ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 18-4 ระบบพลิกบทนางรอง (ปัจฉิมบท)
นางเอกแล้วไงล่ะ นางรองแล้วจะยังไงล่ะ
ทุกคนต่างมีสิทธิ์ที่จะควบคุมชีวิตของตนเอง ไม่เหมือนเธอที่ถูกครอบงำโดยเครื่องจักรไร้หัวใจ แล้วไปทำอะไรเพื่อบางอย่างที่ขัดต่อความปรารถนาของตนเอง ที่เรียกว่าระบบ ก็คือเครื่องจักร มันจะไปเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ได้ยังไง
ในขณะที่หยางจื่อซีกำลังรอคอยการถูกกำจัดจากระบบ ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นชาของผู้หญิงก็ดังขึ้นข้างหูของเธอ
“รวบรวมพลังวิญญาณของเธอไว้ และโจมตีระบบที่อยู่ในห้วงสำนึกของเธอ!”
“หยางจื่อซี ตราบใดที่คุณอยากมีชีวิตต่อ ยังมีใจที่อยากจะอยู่ร่วมกับหยางอู่ เธอก็สามารถเอาชนะมันได้!”
เอาชนะมัน!
นับจากนี้ชีวิตจะเป็นของเธอ!
เป็นตัวละครเอกที่แท้จริงในชีวิตของเธอ!
หยางจื่อซีไม่มีเวลามาแยกแยะว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร เธอเริ่มเข้าสมาธิรวบรวมพลังวิญญาณของเธอ ในฐานะที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับหก พลังวิญญาณของเธอมีพลังมาก และในเวลานี้หยางอู่ที่อยู่ข้างๆ ก็กุมมือหยางจื่อซีไว้แน่น กระแสพลังวิญญาณที่ไหลผ่านฝ่ามืออันอบอุ่นของเขาอย่างคงที่ถูกป้อนเข้าไปในร่างของหยางจื่อซี…
ซูหว่านและซูรุ่ยยืนนิ่งที่หน้าประตูห้อง และมองร่างจิตสีเทาขาวที่ถูกบีบออกจากร่างของหยางจื่อซี
ซูรุ่ยหัวเราะเยาะเย้ยเสียงหนึ่ง พลังวิญญาณที่ท่วมท้นพลันห่อหุ้มร่างจิตนั่นในทันที…
[คุณคือ…แอล…]
ก่อนที่ระบบบางระบบจะพูดคำสุดท้าย ก็ถูกซูรุ่ยทำลายจนไม่เหลือซากแล้ว
เมื่อสูญเสียผู้อาศัยไป มันก็อ่อนแอมากอย่างที่คาดเอาไว้!
ขณะที่ระบบจากภายนอกถูกทำลายในชั่วพริบตา ในสมองของซูหว่านก็ได้รับการแจ้งเตือนว่าทำภารกิจสำเร็จ
[บั๊กถูกทำลาย ผู้ปฏิบัติภารกิจสามารถเลือกที่จะออกจากโลกภารกิตได้ตลอดเวลา]
ภารกิจที่ดูเหมือนยากนี้ ก็สำเร็จได้อย่างง่ายดาย
เมื่อสี่ปีก่อนที่ซูหว่านเพิ่งเข้าสู่การปฏิบัติภารกิจแม้แต่จะคิดก็ไม่อยากคิด
ถ้าไม่มีหยางอู่ ถ้าหยางจื่อซีไม่เลือกที่จะละทิ้งระบบ ถ้าขึ้นอยู่กับแค่ความแข็งแกร่งที่มีอยู่เพียงอย่างเดียว ถึงแม้ว่าซูหว่านกับซูรุ่ยจะสามารถเอาชนะหยางจื่อซีได้ แต่ถ้าหยางจื่อซีหนีเข้าไปซ่อนในช่องว่างมิติของระบบ และไม่ออกมาในอีกสิบปีหรือแปดปี ภารกิจของพวกเขาก็ยังคงจะล้มเหลวเหมือนเคย
