มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 47 หนึ่งปีของบ้านตระกูลจิ๋ง
จิ๋งจิ่วมิได้เคาะประตู หากแต่ยื่นมือเอาอิฐก้อนหนึ่งดันเข้าไปในผิวกำแพงครึ่งชุ่น[1]
นี่แท้นี่เป็นประตูกล
ด้านหลังประตูมีเสียงของหนักๆ กำลังกลิ้งอยู่ — สายตาเขาไม่สามารถมองทะลุประตูไม้ได้ แต่เขารู้ว่านั่นเป็นก้อนหินที่มีความเรียบลื่นก้อนหนึ่งกำลังกลิ้งไปตามรางที่ถูกยึดเอาไว้ ต้องกลิ้งไปอีกไกลกว่าจะตกลงไปทับชามกระเบื้องใบใหญ่ใบหนึ่งจนแตก
ผ่านไปครู่ใหญ่ ประตูไม้ยังไม่เปิดออก
เขายืนรออยู่บนบันได้หิน สีหน้าเรียบเฉยเหมือนปกติ
ฝนเริ่มหนักขึ้น ตกลงมาบนหมวกลี่เม่า ก่อนจะไหลลงมาตามขอบหมวก ดูคล้ายน้ำตกในฤดูแล้ง
เนื่องเพราะฝนที่ตกลง ฝีเท้าของคนที่สัญจรไปมาด้านนอกตรอกจึงเร่งรีบ ไม่มีใครสังเกตเห็นเขา
เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น ในที่สุดประตูบ้านก็ถูกเปิดออก ด้านหลังประตูมีชายชราผู้หนึ่งปรากฏกาย
ชายชราผู้นั้นใบหน้าสี่เหลี่ยม คิ้วเหยียดตรงดวงตาใสกระจ่าง แก้มสองข้างแดงเรื่อเล็กน้อย มิรู้เป็นเพราะดื่มสุรามาหรือว่ารู้สึกตื่นเต้น เขาสวมเสื้อชั้นเดียวสีเทา สายรัดยังมิได้รัดให้เรียบร้อย น่าจะแค่เอามาคลุมไว้เฉยๆ ดูเหมือนจะค่อนข้างรีบร้อน สายตาที่มองจิ๋งจิ่วเต็มไปด้วยความสงสัยและพินิจพิเคราะห์
จิ๋งจิ่วหยิบเอาป้ายไม้แผ่นหนึ่งส่งให้เขา
ชายชราผู้นั้นมิกล้ารับมา หากแต่ก้มตัวลงมองอย่างตั้งใจ
กระทั่งแน่ใจว่าเป็นของจริง เขาจึงคุกเข่าทั้งสองข้างลงไปอย่างไม่ลังเล มิได้สนใจพื้นที่ถูกฝนตกใส่จนเปียกเลยแม้แต่น้อย
“ลุกขึ้น” จิ๋งจิ่วกล่าว
ชายชราลุกขึ้น ก่อนจะเชิญเขาเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าท่าทางถ่อมตนและสุภาพ เดินตามระเบียงด้านข้างเข้าไปยังส่วนลึกของบ้าน
ในบ้านมีคน พูดให้ถูกคือมีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง
ภายในโถงด้านนอกที่เปิดโล่ง ครอบครัวนั้นกำลังกินข้าวกันอยู่ มีทั้งคนแก่และเด็ก มีทั้งหญิงและชาย เรียกได้ว่าครบถ้วนสมบูรณ์
สายตาของทั้งครอบครัวล้วนแต่อยู่บนโต๊ะ พวกเขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างเสียงเบาๆ คล้ายมิได้สังเกตเห็นจิ๋งจิ่วและชายชราผู้นั้นเลย
ภาพเหตุการณ์นี้ดูค่อนข้างแปลกประหลาด
จู่ๆ เด็กอายุสามสี่ขวบคนนั้นพลันสลัดตัวออกมาจากอ้อมกอดของมารดา ก่อนจะวิ่งมายังหน้าธรณีประตูพลางมองจิ๋งจิ่วอย่างสงสัยใคร่รู้ เด็กน้อยยื่นมือเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกผู้เป็นบิดารีบอุ้มกลับไป
花厅里响起孩子的哭声。
ภายในโถงมีเสียงร่ำไห้ของเด็กดังขึ้นมา
บนระเบียงทางเดิน จิ๋งจิ่วถอดหมวกลี่เม่าออก ก่อนจะเหลือบมองไปทางด้านนั้น
เด็กน้อยมองเห็นใบหน้าของเขา พลันตกตะลึงจนลืมร้องไห้
……
……
“นี่คือตระกูลจิ๋ง?”
