ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 16 สลับตัวคุณหนูไฮโซ (16)
เหวินซูฟื้นจากอาการโคม่าได้ เป็นเรื่องที่ทำให้คนตระกูลซูรู้สึกยินดีที่สุดในวันนี้ ตอนเย็นซูไห่เฉิงให้พ่อครัวฝีมือดีที่สุดของร้านอาหารในเครือตระกูลซูมายังคฤหาสน์เพื่อปรุงอาหารมื้อเย็นอันหรูหราให้
โต๊ะอาหารขนาดยาวมีคนนั่งเต็มที่อยู่หกคน นี่เป็นมื้อเย็นที่มีคนมากที่สุด และครึกครื้นที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมาของตระกูลซู
ซูไห่เฉิงและเหวินซูประจำตำแหน่งเจ้าภาพสองฝั่ง ซูหว่านและซูรุ่ยนั่งทางฝั่งซ้ายมือ เจี่ยงโยวและหลัวอวี่นั่งทางขวามือ
ระหว่างมื้ออาหารเหวินซูยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา และคอยคีบอาหารใส่จานให้ลูกสาวทั้งสองของตนไม่หยุด ซูไห่เฉิงอารมณ์ดีอย่างมาก เขาเปิดไวน์แดงและรินใส่แก้วให้ซูรุ่ยด้วยตนเอง “เซียวฉี่ ครั้งนี้โชคดีจริงๆ ที่มีคุณ!”
จากเสี่ยวเซียวจนมาถึงเซียวฉี่ แม้ว่าเป็นคำเรียกคนคนเดียวกัน แต่อารมณ์และความหมายช่างไม่เหมือนกันเสียเลย
อันที่จริงซูรุ่ยอยากให้ซูไห่เฉิงเรียกตนว่าเสี่ยวเซียวไปตลอดจะดีกว่า เมื่อเทียบกับ ‘เสี่ยวชี่’ อะไรนั่นแล้วฟังดูดีกว่ามากโข
ส่วนหลัวอวี่ที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหาร เมื่อเห็นซูไห่เฉิงถึงขนาดรินไวน์ให้ซูรุ่ยเจ้า ‘คนบ้านนอก’ ด้วยตัวเอง สีหน้าของคุณชายใหญ่หลัวก็ดูขุ่นมัวลงทันที
เมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของหลัวอวี่ เจี่ยงโยวกลอกตาไปมา แล้วรีบคีบเนื้อปลามาให้หลัวอวี่พร้อมยิ้มให้ “หลัวอวี่ คุณลองชิมดู อาหารจานนี้อร่อยมากนะ”
“อือ”
เมื่อหลัวอวี่เห็นเจี่ยงโยวยิ้มให้ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาทันที เพียงแต่เมื่อมองเห็นเนื้อปลาที่เธอคีบมาให้ในถ้วยของตน เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว…
หลัวอวี่ไม่ทานปลา ที่เฟิงเหิงนี่ไม่ได้เป็นความลับอะไรเลย
แต่ทว่า เจี่ยงโยวกลับไม่รู้
“คุณภรรยา เธอก็ทานปลาด้วยสิ อาหารโปรดเลยนะ”
ในเวลานี้ซูรุ่ยยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมคีบเนื้อปลาให้ซูหว่าน เขาแกะก้างปลาออกไปหมดแล้ว
เรื่องความดูแลเอาใจใส่ของแม่ทัพซู ซูหว่านก็คุ้นเคยเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่เหวินซูที่นั่งอยู่ตำแหน่งเจ้าภาพ เมื่อเห็นซูรุ่ยปฏิบัติกับซูหว่านอย่างอ่อนโยนเอาใจใส่ นางก็อดยิ้มไม่ได้ พร้อมกับพูดเบาๆ ว่า “เสี่ยวหว่านของเรานะ ชอบทานปลามาตั้งแต่เล็ก ฉันจำได้ว่าตอนเธอหกขวบ ไม่ระวังเลยทำก้างปลาติดคอ ตอนนั้นเด็กคนนี้พอออกจากโรงพยาบาล ก็มากอดฉันทั้งน้ำมูกน้ำตาแล้วบอกว่า ต่อไปโตแล้วจะต้องหาสามีที่ช่วยแกะก้างปลาให้เธอให้ได้ ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นเรื่องจริง และเร็วอย่างนี้!”
