ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 3 ตัวแทนคนรัก (3)
ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก – ตอนที่ 3 ตัวแทนคนรัก (3)
เมื่อฟังจื่อมู่กลับมาถึงบ้าน ฟังจื่อเวิ่นเพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ
“พี่ กลับมาแล้วเหรอคะ”
ฟังจื่อเวิ่นสำรวจใบหน้าตัวเองบนกระจก พลางเงยหน้าขึ้นมองฟังจื่อเวิ่นปราดหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ได้ยินคำพูดของฟังจื่อเวิ่นแล้ว ฟังจื่อมู่ไม่ได้ตอบกลับ แต่กลับเดินเข้าไปที่โซฟากลางห้องโถงในคฤหาสน์ใหญ่ ทิ้งตัวลงกับโซฟาเบาๆ
“พี่คะ”
ในที่สุดฟังจื่อเวิ่นที่พอใจกับการแต่งตัวของตนในวันนี้แล้วก็ถามขึ้น เก็บกระจกสำหรับใช้แต่งหน้าแล้วชำเลืองมองไปยังฟังจื่อมู่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น เธอเผยสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ “ทำไมพี่เปียกไปทั้งตัวอย่างนี้”
ในเวลานี้ฟังจื่อมู่พิงกายบนโซฟาอย่างเงียบสงบกว่าปกติ ชุดสูทที่สั่งตัดเป็นพิเศษราคานับแสนหยวนบนตัวเขาตัวนั้นเปียกโชก เขาหลับตาลง ปล่อยให้หยดน้ำหยดแล้วหยดเล่าไหลผ่านปลายผมหยดลงมาบนหน้าเขา
ฟังจื่อมู่ในเวลานี้เงียบเสียเหลือเกิน เงียบเสียจนฟังจื่อเวิ่นเริ่มทำตัวไม่ถูก
พี่ชายในความทรงจำของเธอแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนชอบวางอำนาจจนถึงขั้นโหดเ**้ยมห่างไกลความมีมนุษยธรรม ไม่คิดว่าพี่ชายผู้แข็งแกร่งคนนั้นจะมีอีกด้านที่สงบนิ่งได้ขนาดนี้
“พี่คะ พี่เป็นอะไร”
ฟังจื่อเวิ่นรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เธอคิดจะเดินเข้าไปเพื่อถาม แต่เสียงของเธอก็ถูกเสียงอันเย็นชาของฟังจื่อมู่ตัดบทขึ้นมาในทันที
“หุบปาก!”
ฟังจื่อมู่ลืมตาขึ้นมาโดยตรง ดวงตาดำขลับเรียวยาวคู่นั้นวาบประกายสีเลือดอยู่วูบหนึ่ง
ฟังจื่อเวิ่นก้าวถอยสองก้าวด้วยความลนลาน สีหน้าซีดเผือดลงทันใด “พี่ พี่คะ หนูผิดไปแล้ว”
เสียงของเธอสั่นเครือจนห้ามไม่ได้ ฟังจื่อเวิ่นผู้รู้จักนิสัยใจคอของพี่ใหญ่บ้านตนนั้นเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าฟังจื่อมู่กำลังอยู่ในความโกรธ เขาในเวลานี้ น่ากลัวอย่างมาก
เหลือบมองท่าทางสั่นเทิ้มของฟังจื่อเวิ่นที่แต่งองค์ทรงเครื่องตัวเองเสียฉูดฉาดอย่างกับนกยูง ในใจของฟังจื่อมู่ก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น…
สารรูปแบบนี้จะให้เซียวจิ่งมั่วชอบได้ยังไงกัน
หากไม่ใช่เพราะร่างกายของเขาในเวลานี้เป็นพี่ชายของฟังจื่อเวิ่น ซูรุ่ยอยากจะตบหน้าผู้หญิงที่ทำแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องคนนี้ให้หน้าคว่ำเลยจริงๆ
แต่พอนึกถึงวัตถุประสงค์ภารกิจที่ตนเข้ามายังโลกแห่งนี้ คิดถึงสถานะอันขมขื่นในฐานะ ‘พระรองผู้รักมั่น’ คนหนึ่งของตนในเวลานี้ ใบหน้าก็ยิ่งดูบึ้งตึงมากขึ้น เขามองไปยังฟางจื่อเวิ่นด้วยใบหน้าบึ้งตึงอยู่หลายครั้ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เธอจะไปร่วมงานวันเกิดของเซียวจิ่งมั่วเหรอ”
