มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 117 จุดเริ่มต้นของฮ่องเต้เลอะเลือน (2)
ตอนอายุเจ็ดขวบ องค์ชายเก้าก็ต้องเจอกับบททดสอบแรกในชีวิต
ฮ่องเต้แคว้นฉู่สวรรคต
ในวันหนึ่งเขาคิดถึงภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วเป็นพิเศษ หลังดื่มจนเมามายก็คิดอยากจะเก็บดวงดาวที่อยู่ในสระน้ำขึ้นมาทำเป็นสร้อยคอให้แก่ภรรยา ผลปรากฏว่าพลัดตกลงไปในน้ำจนกลายเป็นไข้เย็น
ไข้เย็นรุนแรง ฮ่องเต้สวรรคตไปในคืนนั้น
เรื่องนี้ไม่ว่าดูยังไงก็มีกลิ่นแปลกๆ แต่ไม่มีใครสนใจ
อาจเป็นเพราะว่าช่วงหลายปีมานี้ฮ่องเต้แคว้นฉู่ไม่ค่อยสนใจงานราชการเท่าไหร่ แล้วก็อาจเป็นเพราะว่าคนที่จะกลายเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปคนนั้นเป็นแค่คนปัญญาอ่อนโง่เขลาคนหนึ่ง
เช้าวันที่สอง ฟ้ายังไม่ทันสางดี องค์ชายเก้าถูกขุนนางสองสามคนเชิญออกมาจากในตำหนัก ใช้เกี้ยวพามาส่งยังท้องพระโรง รับการกราบไหว้จากเหล่าขุนนาง ฟังเสียงแซ่ซ้องอวยพรให้มีอายุยืนหมื่นปี
เห็นได้ชัดว่าขุนนางที่สนใจแต่ชีวิตตัวเองเหล่านั้นต่างมีความคิดอยู่ในหัว แต่เขาเองก็ไม่อยากไปสนใจ ที่โชคดีก็คือขุนนางเหล่านั้นก็ไม่อยากสนใจเขาเช่นกัน ไม่นานก็พาเขาส่งกลับมายังวังด้านหลัง
เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่สามารถพักอยู่ในตำหนักเดิมได้ หากแต่ต้องมาพักอยู่ในวังบรรทมของฮ่องเต้
ถูกต้อง ตอนนี้เขาคือฮ่องเต้ของแคว้นฉู่
ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ แม้นจะเป็นเพียงฮ่องเต้หุ่นเชิด ก็ยังทำให้หลายๆ คนรู้สึกหวาดกลัวได้เช่นกัน อย่างนั้นก็ย่อมต้องมีคนที่ฟังคำสั่งของเขา เรื่องแรกที่เขาทำหลังขึ้นครองราชย์ ก็คือให้ขันทีเรียกช่างฝีมือเข้ามา ใช้มีดเล็กๆ แกะสลักผิวพื้นภายในห้องนอน ทั้งหมดให้กลายเป็นลายตาข่ายที่เล็กละเอียด
เรือนลอกคราบที่อยู่ในหุบเขาอิ๋งเซียนของเขาอวิ๋นเมิ่งเองก็ทำเช่นนี้ ทำให้เขาประทับใจอย่างมาก
งานตกแต่งนี้มิได้ใหญ่โตนัก มิได้ใช้เงินอะไรมาก แต่วุ่นวายเป็นอย่างมาก ทำให้คนรู้สึกว่าเสียเวลา
ข่าวแพร่กระจายออกไปนอกวังอย่างรวดเร็ว ด้วยการขับเคลื่อนของคนบางคนทำให้สถานการณ์เดินไปในทิศทางที่ได้กำหนดเอาไว้
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเพิ่งจะสวรรคต ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ทำเรื่องที่ไร้สาระเช่นนี้ ยอมต้องทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่พอใจ ทั่วทุกที่ภายในเมืองหลวงเต็มไปเต็มไปด้วยเสียงด่าในความโง่เขลาของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แล้วก็ย่อมมีขุนนางส่งฎีกาตำหนิฝ่าบาท