เมื่อได้ยินเหวินซูพูด สายตาของซูไห่เฉิงที่มองซูรุ่ยก็ยิ่งอ่อนโยนกว่าเดิม อันที่จริงหลังจากซูรุ่ยช่วยเหวินซูให้ฟื้นขึ้นมา ในใจของซูไห่เฉิงก็ยอมรับในตัว ‘ลูกเขย’ คนนี้แล้ว ตอนนี้เขาเป็นพ่อตาที่มองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกสบายใจ
เมื่อเจี่ยงโยวได้ยินพ่อแม่ของตนชื่นชมเซียวฉี่ถึงขนาดนี้ เธอก็เกิดภาพในหัวขึ้นมา
จ้าวเหมยชอบทานปลามาก แต่เจี่ยงโยวเติบโตมากับแม่เลี้ยงตั้งแต่เล็ก และเลี้ยงมาจนเป็นแบบนี้ เธอยังจำได้ตอนสมัยยังเด็ก พี่น้องตระกูลเซียวจะแอบเอาปลาที่ที่บ้านทานเหลือมาให้เธอบ่อยๆ และทุกครั้งก็จะแกะก้างปลาออกหมด
เจี่ยงโยวในตอนนั้นยังไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้เมื่อเห็นพี่ใหญ่เซียวของเธอปฏิบัติกับซูหว่านอย่างอ่อนโยนเอาใจใส่เพียงนี้ ในใจของเจี่ยงโยวรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง…
ที่แท้พี่ใหญ่เซียวอ่อนโยนได้ถึงเพียงนี้ อ่อนโยนกว่าที่ปฏิบัติกับตนเสียอีก เพียงแต่ตลอดมาเป็นตัวเธอเองไม่เคยเอามาใส่ใจเลย
และตอนนี้ เขาก็แทบไม่มองเธอแล้วด้วย
เช่นเดียวกับเจี่ยงโยว อันที่จริงในใจของหลัวอวี่ก็รู้สึกแปลกๆ
เมื่อก่อนตอนที่ซูหว่านอยู่กับเขา เขาไม่ชอบทานปลา ซูหว่านก็ไม่เคยทานปลากับเขาเลย ในตอนนั้นหลัวอวี่ยังเข้าใจว่าเธอกับเขาไม่ทานปลาเหมือนกัน
ไม่คิดว่า…
นี่อาจเป็นความแตกต่างของการเป็นผู้รักและถูกรักก็ได้
ในตอนที่หลัวอวี่ได้รับความรักจากซูหว่าน เขามองเห็นแต่ข้อเสียของอีกฝ่าย และกลับไม่เคยสนใจเลยว่าคุณหนูใหญ่ที่รักเขาผู้นั้นทำอะไรไปเพื่อเขาบ้าง
แต่ในตอนนี้หลัวอวี่รักเจี่ยงโยว เขายินดีทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเจี่ยงโยว แต่เจี่ยงโยวที่ได้รับความรักจากเขาถึงเพียงนี้ ก็ไม่ได้สนใจเลยว่าแท้จริงแล้วหลัวอวี่ต้องการอะไร
ในความรักนั้น ไม่ใช่ว่าใครรักใครก่อนคนนั้นแพ้
ผู้แพ้มักเป็นคนที่ทุ่มเทและตอบสนองอีกฝ่ายไม่ได้ นั่นคือ เขาหรือเธออาจไม่ใช่คนที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่เมื่อมีใจให้ไปแล้ว เขาคนนั้นก็มักจะเป็นฝ่ายทุ่มเทให้ถึงที่สุด…
รู้สึกแน่นตึงเล็กน้อยหลังทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ หลัวอวี่ร่ำลาคนตระกูลซู เจี่ยงโยวผู้รู้หน้าที่ก็พาเขาไปส่งถึงหน้าประตู
ทางด้านแม่ทัพซู ซูไห่เฉิงถูกทำให้เชื่อใน ‘ความรู้ทางแพทย์’ ของเขา จึงออกปากเชิญซูรุ่ยให้อยู่ต่ออีกสักระยะหนึ่ง และจะได้ตรวจดูอาการของเหวินซูด้วย
คำเชิญนี้ ซูรุ่ยตอบตกลงในทันทีอย่างง่ายดาย
แต่เมื่อเห็นซูไห่เฉิงสั่งให้คนรับใช้จัดห้องให้ตน แม่ทัพซูก็แสดงสีหน้าผิดหวังในทันใด
“ท่านลุง ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น”