“ขอรับ พวกเขาทำงานอยู่ในไท่ฉางซื่อ[2]มาหลายชั่วอายุคน ถือเป็นลูกน้องของตระกูลข้า”
ชายชราใบหน้าสี่เหลี่ยมผู้นั้นมองดูจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวว่า “ข้าสามารถรับรองกับท่านได้ พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่สิ่งใดที่ควรจำ พวกเขาก็ไม่มีวันลืมเด็ดขาด”
จิ๋งจิ่วทราบว่าคนเหล่านั้นก็คือบิดามารดาแต่ในนามของเขา ทั้งยังมีปู่ที่แก่ชราและพี่สะใภ้ ส่วนเด็กคนนั้นเป็นหลานชายหรือว่าหลานสาวกันนะ? นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เตรียมการเอาไว้ตั้งแต่ครั้งนั้น เขามิถนัดในเรื่องเหล่านี้ แต่ในราชสำนักมีคนที่ถนัดทำเรื่องแบบนี้อยู่หลายคน
เขานั่งลงไปบนเก้าอี้ กล่าวถามว่า “หลายปีมานี้มีคนมาสืบกี่คน?”
ชายชรายืนอยู่ข้างหน้า กล่าวว่า “ครั้งแรกสุดคือเมื่อเจ็ดปีก่อน ยอดเขาซั่งเต๋อของชิงซานเคยมาตรวจสอบที่นี่ ตามหลักแล้ว ด้วยฝีมือของพวกเขาน่าจะสังเกตเห็นได้ถึงปัญหา ข้าเลยรีบทำการแก้ไขหลังจากนั้น แต่ที่น่าแปลกคือพวกเขามิได้มาตรวจสอบอีก นี่ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอด”
จิ๋งจิ่วย่อมต้องรู้ว่าเหตุใดยอดเขาซั่งเต๋อไม่สืบต่อ จึงกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องสนใจ”
“จากนั้นก็มีความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ สองครั้ง คือเมื่อสี่ปีก่อนและเมื่อหนึ่งปีก่อน”
ชายชรากล่าวว่า “มีคนจากสำนักต่างๆ รวมยี่สิบเอ็ดสำนักแอบมาสืบอย่างเงียบๆ หูกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังก็เคยส่งคนมาขอรับ”
เมื่อสี่ปีก่อน เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วสืบทอดกระบี่ของยอดเขาเสินม่อ สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรต สายตาของสำนักส่วนใหญ่ล้วนแต่มองไปยังเจ้าล่าเยวี่ย แต่ก็มีการสืบเรื่องของจิ๋งจิ่วไปด้วยบ้าง เมื่อหนึ่งปีก่อนคือในงานเลี้ยงซื่อไห่ของสำนักกระบี่ซีไห่และงานชุมนุมซื่อเจี้ยนของชิงซาน จิ๋งจิ่วเอาชนะกู้หาน หักกระบี่ของกั้วหนานซาน ความคิดของเหล่าอาจารย์ชิงซานที่จงใจทำเป็นเงียบๆ ไม่ให้เป็นที่สะดุดตา เพื่อจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นนักรบปาฏิหาริย์ย่อมต้องพังทลายลง ผู้สืบทอดของนักพรตจิ่งหยางและอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่แท้จริง มีหรือที่จะไม่ตกเป็นเป้าสายตา?