ที่เรียกว่าฟ้าลิขิตก็ไม่เท่าคนลิขิต
ไม่ว่าเครื่องจักรจะซับซ้อนแค่ไหน ก็ไม่มีวันคำนวณความรู้สึกของมนุษย์ได้…
สุดท้ายซูหว่านก็เลือกที่จะอยู่ในโลกของภารกิจ เธอยังมีเวลาอีกหกปี เธอจะใช้เวลาหกปีนี้อยู่กับซูรุ่ย และทำภารกิจของเขาให้สำเร็จ
มองดูผู้คนที่พลัดพรากจากในยุคโลกาวินาศ และใช้ชีวิตในยุคใหม่อย่างมีความสุข
…
ในระยะเวลาหกปี ฐานชังหยาได้กลายเป็นฐานทัพของมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยการมาของยุคใหม่ ทำให้ไม่มีซอมบี้คอยกัดกินผู้คนไปทั่วโลกแล้ว และตอนนี้ที่ยังเหลืออยู่นั้นก็เป็นเพียงมนุษย์สายพันธุ์ใหม่เท่านั้น
พวกเขาทั้งหมดต่างมีจิตสำนึกและความคิดของตนเอง แม้ว่าพวกเขาจะยังคงอาศัยแกนผลึกในการดูดซับสารอาหารและพลังงาน แต่นอกเหนือจากนั้น มนุษย์สายพันธุ์ใหม่เหล่านี้ก็ไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ แม้กระทั่งจำนวนของมนุษย์สายพันธุ์ใหม่มากกว่ากว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปแล้วก็ตาม
ในที่สุดศูนย์วิจัยลี่ว์เยี่ยก็หายไปตามประวัติศาสตร์ มีคนจำนวนไม่กี่คนที่ยังจำ ‘ดอกเตอร์แอล’ ผู้ที่เคยเป็นที่กล่าวขานกันได้ ในโลกใหม่ห้องทดลองที่ทุกคนรู้จักก็คือ ‘ห้องทดลองเฟิงเยี่ย’…
หากเดินอยู่บนถนนใหญ่เหมืองหลวงใหม่ ก็จะเห็นรูปปั้นสองอันอยู่ติดกันจากระยะไกล
นั้นคือรูปปั้นแกะสลักของเยี่ยนอวี่และหลี่เสี่ยง พวกเขาเปิดศักราชใหม่ ได้รับความรักและชีวิตใหม่ของตนเอง
“รู้สึกยังไงบ้างกับการเป็นวีรบุรุษไร้ชื่อเสียง”
ซูหว่านและซูรุ่ยกำลังเดินช้าๆ อยู่บนถนน ในเวลานี้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและถนนทั้งสองข้างก็มีต้นไม้สูงกว่าคน
ยุคโลกาวินาศสิบปี ถ้าอยู่ที่โลกอื่นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับที่นี่ถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและน่ายินดีมาก
วีรบุรุษไร้ชื่อเสียง…
ไม่มีใครรู้ว่ายายับยั้งไวรัสใหม่ทั้งหมด แม้กระทั่งการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ แกนผลึกพลังงานใหม่ และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ ต่างก็เป็นผลงานของดอกเตอร์แอล
ดอกเตอร์แอล จะถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ ในนามของบุคคลที่กระทำผิดในประวัติศาสตร์
“ผมเคยไปยุคโลกาวินาศที่อื่นมาก่อน”
