ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 14 คุณหนูใหญ่หวนคืน
เตาไฟให้ความอบอุ่นในห้องกำลังลุกโชน ภายนอกหน้าต่าง สีของท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นสีดำมืดสนิทไปแล้ว
ซูหว่านยืนสงบนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง ได้ยินคำถามของเหวินอวี้ราวกับว่านางจะหลุดเข้าไปในภวังค์ความทรงจำของตนเอง สองมือที่จับต้นแขนของเหวินอวี้ไว้แน่นก็ค่อยๆ ปล่อยลงมาอย่างไม่รู้ตัว
ผ่านไปสักพัก ซูหว่านจึงค่อยๆ เอ่ยออกมา “ชอบแล้วอย่างไร ไม่ชอบแล้วอย่างไร พี่อวี้ซูไม่ชอบข้ามาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว อีกหน่อยเขาก็จะยิ่งไม่ชอบข้าเข้าขึ้นไปอีก อีกอย่างข้าก็รู้สึกได้ว่าน้องชิงจิ่นก็ไม่ชอบข้า พวกเขาเป็นพี่น้องแท้ๆ ข้าคิดว่าในสายตาของเขา น้องสาวมีความสำคัญต่อเขามากกว่าข้ามากนัก”
เหวินอวี้เมื่อได้ยินซูหว่านพูดถึงเสิ่นชิงจิ่น นางก็เริ่มรู้สึกสับสนงุนงง
นางที่เติบโตขึ้นมาในจวนตระกูลเสิ่น ทำให้นางมีความผูกพันต่อทั้งสองพี่น้องเป็นอย่างมาก แต่ก่อนเหวินอวี้คิดว่านางจะภักดีต่อเสิ่นชิงจิ่นไปตลอดทั้งชีวิต แต่ว่าตอนนี้…
เหวินอวี้ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกของตนเองในยามนี้อย่างไรดี
แม้กระทั่งยามที่เสิ่นชิงจิ่นมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่บนใบหน้านั้นเป็นอย่างไร นางก็นึกภาพไม่ค่อยออกแล้ว ใช่ คุณหนูใหญ่ผู้นั้นเมื่อก่อนนางเป็นคนชอบยิ้มมาก รอยยิ้มของนางดูใสซื่อบริสุทธิ์ไร้พิษสงเป็นอย่างมาก แต่ว่าตั้งแต่ที่นางหายจากอาการเจ็บป่วยในครั้งนั้น เหวินอวี้ก็ไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นอีกเลย
นางเปลี่ยนไปแล้ว ไม่เพียงแค่เหวินอวี้รู้สึกว่านางเป็นคนแปลกหน้า บางครั้งยังทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว…
เสิ่นชิงจิ่นในตอนนี้ยังเป็นเสิ่นชิงจิ่นคนเดิมอยู่หรือไม่
เหวินอวี้ไม่กล้าคิดอะไรมากไปกว่านี้ นางรู้แค่ว่าตอนนี้ตนเองเป็นคนของจวนจิ้งนิ่งโหว เป็นสาวใช้ของซูหว่าน นางจะต้องคิดคำนึงถึงแต่เรื่องของผู้เป็นนายในตอนนี้
“คุณหนู จะช้าหรือเร็วคุณหนูเสิ่นก็ต้องแต่งออกไปอยู่แล้ว หากว่าท่านยังชอบคุณชายเสิ่นอยู่ ก็ไม่ควรที่จะล้มเลิกการแต่งงานของพวกท่านเองเช่นนี้”
เหวินอวี้เกลี้ยกล่อมซูหว่านเบาๆ ซูหว่านกลับฝืนยิ้มให้เหวินอวี้ “หากว่าข้ายังมีร่างกายที่บริสุทธิ์อยู่ ข้าก็ไม่มีทางปล่อยวางหรอก แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่คู่ควรกับพี่อวี้ซูจริงๆ อีกทั้งอาจจะทำให้จวนจิ้งนิ่งโหวเสียชื่อเสียงไปด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้ สู้ข้าแต่งให้กับจิ้นชิงอ๋องดีกว่า ท่านอ๋อนเป็นคนดี ถ้าข้าแต่งกับเขาไป เขาก็คงจะปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี”
“แต่ว่า จิ้นชิงอ๋องท่าน ท่าน…”