ซูรุ่ยโอบไหล่ซูหว่านด้วยความรักใคร่คุ้นเคย “ผมกับเสี่ยวหว่านอยู่ห้องเดียวกันก็ได้ อยู่ห่างเธอผมนอนไม่หลับ”
ซูไห่เฉิง “…”
ต่อหน้าว่าที่พ่อตาอย่างฉัน พูดจาแบบนี้ไม่เกรงใจกันเลยหรือ
“ก็ได้ เสี่ยวหว่านของเราก็ยกให้เธออยู่แล้ว”
ไม่ทันรอซูไห่เฉิงตอบ เหวินซูที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยิ้มแย้มตอบตกลงคำขอของซูรุ่ยเรียบร้อยแล้ว
“ฮูหยิน? ”
ซูไห่เฉิงมองเหวินซูอย่างแปลกใจ เหวินซูโน้มตัวมากระซิบข้างหูซูไห่เฉิง ท่าทีของซูไห่เฉิงดูมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งแล้วจึงตามเหวินซูขึ้นตึกไป ส่วน ‘คำขอที่ดูไม่สมควร’ ของซูรุ่ยนั้นก็ถือว่าได้รับอนุญาตไปโดยปริยาย
“คุณว่าเหวินซูพูดอะไรกับซูไห่เฉิง”
ซูรุ่ยซุกคางลงบนบ่าเล็กๆ ของซูหว่าน ถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ฉันเดาไม่ออก”
ซูหว่านไม่มีวิทยายุทธ์ การได้ยินย่อมไม่เฉียบคมเท่าซูรุ่ย
“นางบอกซูไห่เฉิงว่า…”
ซูรุ่ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ริมฝีปากขยับไปใกล้หูของซูหว่าน ขณะกำลังจะพูดต่อ จู่ๆ ก็มีเสียงขุ่นเคืองดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของคนทั้งสอง
“พี่ใหญ่เซียว! ”
เจี่ยงโยวเข้ามาจากนอกบ้านก็เห็นซูรุ่ยตัวแนบชิดกับซูหว่าน ดูราวกับกำลังจุมพิตใบหูนางอยู่
ชั่ววูบนั้น สมองของเจี่ยงโยวว่างเปล่า เมื่อรู้สึกตัวจึงตะโกนไปว่า ‘พี่ใหญ่เซียว’ การกระทำของซูรุ่ยจึงหยุดชะงักลง
“ขัดจังหวะจริง”
ซูรุ่ยพึมพำอย่างไม่พอใจ หันหน้าไปมองเจี่ยงโยวที่เดินมาจากประตูบ้านด้วยสายตาเย็นชา “คุณมีธุระอะไร”
“พี่ใหญ่เซียว ขอบคุณที่ช่วยแม่ฉันนะคะ จริงๆ … ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะขอบคุณพี่ยังไงดี”
ขณะนี้สายตาของเจี่ยงโยวมองซูรุ่ยที่อยู่ต่อหน้าเธออย่างจริงใจ เรื่องราวในอดีตมากมายผุดขึ้นมาในสมองเป็นฉากๆ ปีที่แล้วตอนที่จ้าวเหมยนอนโรงพยาบาล แล้วก็ตอนที่จ้าวเหมยจากโลกนี้ไป ในตอนนั้นเจี่ยงโยวผู้ไร้ญาติขาดมิตรจิตใจระส่ำระสายไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไรดี และทุกครั้งก็เป็นเซียวฉี่ที่ออกหน้าอย่างกล้าหาญ ช่วยเธออย่างสุดแรงกายแรงใจ และยังคอยช่วยสนับสนุนและให้กำลังใจอยู่ข้างกายเธออย่างเงียบๆ เสมอมา
เรื่องราวเหล่านี้อันที่จริงพอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็ถูกเจี่ยงโยวค่อยๆ ลืมไปทีละน้อย แต่ในวันนี้เมื่อเห็นพี่ใหญ่เซียวของเธอทุ่มเทอย่างสุดกำลังอีกครั้ง เพื่อช่วยชีวิตแม่แท้ๆ ของเธอจากเส้นระหว่างความเป็นและความตาย ความรู้สึกขอบคุณและมีเขาเป็นที่พึ่งที่อยู่ในก้นบึ้งจิตใจของเจี่ยงโยวที่มีต่อเซียวฉี่ ก็ถูกกระตุ้นให้ฟื้นคืนมาอีกครั้ง