ซูรุ่ยได้ยินคำพูดของซูหว่าน ก็กุมมือเธอไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว “ที่นั่นมีแต่การฆ่าฟันและการแย่งชิง เสี่ยวหว่าน สิบปีที่ผมอยู่ที่นี่ฉันมีความสุขมาก ผมคิดว่าผมหาสิ่งที่เคยสูญเสียไปก่อนหน้านี้เจอแล้ว”
ผู้ใหญ่ทุกคนต่างเคยเป็นเด็ก
และเด็กทุกคนล้วนเคยไร้เดียงสามาก่อน…
“ฉันก็…”
ซูหว่านเงยหน้าขึ้น หันไปมองและส่งยิ้มให้ซูรุ่ย “ฉันก็หาเจอแล้วเหมือนกัน ฉันเคยสูญเสียสิ่งที่สำคัญมากๆ ไป”
หยางอู่พาหยางจื่อซีไปใช้ชีวิตสันโดษอย่างสงบสุข อันที่จริงถ้าหยางจื่อซีไม่ได้รับระบบพลิกบทนางรองมา บางที เธออาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับหยางอู่ไปตั้งนานแล้ว
การมีอยู่ของระบบ ทำให้เธอเกิดความปรารถนาและความหลงใหล ทำให้เธอมองข้ามคนข้างๆ เธอไป
โชคดีที่ในช่วงวินาทีสุดท้าย หยางจื่อซีสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้
สำหรับหยางจื่อซี ซูหว่านไม่ได้รังเกียจเธอมากเกินไป และแน่นอนว่า ผลสุดท้ายหากหยางอู่ตายไป ซูหว่านก็จะไม่ออมมือให้กับหยางจื่อซี
มันเป็นความทุ่มเทเงียบๆ ของหยางอู่ที่ทำให้ซูหว่านตื้นตันใจ
เหมือนกันกับที่ซูรุ่ยคิด หัวใจของซูหว่านมีจุดอ่อนอยู่ และความหลงใหลของหยางอู่ ก็คือสิ่งที่ซูหว่านค้นหามาตลอด
อดที่จะพูดไม่ได้ว่า เมื่อมองจากมุมมองอื่น หยางจื่อซีโชคดี และมีความสุขมาก
และเมื่อเทียบกับเธอ ชีวิตนี้ของฉู่เฟยหยางกลับเป็นโศกนาฏกรรม
สิ่งมีชีวิตที่มีนิสัยเคยชินแบบนี้ เขาสามารถทำเพื่อตนเอง และละทิ้งคนอื่นไปครั้งที่หนึ่ง ละทิ้งคนอื่นไปครั้งที่สอง ดังนั้นถ้าครั้งที่สามและสี่ก็จะเป็นเรื่องง่ายมาก
ฉู่เฟยหยางก็จะยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และถ้าชีวิตนี้ก็ต้องถูกกำหนดให้อยู่คนเดียว ไม่ยอมให้ความจริงใจกับคนอื่น แล้วจะคาดหวังคนอื่นให้ความรักต่อคุณได้ยังไงกัน
ซูหว่านรู้สึกว่า หยางจื่อซีและฉู่เฟยหยางเป็นเหมือนกระจกสองด้านที่สะท้อนถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของตนเอง…
ในยุคโลกาวินาศ ทุกคนต่างเรียนรู้ที่จะหวงแหน
ในโลกนี้ยัง ทำให้ซูหว่านหาความมั่นใจที่เคยทิ้งไปกลับคืนมา
ระยะเวลาสิบปีมาถึงโดยไม่รู้ตัว เมื่อเวลานับถอยหลังมาจนสิ้นสุดลง ซูหว่านและซูรุ่ยก็จะถูกบังคับให้ออกจากโลกนี้
ในตอนที่รู้สึกว่าวิญญาณของเธอกำลังถูกดึงออกจากร่างกายของตน ซูหว่านก็ยังคงมองไปที่ซูรุ่ยด้วยแววตาที่อ่อนโยนและอบอุ่น
“ซูรุ่ย ฉันจะรอคุณอยู่ที่…โลกต่อไป”
ฉันจะรอคุณ
นี่คือคำสัญญาของฉัน และคุณ