เหวินอวี้พูดตะกุกตะกัก สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน “สุขภาพของท่านอ๋อง…อ่อนแอมาก คุณหนูยินยอมที่จะอยู่เป็นม่าย ไปตลอดชีวิตหรือเจ้าคะ”
เป็นม่าย…
เหอะ
ซูหว่านรู้สึกว่าถ้าซูรุ่ยอยู่ที่นี้ด้วยคงได้ตบยัยคนนี้ตายคามือเป็นแน่
“จริงๆ แล้วแบบนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรไม่ดีนี่”
ซูหว่านจงใจถอนหายใจ สายตาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยมองไปที่เหวินอวี้ “เหวินอวี้ ที่จริงแล้วข้ารู้สึกได้ตั้งนานแล้วว่าเจ้าชอบพี่อวี้ซู เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องนี้ไปหรอก พี่อวี้ซูเป็นคนเก่งกาจขนาดนั้น มีคนชอบเขาเยอะก็เป็นเรื่องธรรมดา และข้าก็คิดมาตลอดว่า…”
พูดมาถึงตรงนี้ ในดวงตาของซูหว่านมีประกายความเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด “หลังจากที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ข้าคิดมาตลอดว่าใครกันแน่ที่เกลียดข้าและโหดเ**้ยมขนาดนั้น ไม่เพียงแต่จะทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง ยังพยายามผลักข้าลงไปในขุมนรกนั้นอีก และหลังจากที่ข้าจากไปแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยข้าไป ยังฉวยโอกาสลากเจ้าลงน้ำไปด้วยอีกคน ข้าคิดว่า…คนผู้นั้นก็อาจจะชอบพอพี่อวี้ซูอยู่เหมือนกัน อีกอย่าง…นางก็อาจจะรู้อีกว่าเจ้าเองก็ชอบพี่อวี้ซูอยู่ ถึงได้คิดวางแผนยิงปืนนัดเดียวแบบนี้ได้”
พูดมาถึงตรงนี้ ซูหว่านชะงักไปชั่วครู่ ลอบสังเกตสีหน้าของเหวินอวี้ เป็นไปดั่งคาด เหวินอวี้ได้ยินการคาดเดาของซูหว่านสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “คุณหนู มะ มันเป็นไปไม่ได้!”
“ทำไมถึงจะเป็นไปไม่ได้เล่า”
ซูหว่านช้อนตาขึ้น สายตามองตรงเข้าไปในดวงตาของเหวินอวี้ “คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ในจวนชิ่งชวนโหวได้จะต้องเป็นคนในจวนอย่างแน่นอน ข้าเดาว่าคนผู้นี้เป็นผู้หญิง นางอิจฉาข้าที่เป็นคู่หมั้นของพี่อวี้ซู และรู้อีกว่าเจ้าเองแอบชอบพี่อวี้ซูมาตลอดจึงได้คิดวางแผนนี้ขึ้นมา!”
พูดมาถึงตรงนี้คล้ายกับว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาของซูหว่านเป็นประกายขึ้นมาทันที “ใช่แล้ว! จะต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน! ข้าคิดว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่สนิทกับเจ้า สนิทด้วยมากๆ เหวินอวี้ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่ามีใครที่น่าสงสัยบ้าง เจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็นสาวใช้คนอื่นๆ ในเรือนของเสิ่นชิงจิ่น”
คนสนิท คนที่ชอบเสิ่นอวี้ซู…
เหวินอวี้รู้สึกว่าในหัวสมองของตนเองสับสนวุ่นวายไปหมด
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนั้นก็คือเสิ่นชิงจิ่น นางเป็นคนที่สนิทกับตัวเองมากจริงๆ แต่ว่านางจะชอบเสิ่นอวี้ซูได้อย่างไรกันล่ะ
พวกเขาเป็นพี่น้องกันแท้ๆ นะ!