“ค่ะ”
ได้ยินพี่ชายของตนเองพูดถึงเซียวจิ่งมั่ว ใบหน้าของฟังจื่อเวิ่นก็เผยให้เห็นรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว “จิ่งมั่วเชิญหนูด้วยตัวเอง หนูก็ต้องแต่งตัวให้สวย หนูเป็นถึงว่าที่ภรรยาของเขา ไม่แน่นะวันนี้เขาอาจจะชวนหนูขึ้นไปเต้นรำสักเพลงก็ได้”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฟังจื่อเวิ่นก็ยืดตัวตรงขึ้นมา ท่าทีลำพองใจอย่างมาก
ที่จริงแล้วรูปลักษณ์ภายนอกของฟังจื่อเวิ่นก็ไม่ได้แย่เลย เพียงแต่สาวน้อยผู้นี้เติบโตมาอย่างผิดๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับพวกโกธิคลูกหลานเศรษฐีรุ่นที่สอง จนทำให้รสนิยมในความงามของเธอดูผิดแปลกไปถึงขนาดนี้
ซูรุ่ยมองไปยังเรือนผมสารพัดสีนั้นของฟังจื่อเวิ่นด้วยสายตารังเกียจเล็กน้อย เธอเข้าใจว่าเธองดงามประดุจดอกไม้ไฟ แต่ความจริงแล้วเธอก็ไม่ต่างอะไรกับไม้ขนไก่หน้าตาประหลาดด้ามหนึ่งเท่านั้น
เขายกมือขึ้นดูเวลา แล้วซูรุ่ยก็ลุกขึ้นเสียเฉยๆ ดึงตัวฟังจื่อเวิ่นเดินออกนอกประตูไป
“พี่ พี่คะ จะทำอะไรคะ”
ฟังจื่อเวิ่นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เธอเข้าใจว่าพี่ชายยังไม่หายโกรธ นี่เขากำลังคิดหาวิธีระบายความโกรธอยู่หรือเปล่า
เมื่อนึกถึงสภาพอันแสนน่าอนาถของพวกคนที่เคยทำให้พี่ชายเคืองขึ้นมาเหล่านั้น ขาทั้งคู่ของฟังจื่อเวิ่นก็เริ่มสั่น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ
“พี่คะ หนูเป็นน้องสาวของพี่นะ อย่านะคะ พี่คือพี่ชายแท้ๆ ของหนูนะ”
ข้างนอกฝนยังคงตกอยู่ ซูรุ่ยยืนอยู่ที่ประตูคฤหาสน์ เขาผลักฟังจื่อเวิ่นออกไปกลางสายฝน มองเธอที่กำลังเปียกโชกเพราะน้ำฝนด้วยใบหน้าอันเย็นชา เห็นเครื่องสำอางบนหน้าเธอถูกน้ำฝนชะจนเลอะที่ละน้อย ซูรุ่ยจึงผ่อนคลายลงไปมาก “ไปหาย่าเฟย ให้เขาตัดผมเธอให้สั้น ย้อมให้เป็นสีดำ สักสี่โมงฉันจะไปตรวจ”
ยังไม่ทันขาดคำ ซูรุ่ยก็หันตัวกลับอย่างเย็นชา
เสียงดังขึ้น ปัง ประตูคฤหาสน์เบื้องหน้าฟังจื่อเวิ่นถูกปิดลงอย่างไร้เยื่อใย
ฟังจื่อเวิ่นขบริมฝีปากแน่น แต่จิตใจกลับอ่อนแรง…
มีพี่ชายที่ดุดันคนหนึ่งแบบนี้ ช่างเหลืออดเสียจริง!
…………
“ลูกพี่หว่านครับ นี่คือบัตรเชิญของตะกูลเซียว”
เสิ่นเหว่ยผู้ช่วยส่วนตัววางบัตรเชิญที่ออกแบบมาอย่างงามประณีตไว้หน้าเธอ ซูหว่านเพิ่งจะกลับมาจากห้างสรรพสินค้า เธอถอดเสื้อคลุมตัวเล็กๆ ออก สวมเพียงชุดเดรสเปิดไหล่สีแดงตัวนั้น เผยให้เห็นไหล่เนียนขาวทั้งสอง ดูท่าท่างสบายๆ
“ตระกลูเซียวเหรอ”
ซูหว่านนั่งบนเก้าอี้ผู้จัดการ หยิบบัตรเชิญนั่นขึ้นมาดูเล่น มุมปากยกยิ้มดูขี้เล่น “พวกเรา EVFA ให้ความร่วมมือกับเครือบริษัทเฮ่าเย่ว์มาโดยตลอด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ตระกูลเซียวส่งบัตรเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงส่วนตัวมาให้เรา”
“ครับ ใช่ครับ!”