ชายชราทราบเรื่องเหล่านี้ แล้วก็ย่อมต้องทราบด้วยว่าชายหนุ่มผู้นี้คือจิ๋งจิ่ว
ตระกูลจิ๋งย้ายมาอยู่บ้านเล็กหลังนี้ยี่สิบปีก็เพื่อคนผู้นี้
“ข้ามาร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ช่วงนี้จะพักอยู่ที่นี่”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าส่งจดหมายไปบอกบ้านตระกูลเจ้าหน่อย”
ชายชราทราบถึงสถานะของเขา เช่นนั้นก็ย่อมต้องทราบว่าบ้านตระกูลเจ้าที่เขาพูดถึงคือที่ใด เมื่อเห็นว่าเขามิได้สั่งกำชับอะไรอีก จึงเดินออกมาจากทางลับด้านหลังห้อง
ทางลับเส้นนี้ทะลุไปยังบ้านอีกหลังที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจ้าง
บ้านหลังนั้นมีพื้นที่กว้างขวาง ตกแต่งเอาไว้อย่างวิจิตรงดงาม มีความหรูหราแฝงอยู่ภายใน
ชายชรานั่งเงียบอยู่ในห้องหนังสือ ผ่านไปครู่ใหญ่จิตใจก็ยังมิอาจสงบลงได้
หลายปีก่อน บิดาของเขาเคยสั่งกำชับเขาเอาไว้อย่างจริงจัง ที่ตระกูลของเขาสามารถมีหน้ามีตามาจนถึงทุกวันนี้ได้ ล้วนแต่เป็นเพราะทำเรื่องสองเรื่องสำเร็จ หนึ่งคือสนับสนุนฝ่าบาทหวงเสินอย่างไร้เงื่อนไข สองคือเชื่อฟังทุกคำสั่งของผู้ที่ครอบครองป้ายไม้นี้
แล้วหากทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันจะทำอย่างไร? เวลานั้นตัวเขาซึ่งอายุยังน้อยอดถามขึ้นมามิได้
บิดากล่าวว่า เจตจำนงของฝ่าบาทหวงเสินและผู้ที่ถือป้ายไม้นี้จะต้องตรงกันอย่างแน่นอน
คนหนุ่มย่อมมีความดื้อรั้น เขายังคงดึงดันถามว่า แล้วถ้าเกิดขัดแย้งกันล่ะ?
เขาจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นบิดาเขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นคำตอบที่ให้ออกมาคือฝ่ายหลัง
ขณะนั้นเขาตกตะลึงเป็นยิ่งนัก จวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังคงรู้สึกเช่นนั้นอยู่
เขาไม่กล้าและไม่อยากที่จะลบก้อนเมฆที่ปกคลุมอยู่เหนือตระกูลมาเป็นเวลาหลายร้อยปีก้อนนี้ไป แต่ก็ยากที่เขาจะไม่รู้สึกสงสัย ที่น่าเสียดายก็คือเมื่อยี่สิบปีก่อนตอนนี้ลงมือจัดการเรื่องบ้านหลังนั้นด้วยตัวเอง เขาเพียงแค่ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งมา บนจดหมายมีลายตราประทับที่อยู่บนป้ายไม้และคำของ่ายๆ สองสามข้อ เขายังคงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
กระทั่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้มีสำนักบำเพ็ญพรตไปจนถึงคนจากในวังพากันจับตาดูบ้านหลังนั้น เขาจึงได้ทราบถึงสถานะของอีกฝ่าย อีกทั้งยังเคยใช้กำลังและเส้นสายของตัวเองแอบสืบเรื่องของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ เพราะจิ๋งจิ่วอายุน้อยอย่างมาก ต่อให้เป็นอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ มันก็ดูไม่เข้ากับป้ายไม้อันนั้นเลย
จิ๋งจิ่วน่าจะเป็นผู้สืบทอดป้ายไม้อันนั้นกระมัง?