ฎีกาเหล่านั้นปลิวเข้าไปยังศาลาในราวเกล็ดหิมะ ก่อนจะถูกคนพับเก็บอย่างเรียบร้อย สุดท้ายถูกมหาราชครูหอบฎีกาเหล่านั้นเข้าไปในวัง มหาราชครูวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมที่แล้วไหลของเขาอย่างรุนแรง ขอให้ฝ่าบาททรงเรียนรู้วิธีการที่จะเป็นฮ่องเต้ที่ดี แสดงเจตนาอย่างชัดเจนว่าตั้งแต่สิ้นเดือนเป็นต้นไป ตนเองจะเข้ามาในวังเพื่อสอนหนังสือให้ฝ่าบาททุกวัน
ฝาบาทองค์ใหม่ย่อมไม่สนใจ เพราะเขาไม่ใช่คนโง่ แล้วก็ไม่ใช่ฮ่องเต้ เขาคือจิ๋งจิ่ว
……
……
เพื่อจะทำให้งานแกะผิวทั้งตำหนักหยุดลง
ในช่วงเวลาสองวันหลังจากนั้น มีขุนนางที่รับสนองพระราชโองการจากฝ่าบาทองค์ก่อนสามคนและเสด็จอาสองคนทยอยเข้าไปในวัง บางคนก็กล่าวเตือนด้วยน้ำตานองหน้า บางคนก็กล่าวสั่งสอนด้วยสีหน้าจริงใจ
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนพื้นที่เรียบลื่น หลับตาบำเพ็ญเพียร หาได้สนใจพวกเขาไม่
ในวันที่สามเขาก็ได้เจอคนที่เขากำลังรอผู้นั้น
มหาบัณฑิตมีใบหน้าเรียวยาว หน้าตาหล่อเหลา แต่กลับไม่ได้มีความรู้สึกอ่อนโยนเหมือนอย่างที่คนแคว้นฉู่มักจะมี หนวดยาวลงมาถึงท้อง ดูน่าเกรงขาม สายตายิ่งดูสุขุมนุ่มลึก
เขามีชื่อเสียงอย่างมาก กระทั่งจิ๋วจิ่วยังรู้จัก
หากบอกว่ากองทัพแคว้นฉู่ต้องพึ่งพาจิ้งอ๋อง อย่างนั้นราชสำนักก็คือแผ่นดินของมหาบัณฑิต
ในช่วงเวลาสิบปีที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนใช้เวลาไปกับการดื่มสุราและเล่นดนตรี มหาบัณฑิตได้ทำการโค่นสมุหราชเลขาไปถึง สามคน ห้าขุนนางใหญ่ผู้รับสนองราชโองการก็มีเขาเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะภายในวังหรือในโลกภายนอก เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อมหาบัณฑิตล้วนแต่ดีมาก กระทั่งขันทีและนางสนมอาวุโสที่อยู่ภายในวังก็ค่อนข้างกริ่งเกรงเขา เรียกได้ว่ากริ่งเกรงเสียยิ่งกว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนเสียอีก
มหาบัณฑิตนั้นแตกต่างจากขุนนางที่รับสนองพระราชโองการคนอื่นๆ เขาไม่ได้พูดถึงความรู้สึกที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ มิได้มีการสั่งสอนต่อหน้า แล้วก็มิได้มีการแอบนินทาลับหลัง เขาเพียงแต่ดื่มชาไปถ้วยหนึ่งอย่างเงียบๆ จากนั้นกล่าวว่า “เท่าที่กระหม่อมทราบมา ในตอนที่หลายคนก่อนหน้าเข้ามาในวัง พวกเขาไม่ได้ดื่มชา นี่เป็นชาถ้วยแรกที่ฝ่าบาทพระราชทานให้”
เขาวางถ้วยชาลง จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาทมิใช่คนโง่เขลาที่ไม่รู้เรื่องมารยาทอะไร เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวคำพูดประโยคแรกหลังจากที่ขึ้นครองราชย์ “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
มหาบัณฑิตเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ในราชสำนักมีหลายคนที่ใจคิดคด ด้านประชาชนเองก็เริ่มมีความวุ่นวายขึ้นมา จิ้งอ๋องอยู่ไกลถึงชางโจว ใครจะรู้บ้างว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่ และที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็เป็นเพราะว่าฝ่าบาททรงแสดงความอ่อนแอไร้ความสามารถออกมามากเกินไป หากเกิดความวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ สงครามดำเนินต่อเนื่อง ทหารของทั้งสามเหล่าทัพนองเลือด ประชาชนต้องหนีตาย ฝ่าบาททรงทนมองได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? หากที่ผ่านมาพระองค์ทรงแสร้งทำเป็นอ่อนแอ เช่นนั้นกระหม่อมคิดว่าตอนนี้ฝ่าบาทก็ควรเริ่มแข็งแกร่งขึ้นมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าอยู่ในวังมาสิบปี เจ้าเคยได้ยินว่าข้าชอบเที่ยวเล่นไหม?”
มหาบัณฑิตกล่าวว่า “ไม่เคยได้ยินพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมถึงได้รู้สึกสงสัยและไม่เข้าใจมาโดยตลอด”
จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “เจ้าเป็นคนฆ่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนหรือเปล่า?”
คำถามนี้เหมือนเป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงมา
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงจะตกใจจนเป็นลมแล้ว
แต่มหาบัณฑิตกลับสงบนิ่ง กล่าวว่า “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่วถามว่า “ชื่ออะไร?”
มหาบัณฑิตเงยหน้าขึ้นมา รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พบว่าฝ่าบาทมิได้เสแสร้ง จึงกล่าวอย่างโมโหเล็กน้อยว่า “จินหลิง ตระกูลจางพ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “แซ่ไม่เลว หลังจากนี้รบกวนเจ้าด้วยนะ ข้าไม่อยากว่าราชการ หากไม่มีธุระอะไรก็ไม่ต้องมาหาข้า แต่ถึงมีก็ไม่ต้องมาเช่นกัน”
……
……
ตอนรัฐทายาทของจิ้งอ๋องอายุสิบขวบก็มีกองกำลังเป็นของตัวเองแล้ว นี่เป็นเพราะสติปัญญาที่มีมาแต่กำเนิดของเขา แล้วก็เป็นเพราะว่าเขาได้รับความเชื่อใจอย่างมากจากผู้เป็นบิดา
เขาโชคดีที่หาผู้แสวงมรรคาเจอสามคน และที่โชคดีมากที่สุดก็คือในสามคนนี้มีคนหนึ่งคือเซี่ยงหว่านซู
ในช่วงหลายวันมานี้ สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดย่อมต้องเป็นสถานการณ์ภายในเมืองหลวง
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประชวรและสวรรคตไป เขาสงสัยเป็นอย่างมากว่าฮ่องเต้น้อยพระองค์นั้นจะจัดการกับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไร เขาจะเผชิญหน้ากับตำแหน่งฮ่องเต้ของตนเองอย่างไร
หลังจากนั้นอีกหลายวันก็มีข่าวแพร่กระจายมาอีก
วันแรกที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เขาก็เริ่มทำการตกแต่งตำหนักใหม่ สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากให้แก่ประชาชนและเหล่าขุนนางในราชสำนัก