เป็นไปไม่ได้ มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ…
เหวินอวี้ปฏิเสธอยู่ในใจ แต่ว่าในก้นบึ้งของหัวใจกลับถูกคำพูดของซูหว่านทำให้ไม่อาจละทิ้งความสงสัยนี้ออกไปจากใจได้…
กลางดึก ในห้องหนังสือในจวนจิ้นชินอ๋อง
ซูรุ่ยยังคงอยู่ในผ้าคลุมสีม่วง นั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ไม้ในห้องหนังสือด้วยสีหน้าเกียจคร้าน ตอนนี้เบื้องหน้าของเขามีคนยืนอยู่สองคน คนหนึ่งคือจุยเฟิง ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือชายชุดดำที่ซูหว่านพบเจอกลางตลาดเมื่อช่วงเย็นของวันนี้
ตอนนี้ชายชุดดำคนนั้นได้เปลี่ยนมาอยู่ในชุดเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแล้ว เขาไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้าไว้ ภายใต้แสงเทียนสีทองอันลิบหรี่นั้น มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับซูรุ่ยอยู่สามส่วน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสนเย็นชา
ฉินเฮ่า
ซูรุ่ยหลับตาขึ้นลง ค้นหาในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม พบว่ามีบุคคลผู้นี้อยู่ด้วย
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันฉินมู่เฟิงถึงแม้ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทที่สูงส่งในตอนนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากลับไม่ใช่คนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนประสงค์ที่จะให้รับตำแหน่งสืบทอดบัลลังก์
ฮ่องเต้องค์ก่อนมีโอรสเก้าคน ฉินมู่เฟิงเป็นโอรสองค์โต และฉินมู่เหยียนเป็นโอรสองค์ที่เก้า ในตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนประชวนหนัก ฉินมู่เหยียนยังเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง แต่ว่าเขาที่เป็นคนฉลาดหลักแหลมกลับมองสถานการณ์ตอนนั้นออก ส่วนหนึ่งเขาก็ทำตามการเตรียมการของเสด็จพี่และเสด็จแม่ ช่วยพวกเขาวางแผน อีกส่วนหนึ่งฉินมู่เหยียนเป็นคนจิตใจดีไม่อยากให้พี่น้องต้องมาฆ่าฟันกันเอง ดังนั้นเขาจึงหาทางหนีทีไล่ไว้ให้กับตนเองในอนาคต
หลังจากที่ฉินมู่เฟิงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน เหล่าพี่น้องของเขา บ้างก็ตาย บ้างก็หายสาบสูญ ผู้ที่เหลือรอดชีวิตอยู่ตอนนี้นอกจากฉินมู่เหยียนแล้วก็มีแค่อ๋องที่ปกครองอยู่ที่เหอหนานฉินมู่หลิน เพราะว่าเขาอยู่ฝ่ายองค์รัชทายาทมาโดยตลอด หลังจากที่ฉินมู่เฟิงขึ้นครองราชย์ เขาก็ได้ขอย้ายไปอยู่ที่แดนไกล ทำให้เขาสามารถรักษาชีวิตไว้ได้จนถึงตอนนี้
ส่วนอ๋องคนอื่นๆ ไม่ได้โชคดีแบบนี้สักคน โดยเฉพาะฉินมู่อวี้ เขาเป็นโอรสองค์ที่ห้าของฮ่องเต้องค์ก่อน เป็นคนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงรักใคร่มากที่สุดและอยากให้เป็นคนรับบัลลังก์ต่อจากท่าน หลังจากที่ฉินมู่เฟิงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ฉินมู่อวี้ก็ “ป่วย” ตายไป แม้กระทั่งจวนอ๋องของเขาก็ถูกเพลิงไหม้เผาวอดไปหมดทั้งจวน ไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว
