มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 183 ปู่หลานพบกันไม่รู้จัก แล้วจะเข้าใจหม้อไฟได้อย่างไร
- Home
- มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2
- ตอนที่ 183 ปู่หลานพบกันไม่รู้จัก แล้วจะเข้าใจหม้อไฟได้อย่างไร
รุ้งกระบี่สายหนึ่งพุ่งทะลุผ่านหน้าอกไป
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินส่งเสียงอึกออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะร่วงตกลงมาเหมือนใบไม้ร่วง
สภาวะของเขามิได้ต่างจากหลิ่วฉือซึ่งเป็นเจ้าสำนักชิงซานมากนัก แต่เมื่อครู่เขาเพิ่งจะปะทะฝ่ามือกับฮ่องเต้ซึ่งๆ หน้า กระแสจิตถูกกระทบอย่างรุนแรง แล้วจะหลบกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดที่หลิ่วฉือสะสมพลังมาเป็นเวลาหลายวัน อีกทั้งยังมีข่ายพลังชิงซานคอยสนับสนุนได้อย่างไร?
ในขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าปรมาจารย์สำนักเสวียนอินจะต้องตายอย่างแน่นอน ใบไม้ใบนั้นพลันหายไปกลางอากาศ เหลือเพียงควันสีดำที่กำลังลุกไหม้
ควันสีดำนั้นเกิดขึ้นมาจากฝุ่นผงสีดำที่เล็กละเอียด น่าจะเป็นไม้เท้าโลกบาลที่เขาใช้ลอบโจมตีฉีหลินก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าถูกเขาใช้วิชาอะไรทำให้มันมาแทนร่างของตัวเอง จึงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ และที่มันลุกไหม้ก็เป็นเพราะว่าโลหิตของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินสาดกระจายลงมา แสดงให้เห็นว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ลำแสงกระบี่สายนั้นหายไปในทะเลเมฆ
เรื่องนี้ไม่ได้จบลงแต่เพียงเท่านี้
ทะเลเมฆปั่นป่วน เหมือนกับกองหิมะบนยอดเขาเสินม่อที่ถูกแมวที่ชื่อหลิวอาต้ามุดไปมุดมาอยู่ด้านใน
เจตน์กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นด้านบนทะเลเมฆ ตกลงมาบนพื้นดิน ปกคลุมภูเขาแม่น้ำลำธารที่อยู่ในรัศมีร้อยกว่าลี้ริมทะเลตะวันออก
เจตน์กระบี่เหล่านั้นบ้างดุดันน่ากลัว บ้างเงียบสงบ เกี่ยวกระหวัดเข้าด้วยกัน แต่กลับไม่เหมือนตาข่าย หากแต่เหมือนภูเขาลูกหนึ่ง หรือพูดอีกอย่างคือกระบี่ยักษ์
แม้จะอยู่ห่างสิบกว่าลี้ แต่บนพื้นดินยังคงรับรู้ถึงเจตน์กระบี่เหล่านั้นได้อย่างชัดเจน ข่ายพลังของวัดกั่วเฉิงถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง ดูระแวดระวังและกระวนกระวายเป็นอย่างมาก ต้นไม้ที่อยู่ริมขอบของข่ายพลังโยกไหวไปมา ใบไม้ที่เรียวเล็กเหมือนเข็มร่วงหล่นลงมาราวสายฝน
เหล่าชาวบ้านที่อยู่ด้านนอกวัดกั่วเฉิงและเหล่าคนป่วยที่ยังไม่กลับบ้านรับรู้ถึงเจตน์กระบี่เหล่านี้ไม่ได้ แต่พวกเขากลับรู้สึกได้ถึงความยำเกรงและความหวาดกลัวที่อยู่ในส่วนลึกของใจตนเองได้อย่างชัดเจน
กลิ่นประทัดและเนื้อแดดเดียวถูกตัดเป็นชิ้นๆ ก่อนจะสลายหายไปในสายลมพร้อมกับบรรยากาศวันปีใหม่
เจตน์กระบี่เหล่านั้นคล้ายกำลังตามหาอะไรอยู่ คมของกระบี่ยักษ์พุ่งจากวัดกั่วเฉิงขึ้นไปทางเหนือ หลังจากนั้นวกลงมาทางตะวันออก มาถึงบนทะเล
คลื่นทะเลหยุดนิ่งทันที
คมกระบี่ี่ที่ไร้รูปร่างเคลื่อนที่ขึ้นไปทางเหนืออีกครั้ง
บนเส้นทางที่มันเคลื่อนที่ผ่าน เหล่าปีศาจและผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารทยอยปรากฏกาย รีบแยกย้ายหลบหนีไป ปีศาจบางตัวที่รู้ว่าตัวเองมีความผิดร้ายแรงรีบมุดดินหนีไปอย่างสุดชีวิต โดยไม่สนใจความอันตรายของเส้นปราณแผ่นดิน
คมกระบี่มาถึงด้านนอกสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
บ่อผ่านฟ้าที่เชื่อมต่อกับดินแดนหมิงดูเงียบสงัดกว่าในเวลาปกติ ไม่ได้ยินเสียงลมโหยหวน ดวงวิญญาณอ่อนแอสองสามดวงหลบหนีอักขระข่ายพลังออกมา ในขณะที่เพิ่งจะโผล่หัวออกมาก็ถูกบดขยี้จนกลายเป็นฝุ่นควันอย่างเงียบๆ
เจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยที่อยู่ริมทะเลสาบลุกขึ้นยืน รับรู้ได้ถึงเจตน์กระบี่ที่อยู่บนท้องฟ้าเหล่านั้น สีหน้าตึงเครียด ในใจครุ่นคิดว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ชิงซานถึงกับใช้ข่ายพลังกระบี่!