ขุนนางที่รับสนองพระราชโองการและพระญาติหลายๆ คนทยอยเข้าไปในวัง
ในวันหนึ่ง มหาบัณฑิตจางได้เข้าไปคุยกับฮ่องเต้องค์ใหม่ภายในวังเป็นเวลานาน หลังจากนั้นงานตกแต่งที่หยุดไปได้ไม่นานก็เริ่มเดินหน้าอีกครั้ง เสียงแกะสลักผิวไม้ภายในวังดังขึ้นไม่หยุด ตำหนักแห่งนั้นคล้ายจะกลายเป็นเรือนลอกคราบที่อยู่ภายในหุบเขาอิ๋งเซียนขึ้นมาจริงๆ
รัฐทายาทของจิ้งอ๋องครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไร
หลังจากนั้นก็มีข่าวที่น่าตกตะลึงอย่างมากถูกส่งมา
มหาราชครูตายแล้ว
ภายในเมืองหลวงเกิดความวุ่นวาย ฝ่ายตรวจการเริ่มโจมตีกันเอง มหาบัณฑิตนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ขุนนางจำนวนนับไม่ถ้วนถูกปลดออกจากตำแหน่ง บางคนถูกจับไปขังคุก
หลังพายุความวุ่นวายพัดผ่านไป ท้องฟ้าก็สดใสขึ้น เมื่อคนทั้งโลกมองมา พวกเขาก็พบว่าขุนนางส่วนใหญ่ที่ยังยืนอยู่ในราชสำนักล้วนแต่เป็นคนของมหาบัณฑิต
รัฐทายาทของอ๋องจิ้งคิ้วขมวด รู้สึกว่าเรื่องราวนับวันจะยิ่งแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ
คิดจะใช้เสือมาไล่หมาป่าอย่างนั้นหรือ? แต่ถ้าเสือมีโอกาสได้พักหายใจ จากนั้นแว้งมากินเจ้าจะทำอย่างไร?
มหาบัณฑิตเป็นผู้สำเร็จราชการแทน หรือเจ้าไม่คิดอยากจะได้ตำแหน่งฮ่องเต้นี้แล้วจริงๆ? การที่ไม่อยากได้ลาภยศนั้นมิใช่ปัญหา นิสัยเกียจคร้านเช่นนี้มันก็คล้ายกับนิสัยของเจ้าอย่างมาก แต่ถ้าหากไม่มีราชสำนัก ไม่มีสถานะฮ่องเต้คอยคุ้มครอง เจ้าจะอยู่รอดในโลกที่กำลังจะวุ่นวายขึ้นมาแห่งนี้ได้อย่างไร?
ที่นี่เจ้ามิใช่จิ๋งจิ่ว
หรือเจ้าจะบอกว่าความคิดของเจ้าไม่เหมือนกับข้า?
อย่างนั้นเจ้าคิดจะทำอะไร?
รัฐทายาทครุ่นคิดคำถามนี้อย่างหนัก จนกระทั่งหว่างคิ้วรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา
เขาหยิบแท่งไม้ไผ่ขึ้นมาเปิดผ้าม่านออก ทำให้อากาศที่สดชื่นไหลเข้ามาในห้อง ถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
สายลมอ่อนๆ โชยกระทบใบหน้า ทำให้เขารู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ไม่เหมือนเดิม เขามองดูภูเขาหิมะซีหลิงที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง จู่ๆ พลันรู้สึกมึนงง จากนั้นก็ได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
บนใบหน้าเขาเผยให้เห็นสีหน้าระแวดระวัง เขาเปิดช่องลับออก จากนั้นหยิบเอาสมุดออกมาเล่มหนึ่ง
ตัวหนังสือที่อยู่บนสมุดดูแปลกประหลาด เป็นรูปแบบตัวหนังสือที่เขาสร้างขึ้นมาเอง อย่าว่าแต่พ่อของเขาหรือว่าอาจารย์เลย กระทั่งนกชิงเหนี่ยวก็ยังดูไม่เข้าใจ
ความหมายของตัวหนังสือบรรทัดแรกคือ “ข้าคือถงเหยียน”
………………………………………………………….