ขณะที่ชายชรากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ด้านนอกหน้าต่างพลันมีเสียงเตือนเบาๆ ของพ่อบ้านดังขึ้นมา
“นายท่าน ใกล้จะเลยฤกษ์แล้วนะขอรับ”
……
……
ฝนฤดูใบไม้ผลิตกโปรยปราย แต่แนวป้องกันสองชั้นที่เกิดจากข่ายพลังและผลึกแก้วกลับทำให้แขกเหรื่อที่อยู่เต็มสวนไม่ต้องกังวลว่าตนเองจะต้องเปียกฝน ในทางกลับกัน มันกลับเพิ่มความความงดงามได้หลายส่วน เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดบรรยากาศภายในงานก็เริ่มแปลกประหลาดขึ้นมา เสียงฝนค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเสียงพูดคุย
ระหว่างที่งานแต่งกำลังจัดขึ้นพลันมีเสียงชามแตก เจ้าของบ้านรีบร้อนเดินออกไป ผ่านไปเป็นเวลานานยังไม่กลับมา คล้ายกับหายลับไปอย่างไรอย่างนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ได้ยินว่าท่านผู้เฒ่าเมื่อสมัยหนุ่มๆ ชอบสร้างเรื่องสร้างราว หรือนิสัยเก่าจะกำเริบ?”
“ท่านผู้เฒ่ารักลูกชายคนเล็กมากที่สุด ทำไมจู่ๆ ถึงเดินออกไปจากงานแต่งแบบนี้ล่ะ?”
“อย่าพูดเหลวไหลไป เห็นพูดกันว่าท่านผู้เฒ่าสติเลอะเลือน ไม่ยอมใกล้ชิดกับคนในวัง แต่หลายปีมานี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น เรือนหลังนี้ก็ยังตั้งอยู่อย่างมั่นคง ทั้งยังรั้งตำแหน่งดูแลไท่ฉางซื่อ จิตใจงดงามคุณธรรมสูงส่ง นี่ต่างหากถึงเรียกว่าเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้! คนเลอะเลือนทำเช่นนี้ได้หรือ?”
“แต่ฤกษ์ดีใกล้จะผ่านไปแล้วนะ”
ขณะที่แขกเหรื่อกำลังพูดคุยกัน พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหน้า
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะรีบเก็บเสียงอย่างรวดเร็ว สีหน้าจริงจัง ก่อนจะยืนโน้มกายคารวะ
“คารวะลู่กั๋วกง”
“ขออภัยด้วย พอดีมีธุระด่วน”
ลู่กั๋วกงมีใบหน้าสี่เหลี่ยม กิริยาท่าทางดูมิธรรมดา แม้นจะเป็นการอธิบายก็ดูมีอำนาจน่าเกรงขาม เทียบกับชายชราที่ดูเหมือนพ่อบ้านท่าทางสุภาพถ่อมตนตรงหน้าจิ๋งจิ่วผู้นั้นแล้ว เหมือนมิใช่คนเดียวกัน
วันนี้เป็นวันแต่งงานของลูกชายคนเล็กของลู่กั๋วกงและลูกสาวคนเล็กของอัครมหาเสนาบดี
พิธีจัดขึ้นไปได้ครึ่งหนึ่ง ลู่กั๋วกงพลันหายตัวไป จนกระทั่งเวลานี้ถึงจะปรากฏตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
แขกทั้งงานไม่มีผู้ใดกล้าถาม
แขกบางคนที่สายตาแหลมคมสังเกตเห็นว่าใต้ชุดพิธีการของกั๋วกงเหมือนจะมีชุดสีเทาที่มิได้เข้ากับงานอยู่ เข่าทั้งสองข้างมีน้ำซึมออกมา ดูแล้วยากที่จะเข้าใจได้
…………………………………………………………..
[1]ชุ่น หน่วยวัดความยาวของจีน ยาวประมาณ 1.312 นิ้ว
[2]ไท่ฉางซื่อ คือ หน่วยงานที่ดูแลเรื่องการเซ่นไหว้เทพเจ้าและศาลบรรพชน ทั้งยังกำกับเรื่องจารีตและดนตรีในพิธีการ