เสิ่นเหว่ยที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าเห็นด้วย “อาจเป็นเพราะปีนี้ประธานเซียวอายุครบยี่สิบห้าปี ถึงได้เชิญคนมาร่วมงานเยอะมั้งครับ”
ตระกูลเซียวกำลังคิดอะไรอยู่เสิ่นเหว่ยไม่เข้าใจจริงๆ แต่เข้ารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งสำหรับการกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย อีกทั้งด้วยวิธีการของเจ้านายเขาแล้ว การจะจัดการกับตระกูลเซียวนั้นคือเรื่องที่ง่ายเพียงลัดนิ้ว
“ในเมื่อเขาเชื้อเชิญด้วยความจริงใจ พวกเราก็คงได้แต่จำใจรับคำเชิญแล้ว”
พูดแล้ว ซูหว่านก็ลุกขึ้นยืน นิ้วเรียวบางของเธอกดบัตรเชิญลงกลางฝ่ามือ แล้วเอียงกายครึ่งท่อนบน ผมหยักม้วนสีเกาลัดสยายลงจากหัวไหล่เนียนขาวของเธอ ดวงตารูปดอกท้อแสนสวยคู่นั้นมองไปยังเสิ่นเหว่ยที่อยู่อีกด้านของโต๊ะทำงานด้วยรอยยิ้ม “ไปเตรียมชุดสูทที่ดูดีมาสักตัว คืนนี้ แล้วไปเป็นคู่ออกงานฉันที!”
เอ่อ…
เสิ่นเหว่ยแอบกลืนน้ำลายเงียบๆ โถ่เจ้านาย คุณกำลังให้ท่าผมหรือไงครับ
ผมเป็นคนมีครอบครัวแล้ว เอายังไงดีล่ะ การต้องอยู่ข้างกายซูหว่านต้องใช้ความสามารถในการควบคุมตนเองมากเสียยิ่งกว่ามาก โอย~ ชีวิตที่หวานขมระคนกันของผู้ช่วยที่สุดแสนเวทนา…
เมื่อเห็นเสิ่นเหว่ยหนีไปด้วยความลนลาน รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหว่านก็ค่อยๆ หายไป ว่ากันว่าการค้าเหมือนดั่งสนามรบ ตลาดเมืองเซียงเฉิงผันผวนรุนแรงกว่านัก
เมืองเซียงเฉิงตระกูลมั่งคั่งร่ำรวยที่ทรงอิทธิพลอยู่ไม่น้อย แต่ที่หยั่งรากลึกที่สุดเห็นจะเป็นตระกูลเซียวและตระกูลฟัง
และไม่กี่ปีมานี้อิทธิพลของเซียวจิ่งมั่วผงาดขึ้นจนทำให้สถานะของตระกูลฟังอยู่ในภาวะถูกคุกคาม ทั้งสองตระกูลแต่ไหนแต่ไรควรเป็นคู่ปรับภายใต้แสงเงินของคมดาบ แต่นายท่านเซียวกลับมีความคิดที่จะผูกมิตรกับตระกูลฟัง ซ้ำยังหมายมั่นจะให้ฟังจื่อเวิ่นเป็นหลานสะใภ้
แต่งงานเพื่อสร้างอิทธิพลหรือ
ไม่สิ คิดครอบครองอีกฝ่ายต่างหาก
สายตาของซูหว่านมองลงไปบนบัตรเชิญฉบับนั้น…
ไม่ว่าจะเป็นการล้มละลายของตระกูลซูเมื่อแปดปีก่อน หรือจะเป็นบัตรเชิญนี้ในแปดปีให้หลัง ล้วนแต่เป็นแผนของนายท่านเซียวแน่นอน
นายท่านผู้นี้ วางหมากได้ล้ำลึกจริงๆ
ทว่า…
สัมผัสรับรู้คู่ต่อสู้เองก็ไม่เลวนักหรอก!
ซูหว่านทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หนังปล่อยร่างกายผ่อนคลายอย่างสบาย ดูจากโครงเรื่องในโลกเดิม หลังจากตนกลับประเทศมาได้สามวันก็พบกับเซียวจิ่งมั่วโดยบังเอิญ แต่ครั้งนี้ซูหว่านตั้งใจหลบเลี่ยงโอกาสที่เธอจะได้พบกับเซียวจิ่งมั่ว เดิมทีเธอวางแผนที่จะเริ่มจากลั่วชูชู แต่ตอนนี้ดูแล้วการที่ต้องพบกับเซียวจิ่งมั่วก่อนกำหนดคงหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อนึกถึงเค้กวันเกิดก้อนนั้นของลั่วชูชู ซูหว่านก็จินตนาการขึ้นได้ว่าตอนนี้เธอคงกำลังฉลองอยู่กับเซียวจริงมั่วอยู่ และงานเลี้ยงช่วงกลางคืน เซียวจิ่งมั่วคงจะแนะนำลั่วชูชูให้กับเหล่าผู้คนในวงการธุรกิจรู้จักอย่างเป็นทางการแน่นอน…รอตัวปลอมเจอตัวจริงเถอะ ภายใต้สายตาของผู้คนที่จับจ้อง เหตุการณ์จะยังไงกันนะ
เพียงแค่คิด ก็อดใจรอแทบไม่ได้