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็เป็นพี่ใหญ่เซียวที่คอยช่วยเหลือฉัน ฉันรู้สึก…ฉันรู้สึกว่าการได้รู้จักพี่ เป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต”
ในตอนนี้ เจี่ยงโยวเพียงแค่อยากบอกความรู้สึกขอบคุณอย่างลึกซึ้งที่อยู่ในใจออกไป ซึ่งก็ไม่เป็นไร เธอไม่ได้มีเจตนาจริงๆ ไม่ได้เจตนามาทำตัวเรียกร้องความสนใจต่อหน้าแฟนสาวของชาวบ้าน
แต่การกระทำที่ทำให้คนเข้าใจผิดคิดไปต่างๆ นานานี่ก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก อย่างน้อยซูหว่านก็ไม่พอใจอยู่มาก
เธอรังเกียจที่ผู้หญิงคนอื่นใช้สายตาชื่นชม หรือเห็นเป็นที่พึ่งมามองยังซูรุ่ย…
มองอะไรกัน ไม่เคยเห็นผู้ชายหรือไง
ก็นั่นละ เมื่อคุณรักใครสักคนอย่างจริงจัง รักอย่างลึกซึ้ง การจะเปลี่ยนเป็นคนขี้หึงก็เป็นเรื่องธรรมดา
“อาฉี่ ฉันเหนื่อยแล้ว คุณอุ้มฉันขึ้นชั้นบน แล้วเราอาบน้ำนอนกันเถอะ”
ซูหว่านไม่ได้ทำอะไรรุนแรงต่อเจี่ยงโยวซึ่งหน้า เรื่องความงี่เง่าของนายท่านหญิงนี่ ซูหว่านมีประสบการณ์ฝังลึกมาก่อนหน้าแล้ว เธอจึงจะไม่เสียเวลาพูดจาไร้สาระกับนาง
ในตอนนี้ซูหว่านเพียงแต่พูดจาอ่อนโยน และใช้มือดึงปลายนิ้วของซูรุ่ยเบาๆ
“ได้เลยจ้ะ คุณภรรยา”
เมื่อได้ยินซูหว่านพูด ซูรุ่ยก็ไม่คิดอะไรอีกแล้ว รีบช้อนตัวภรรยาขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด แล้วอุ้มซูหว่านวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับยิ้มร่าเริง ส่วนเรื่องความซาบซึ้งในบุญคุณของนายท่านหญิงที่พล่ามมานั่นมันเรื่องบ้าอะไร
…………
เมื่อถึงหน้าประตูห้องนอน จู่ๆ ซูหว่านก็ออกแรงดิ้นขัดขืนอยู่ในอ้อมแขนซูรุ่ย ซูรุ่ยเลิ่กลั่ก เมื่อคิดได้จึงคลายมือวางตัวเธอลง
“คุณภรรยา เธอ…”
ซูรุ่ยพูดยังไม่ทันจบ ทั้งตัวก็ถูกซูหว่านที่อยู่ต่อหน้าเขาดันตัวไปติดกำแพงข้างประตูห้องนอนแล้ว
“ยืนชิดกำแพง อย่าขยับ! ”
ซูหว่านทำสีหน้าเย็นชา มองซูรุ่ยด้วยสายตาแหลมคม
แม่ทัพซูผู้ไม่รู้เลยว่าตนเองไปทำความผิดอะไรมา และเป็นครั้งแรกที่ถูกภรรยาทำตัวเย็นชาใส่แบบนี้ จึงจ้องตาซูหว่านอย่างสับสนอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วแม่ทัพซูก็ได้เห็นฉากที่ทำให้เขาใจเต้นเร็วขึ้นอีก…
ซูหว่านที่ไม่ได้ตัวสูงนักเขย่งเท้าขึ้น มือข้างหนึ่งยันผนังไว้ ถึงแม้ว่าแขนของเธอจะยื่นถึงแค่บริเวณไหล่ของซูรุ่ย แต่ซูหว่านก็ยกมืออีกข้างขึ้นมาอย่างมุทะลุดุดัน เธอโอบรอบคอซูรุ่ยไว้และเขย่งเท้า โถมตัวมาจูบบดขยี้เขา…
ไอ้การล็อกตัวประชิดกำแพงนี่นะ เป็นเทคนิคพิฆาตในการแสดงความรักที่เด็ดขาดจริงๆ!
เจี่ยงโยวที่ตามหลังสองคนขึ้นบันไดมาติดๆ ยืนอยู่ที่หัวบันไดคงตะลึงไปแล้ว ว่าไหม