ขุดรากถอนโคน เป็นวิธีการของฉินมู่เฟิง แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือภายใต้สายตาของเขากลับมีคนกล้าปิดหูปิดตาเขาช่วยเหลือบุตรชายของฉินมู่อวี้ฉินเฮ่าเอาไว้
“เสด็จอาเก้า”
ฉินเฮ่ามองดูเสด็จอาเก้าที่อายุมากกว่าตนเองเพียงแค่สี่ปีเท่านั้น ในน้ำเสียงมีความสับสนอยู่ไม่น้อย “ท่านช่วยข้าครั้งนี้อาจจะนำความเดือนร้อนมาสู่ตัวท่านได้”
ได้ยินคำพูดของฉินเฮ่า ซูรุ่ยไม่พูดจาใดๆ เพียงแค่มองดูเขาอย่าเงียบๆ
ซูรุ่ยเป็นคนที่มองคนได้แม่นยำมาก เขาเชื่อในความรู้สึกของตัวเอง แวบแรกที่เขาเห็นฉินเฮ่า นอกจากหน้าตาจะเหมือนตัวเองอยู่หลายส่วนแล้ว มองดูก็รู้สึกถูกชะตาอยู่ไม่น้อย เขายังรู้สึกได้ถึงภายในจิตใจของฉินเฮ่า คนที่มีหลักการมากแบ่งแยกความแค้นและบุญคุณออกจากกันอย่างชัดเจน โหดเ**้ยมและเด็ดขาด
ภารกิจที่ซูรุ่ยได้รับมา ในเนื้อเรื่องนั้นไม่มีฉินเฮ่าคนนี้อยู่ในบท
ถ้าอย่างนั้นมีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง หนึ่ง ในโลกเดิมฉินเฮ่าเชื่อฟังการจัดการของฉินมู่เหยียน ไม่เคยเหยียบเข้ามาในเมืองหลวงอีกเลย ใช้ชีวิตที่ต้องปิดบังชื่อแซ่ไปตลอดทั้งชีวิต และความเป็นไปได้อย่างที่สองก็คือ เหมือนดังในวันนี้ เขาแอบย่องเข้ามาแล้วลอบฆ่าในเมืองหลวง ภารกิจล้มเหลวถูกศาลต้าหลี่จับกุมตัวไปได้ สุดท้าย ก็ตายอยู่ในนั้น
ซูรุ่ยค่อนข้างเอนเอียงไปทางอย่างที่สองมากกว่า
เขารู้สึกว่าฉินเฮ่าไม่ใช่คนที่จะยินยอมปิดบังชื่อแซ่ไปตลอดชีวิตแน่นอน และในโลกเดิมก็ไม่มีการมีอยู่ของตัวเองและซูหว่าน หลังจากการลอบฆ่าล้มเหลวก็ต้องถูกจับกุมตัวเป็นธรรมดา เขาน่าจะไม่ได้มีการซัดทอดชื่อของฉินมู่เหยียน สุดท้ายถึงได้ตายอยู่ในคุกมืดของศาลต้าหลี่ไปอย่างเงียบเชียบ
แสงเทียนในห้องหนังสือสั่นไหวไปมา บรรยากาศกดดัน
ฉินเฮ่าถูกซูรุ่ยจ้องมอง ยังไม่ทันได้รู้ตัวเหงื่อก็ผุดออกมาเต็มร่างไปหมด ไม่เจอกันไม่กี่ปี ฉินเฮ่ารู้สึกว่าเสด็จอาเก้าที่อยู่ตรงหน้านี้เปลี่ยนไปมาก ในความทรงจำของฉินเฮ่าเสด็จอาเก้าเป็นชายหนุ่มที่ร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีความอบอุ่นและอ่อนโยนเป็นอย่างมาก แต่คนที่อยู่เบื้องหน้านี้กลับทำให้ฉินเฮ่ารู้สึกถึงอันตรายเป็นอย่างมาก
อีกฝ่ายเพียงแค่จ้องมองตัวเองอย่างเงียบๆ เท่านั้น แต่ฉินเฮ่ากลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกสัตว์ดุร้ายจ้องมองอยู่ ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว
ความเงียบสงบภายในห้องหนังสือดำเนินไปอีกสักพัก จนกระทั่งซูรุ่ยเปลี่ยนอิริยาบถ เขาขยับเสื้อคลุมให้เข้าที่ไปพลางชำเลืองมองมาทางฉินเฮ่า จากนั้นก็เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ “ฉินเฮ่า เจ้าอยากเป็นฮ่องเต้รึไม่ ”
“ท่านอาเก้า? ”
ฉินเฮ่านิ่งอึ้งไป ร่างกายแข็งค้างไปชั่วขณะ มองมาทางซูรุ่ยที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาแปลกใจ
“ตอนนี้ข้าให้ทางเลือกเจ้าสองทาง”
ซูรุ่ยใช้สองแขนเท้าไว้บนโต๊ะไม้แดง ลุกขึ้นยืนช้าๆ “ไม่ให้ข้าส่งเจ้าไปเป็นฮ่องเต้! ก็ให้ข้าส่งเจ้าไปปรโลก!”