี่ยวชาญระดับสำนึก และการไปให้ถึงระดับสำนึกนั้นมันเป็นสิ่งที่ขวางกั้นศิษย์ใหม่จำนวนมากเอาไว้
แต่ละคนต่างมีชะตาเป็นของตน
ไม่มีใครบอกได้ว่าพวกเขาเหล่านี้จะเติบโตไปได้ถึงขนาดไหน
จบภาค เขาหยวนชู