ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 9 ตำนานแม่พระแห่งวังหลัง
ห้องทรงงาน ณ ตำหนักกลาง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวังหลังเมื่อวานได้กระจายไปทั่วราชสํานักแล้วในเช้าวันนี้ ตอนนี้บนโต๊ะหนังสือในห้องทรงงานจึงเต็มไปด้วยหนังสือฎีกาของขุนนางในราชสํานักและหนังสือรับรองของฝ่ายตรวจการ หนังสือฎีกาหลายเล่มในนี้มาจากทงฝ่ายใต้ของราชสํานัก ฝ่ายใต้คอกลุ่มขุนนางหัวดื้อที่นําโดยหนานอวี๋สื่อ ผู้ที่ทำให้ตงฟางเย่าปวดหัวมากที่สุด หลังจากที่เจ้าของร่างเดิมขึ้นครองราชย์ ตาเฒ่าเหล่านี้ก็หาเรื่องให้เขาไม่น้อยทีเดียว และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหฃ่าผู้อาวุโสคร่ำหวอด อีกทั้งไทเฮาที่คอยหนุนหลังพวกเขา ตงฟางเย่าจึงได้แค่จำใจทนต่อไป
แต่คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่ากลุ่มนี้จะสอดมือมายุ่งมากเช่นนี้ ยุ่งมากเรื่องจนลามมาถึงเรื่องของวังหลังของฮ่องเต้แล้ว
ซูรุ่ยยิ้มอย่างเย็นชาเมื่อมองไปเห็นหนังสือฎีกาที่ตำหนิเขาว่าเขาโหดเหี้ยมเกินไป เรียกว่าโหดเหี้ยมอะไรกัน พวกคุณไม่รู้หรอกว่าความโหดเหี้ยมที่แท้จริงคืออะไร ก็เป็นแค่พวกตาแก่หัวโบราณที่อาศัยความชราของตนเองทำตัวดื้อรั้นก็เท่านั้นเอง
ตงฟางเย่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาและต้องรักษาเสถียรภาพของราชสํานักเอาไว้ เขาจึงจำต้องประนีประนอมคนของฝ่ายใต้ แต่ตอนนี้ซูรุ่ยกลายเป็นตงฟางเย่าแล้ว เขาไม่สนใจคําตำหนิของคนกลุ่มนี้ หากไม่ได้จริงๆ ก็ตัดหัวทิ้งเสียให้หมดก็สิ้นเรื่องแล้วนี่?
ฝ่าบาท
วังอี้ที่เดิมทีเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องทรงงานรีบเดินมาที่ข้างๆ ซูรุ่ย โค้งตัวไว้แล้วก้มหน้าพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า ฝ่าบาท คนของตำหนักฉือหนิงมา ไทเฮาทรงเชิญให้ท่านไปที่ตําหนักฉือหนิงเพื่อเสวยพระกายาหารร่วมกันพะยะค่ะ
ไทเฮาหรือ?
ข้ายุ่งมาก ไม่มีเวลา
ซูรุ่ยไม่ได้รู้สึกดีต่อไทเฮาแห่งราชสํานักองค์ปัจจุบันเลย ไทเฮาที่ยังสาวก็ได้อยู่เพียงลำพังคนนี้สนิทสนมกับบรรดาประยูรญาติของนางมาตลอด หมายมั่นที่จะปกครองราชสํานักเสมอมา ที่สําคัญกว่านั้นก็คือ ความจริงแล้วนางไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของตงฟางเย่า สองแม่ลูกย่อมไม่มีใจเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นธรรมดา
เมื่อได้ยินคําพูดของซูรุ่ย วังอี้ก็ไม่รู้แปลกใจนัก หลายวันที่ผ่านมานี้ฝ่าบาททรงผิดปกติไปมากทีเดียว วังอี้ที่เจอเหตุการณ์แปลกๆ มามากมายก็เรียนรู้ที่จะนิ่งเฉยแล้ว
ก็แค่ปฏิเสธไทเฮามิใช่หรือ? นี่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทเคยอยากทํามาโดยตลอด แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ทํามิใช่หรือ?
เมื่อนึกถึงท่านผู้นั้นที่อยู่ในตำหนักฉือหนิง วังอี้ห้ามจนเองไม่ให้ขมวดคิ้วไม่ได้ นึกถึงสมัยที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังทรงมีพระชนชีพอยู่ พระนางยังเป็นคนที่มีคุณธรรมและอ่อนโยนถึงเพียงนั้น แต่หลังจากที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตแล้วและทรงมอบฝ่าบาทองค์ปัจจุบันให้พระนางดูแล พระนางก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนในทันควัน วันๆ เอาแต่ละโมบโลกมากที่จะสร้างพันธมิตรต่างๆ นี่พระนางคิดอยากจะตั้งตนจักรพรรดินีหรืออย่างไร?
หลังจากที่หวังอี้จากไป ซูรุ่ยก็พลิกดูหนังสือฎีกาอย่างสบายใจ เมื่อเขาเห็นหนังสือคำร้องจกนายพลของกองครักษ์รักษาพระองค์แล้ว ซูรุ่ยก็ชะงักไปชั่วขณะ สายตาจับจ้องไปที่ชื่อของคนคนหนึ่ง
เฉินเฉิงเป่ย
เขาเป็นคู่หมั้นของซูหว่านในเนื้อเรื่องเดิมและยังเป็นพระเอกของโลกใบนี้ด้วย และหนังสือฎีกานี้นายพลของกององครักษ์รักษาพระองค์อยากจะเลื่อนตําแหน่งให้กับองครักษ์ที่ฝีมือโดดเด่นของตนเอง เฉินเฉิงเป่ยก็อยู่ในคำร้องขอเลื่อนตําแหน่งในครั้งนี้ด้วย
ซูรุ่ยขมวดคิ้วมองดูอยู่นาน สุดท้ายก็เขียนคําว่า อนุมัติ ลงไป
ส่วนหนังสือฎีกาอื่นๆ ก็ถูกแม่ทัพซูเพิกเฉยทั้งหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้นใดๆ …
กองพระภูษา ณ วังหลัง
เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น ข้างหลวงกองพระภูษาล้มตายไปหลายคนทีเดียว ตอนนี้คนจึงไม่พออย่างหนัก เลี่ยวซืออี๋กําลังพาเหยียนอวี่นั่วไปดูรายชื่อของนางกำนัลที่เข้าวังมาใหม่ นางอยากจะคัดกรองนางกำนัลน้อยที่มีฝีมือด้านการเย็บปักที่ดีเพื่อเสริมกําลังคนของกองพระภูษา
สวี่ปิงเย่ว์?
ในบัญชีรายชื่อนางกำนัล เหยียนอวี่นั่วรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นชื่อสวีปิงเย่ว์ วันนั้นตอนอยู่สำนักหมอหลวงนางก็รู้จักนางกำนัลน้อยคนนี้แล้ว นางรู้ว่านางกับซูหว่านเป็นคนนำตนไปส่งที่สำนักหมอหลวงด้วยกัน ต่อมาเธอยังบอกชื่อเต็มของเธอกับตนว่านางมีชื่อว่า สวีปิงเย่ว์
อวี่นั่ว เจ้ารู้จักนางหรือ?
เมื่อได้ยินเสียงของเหยียนอวี่นั่ว เลี่ยวซืออี๋ที่อยู่ข้างๆ ก็หันกลับไปมองเธอแล้วถามด้วยความสงสัย
เลี่ยวซืออี๋ เมื่อวานบ่าวเป็นหวัดลมหนาว เป็นนางกับซูหว่านที่พาบ่าวไปสำนักหมอหลวงด้วยกันเจ้าค่ะ
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เหยียนอวี่นั่วก็อดนึกถึงซูหว่านที่ถูกส่งไปฝ่ายหอแรงงานไม่ได้ สีหน้าของเธอก็พลันเศร้าโศกขึ้นมาทันใด ไม่รู้ว่าซูหว่านอยู่ที่นู่นเป็นอย่างไรบ้าง? สุขภาพของเธอไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่านางจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่?
เพราะวันนี้ที่กองพระภูษาคอนข้างยุ่งมาก เหยียนอวี่นั่วยังไม่ทันได้เจอเฉินจี๋จึงไม่รู้ว่าเรื่องของเขาจัดการได้อย่างไรบ้าง
เมื่อได้ยินคําพูดที่เป็นห่วงของเหยียนอวี่นั่ว เลี่ยวซืออี๋ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจ ซูหว่านเองก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี แต่กลับล่วงเกินฝ่าบาท ถึงแม้จะบอกว่าส่งไปกองแรงงานเพียงหนึ่งเดือน แต่เมื่อถึงเวลาแล้วหากไม่มีคําสั่งของฝ่าบาท ใครจะกล้าปล่อยนางออกมาตามอำเภอใจกันเล่า?
อวี่นั่ว ทุกคนในวังหลังนี้ต่างก็อยู่อย่างไม่มีที่พึ่ง ทุกคนล้วนมีชะตากรรมของตนเอง เจ้าแค่ต้องดูแลตนเองให้ดีก็พอแล้ว
เลี่ยวซืออี๋มองออกว่าเหยียนอวี่นั่วใจดีเกินไปอีกทั้งยังหูเบา นางต้องคอยพูดเตือนสตินางอยู่เรื่อยๆ เพื่อในวันข้างหน้านางจะได้ไม่หลงเชื่อคำผู้อื่นจนตัวเองต้องหาไม่
เมื่อได้ยินคําพูดของเลี่ยวซืออี๋ เหยียนอวี่นั่วก็ขยับปากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นางรู้ดีว่าเลี่ยวซืออี๋มีวิธีการใช้ชีวิตของตน แต่เหยียนอวี่นั่วก็มีหลักการเป็นของตนเอง นางรู้ว่าที่ซูหว่านต้องถูกลงโทษเช่นนี้เพราะตัวนางเอง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องหาวิธีช่วยซูหว่านออกมาให้จนได้
ในเมื่อเจ้ารู้จักซูปิงเย่ว์ แล้วเจ้าคิดว่านางเป็นยังไง?
เมื่อเห็นว่าเหยียนอวี่นั่วไม่พูดอะไร เลี่ยวซืออี๋ก็หันไปมองที่รายชื่อนางกำนัลในมือตัวเองอีกครั้ง
ปิงเย่ว์ใจดีและกระตือรือร้นมาก เธอเป็นเด็กสาวที่ดี
เหยียนยวี่นั่วนึกถึงใบหน้าของสวีปิงเย่ว์ที่อยู่ในความทรงจําของเธอ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดด้านดีๆ ของเธอออกมา
ในเมื่อเจ้าคิดว่านางไม่เลว ก็ให้นางทํางานกับเจ้าแทนซูหว่านละกัน
เลี่ยวซืออี๋ยังคงไว้วางในตัวเหยียนอวี่นั่วมาก พอเห็นเลี่ยวซืออี๋เช็กถูกไว้ที่ชื่อของสวีปิงเย่ว์แล้ว รอยยิ้มที่มีความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหยียนอวี่นั่ว ในเวลานี้แม่พระเหยียนคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ สวีปิงเย่ว์จะกลายเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ…
ณ หอแรงงาน…
ซูหว่านที่อยู่ในห้องมาทั้งเช้าด้วยเพราะไม่มีอะไรให้ทำ เธอจึงเดินเล่นอยู่ในลานหน้าเรือนของกองแรงงาน ที่นี่แตกต่างจากกองซักล้าง บ่าวรับใช้ของกองซักล้างต้องซักเสื้อผ้าอยู่ในลานหน้าเรือนทุกวัน ตั้งแต่เช้าจนถึงดึกก็อยู่ได้แต่ในสถานที่ที่เดียวเท่านั้น ส่วนคนของกองแรงงานส่วนมากกลับทํางานอยู่ข้างนอก มีแต่ตอนกลางคืนหรือตอนกินข้าวเท่านั้นทุกคนถึงจะกลับมาได้
ช่วงเวลาเที่ยง ลานหน้าเรือนของหอแรงงานว่างเปล่า ใบไม้แก่สีเหลืองที่ร่วงหล่นถูกลมสารทฤดูพัดปลิวไปทั่วพื้น ใบไม้ที่ร่วงหล่นทั่วพื้นที่ทําให้ลานหน้าเรือนอันแสนเงียบสงัดนี้ยิ่งดูหดหู่ยิ่งกว่าเดิม
ซูหว่านเดินเตร็ดเตร่อยู่ในลานหน้าเรือนไปหนึ่งรอบ พอเดินมาถึงหน้าประตูก็เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งแอบดูอยู่หน้าประตูหอแรงงานอย่างน่าสงสัย
ซูหว่านขมวดคิ้ว ไม่คิดที่จะสนใจ แต่เวลานี้นางกำนัลน้อยที่สวมอาภรณ์สีฟ้าที่อยู่ตรงหน้าประตูกลับมองเห็นร่างเงาของซูหว่านเข้า เธอก็รีบกวักมือเรียกนางแล้วกระซิบด้วยเสียงเบาว่า นี่! น้องสาวผู้นั้น ขอคุยด้วยหน่อย
ซูหว่าน …
ฉันแกล้งทําเป็นว่าฉันไม่ได้ยินได้ไหม
น้องสาว! น้องสาว!
เห็นซูหว่านไม่สนใจตนหันหลังกำลังจะเดินกลับไป นางกำนัลน้อยผู้นั้นก็ร้อนรนยิ่งขึ้น นางมองไปรอบๆ แล้วรีบวิ่งเข้าไปในประตูใหญ่ของกองแรงงาน จากนั้นจึงดึงซูหว่านไปอย่างแรงเข้าไปที่ยังมุมนอกประตู น้องสาว พี่สาวมีเรื่องอยากจะถามเจ้า
ระหว่างที่พูด นางกำนัลผู้นั้นก็ยัดเศษเงินใส่ในมือของซูหว่าน
เงินเดือนของนางกำนัลในกองแรงงาน มีเพียงครึ่งเดียวของนางกำนัลชั้นต่ำ แม้ว่าเศษเงินเหล่านี้จะน้อย แต่ในสายตาของพวกนางก็นับว่าเป็นโชคลาภที่คาดไม่ถึง
นางกำนัลที่สวมชุดผ้าสีฟ้ากําลังรอให้ซูหว่านเผยรอยยิ้มให้ตนเอง ผลสุดท้ายซูหว่านทำเพียงแค่เก็บเงินนั้นไว้เงียบๆ สายตามองไปที่นางด้วยความเฉยเมย เจ้าถามมาเถอะ สิ่งที่ข้ารู้มีไม่มาก
จริงๆ แล้วเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนของกองแรงงานเลยต่างหาก
เอ่อ
นางกำนัลน้อยได้ยินคำพูดของซูหว่านแล้วก็ตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็ว เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่รวดเร็ว เมื่อวานกองแรงงานของพวกเจ้ามีนางกำนัลใหม่ที่ชื่อซูหว่านเข้ามาใหม่ เจ้ารู้หรือไม่
หืม
ซูหว่านได้ยินชื่อตัวเองแล้วก็ตาเป็นประกายและพยักหน้าลงเบาๆ ข้ารู้
แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดนางจึงเข้ามาอยู่ในหอแรงงานได้?
จากนั้นนางกำนัลชุดน้ำเงินก็ถามต่อ ราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะเห็นเข้า น้ำเสียงของเธอยิ่งพูดยิ่งเร็ว
ข้าได้ยินมาว่านางล่วงเกินฝ่าบาท
ซูหว่านตอบอย่างไม่ร้อนรน สายตาเธอฉวยโอกาสนี้กวาดมองไปที่นางกํานัลน้อยหนึ่งรอบ นางอายุยังน้อยแต่กลับสวมชุดตําหนักทำจากผ้าต่วน อีกทั้งของประดับคาดศีรษะก็ราคาสูง หากซูหว่านเดาไม่ผิด นางน่าจะเป็นหัวหน้านางกํานัลที่อยู่ข้างกายพระชายาบางองค์แน่ ส่วนพระชายาผู้นี้น่าจะเป็น…
เจ้าทราบหรือไม่ว่านางล่วงเกินฝ่าบาทเรื่องใด เสียงสอบถามของนางกำนัลชุดน้ำเงินขัดจังหวะความคิดของซูหว่านไป
ไม่ทราบ ซูหว่านส่ายหน้าด้วยสีหน้าไร้เดียงสา เรื่องนี้นางไม่ได้พูดออกมา เราเองก็ไม่อยากจะถามอะไรมาก
เมื่อได้ยินคําตอบของซูหว่าน นางกำนัลชุดน้ำเงินก็ล้วงเอาเศษเงินส่วนหนึ่งออกมาอีกแล้วยัดใส่มือของซูหว่าน วันนี้เจ้าช่วยข้าสืบหาสาเหตุที่นางถูกลงโทษหน่อยเถิด พรุ่งนี้เวลานี้ข้าจะมาที่นี่อีก หากเจ้าสามารถสืบหาออกมาได้ ข้าจะต้องตอบแทนอย่างหนัก!
ตอบแทนอย่างหนัก?
ซูหว่านตาเป็นประกาย ได้สิ ยังไม่ทราบว่าจะเรียกพี่สาวว่าอย่างไรดี
ข้า?
นางกำนัลชุดน้ำเงินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยเสียงเบาๆ เจ้าเรียกข้าว่าพี่หว่านซินก็แล้วกัน ข้าขอตัวก่อนนะ เรื่องที่ข้าขอให้เจ้าช่วย เจ้าต้องจําไว้นะ! พรุ่งนี้มารอข้าที่นี่!
ระหว่างที่พูดคุยกัน หว่านซินก็มองไปรอบๆ อย่างร้อนรน จากนั้นจึงรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หว่านซิน หัวหน้านางกำนัลของตําหนักซิ่วหนิง หนึ่งในคนสนิทของเหลียงเฟย
ซูหว่านมองไปยังทิศทางที่หว่านซินเดินจากไป ในใจก็นึกถึงเหลียงเฟยที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน…
เธอส่งคนมาถามไถ่ข่าวของตัวเองโดยเฉพาะ เพราะเพียงแค่อยากรู้เรื่องการนองเลือดในวังหลังครั้งนี้งั้นเหรอ? หรือเธอมีตาทิพย์รู้เห็นผู้มีพรสวรรค์ ตอนนี้จึงมาจับตาดูเธอกันนะ
ในวังหลังของตงฟางเย่าเนี่ย ไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหนัดน้ำมัน[1] เลยจริงๆ
……
[1] ยกมาจากสำนวน ไม่ใช่ตะเกียงประหวัดน้ำมัน สำนวนเปรียบเปรยคนที่เรื่องมาก มักสร้างความวุ่นวายให้ผู้อื่นอยู่เสมอ