นางหมุนตัวมองเข้าไปในห้อง
ภายในหน้าต่างทรงกลม กั้วตงยังคงนอนหลับอยู่
เจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ‘ศิษย์พี่เมื่อไรท่านถึงจะตื่นขึ้นมา?’
……
……
ไม่ว่าจะเป็นผู้นำของสำนักฝ่ายธรรมะหรือเป็นขี้ข้าอยู่ในสำนักเล็กๆ ของฝ่ายอธรรม ไม่ว่าจะเป็นผีอยู่ในโลกมนุษย์หรือว่าดวงวิญญาณในดินแดนหมิง เมื่ออยู่ต่อหน้าเจตน์กระบี่นี้ก็ล้วนแต่รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัว
นี่คือข่ายพลังกระบี่ชิงซานที่เล่าลือกัน?
อยู่ห่างเป็นหมื่นลี้ แต่ก็ยังแสดงพลังมาถึงแผ่นดินที่อยู่ริมทะเลตะวันออกได้ นี่ช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจริงๆ
สมณะตู้ไห่มองดูจัวหรูซุ่ยที่สลบไสลพลางคิดอย่างทอดถอนใจ หากถูกข่ายพลังกระบี่ชิงซานจับจ้อง จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน
มิน่าถึงแม้นปรมาจารย์สำนักเสวียนอินและผู้หลบหนีกระบี่อีกสองคนจะมีอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจ แต่กลับได้แต่ต้องใช้ชีวิตแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
หากมิเป็นเพราะมีบางคนเตรียมการเอาไว้ เชื่อว่าปรมาจารย์สำนักเสวียนอินคงจะตายไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส หากไม่สามารถตัดขาดการสืบค้นของข่ายพลังกระบี่ชิงซานได้ เขายังจะมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนานเท่าไร?
เลือดของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินหยดจากบนฟ้าลงมาในวัดกั่วเฉิง มันยังคงลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็เผาตำหนักสองสามหลังที่อยู่ในละแวกใกล้ๆ กับสวนจิ้งหยวน
สมณะระดับสูงของวัดกั่วเฉิงรีบคลายข่ายพลังเพลิงแห่งพระอริยะ เปลี่ยนเป็นข่ายพลังพระอริยะพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับทำได้เพียงควบคุมเปลวเพลิงให้เล็กลงได้เพียงเล็กน้อย ทว่าไม่สามารถดับมันได้ในทันที
สมณะหลายร้อยรูปรีบวิ่งออกมาจากในตำหนักต่างๆ ของอารามด้านหน้า ในมือถือถังน้ำเตรียมจะช่วยกันดับไฟ ดูวุ่นวายเป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วหมุนตัวมองไปทางภูเขาที่อยู่ด้านหลังสวนจิ้งหยวนลูกนั้น
ภายในภูเขาเหมือนจะมองเห็นชายหลังคาของตำหนักเฉิงฮว๋า
ไม่มีคน
……
……
ก่อนที่จิ๋งจิ่วจะมองไป บนมุมชายหลังคาตำหนักเฉิงฮว๋าเคยมีบทสนทนาท่อนหนึ่งเกิดขึ้น
ตอนนั้นจัวหรูซุ่ยเพิ่งจะเงยหน้ามองดูปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอิน
อินซานและแมวขาวใช้ชีวิตอยู่ในชิงซานมาเนิ่นนาน พวกเขาย่อมต้องรับรู้ได้รวดเร็วที่สุด วิเคราะห์ได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ในดวงตาแมวขาวมีความรู้สึกเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นมา มันครุ่นคิดอย่างเงียบๆ “ครั้งนี้เจ้าแย่แล้วล่ะ”
อินซานหลบหนีออกมาจากคุกกระบี่ ยืมร่างคนอื่นมาบำเพ็ญเพียรใหม่ จนถึงตอนนี้ก็แค่สามสิบปี ต่อให้พรสวรรค์ของเขาจะยอดเยี่ยมเพียงใด ประสบการณ์จะมากมายแค่ไหน แม้นจะไม่เคยเสียเวลาทำอะไรไม่จำเป็น แต่สภาวะในตอนนี้อย่างมากก็แค่ขั้นคเนจรเท่านั้น หากปรมาจารย์สำนักเสวียนอินถูกฆ่าตาย เขาเสียการคุ้มครองจากยอดฝีมือไป แล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร?
ที่น่าแปลกก็คืออินซานกลับดูเยือกเย็นเป็นอย่างมาก คล้ายคาดเดาได้ตั้งนานแล้วว่าหลิ่วฉือจะปล่อยกระบี่และใช้งานข่ายพลังกระบี่ชิงซาน
เขาเหมือนจะมิได้สนใจความเป็นความตายของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเลยแม้แต่น้อย หากแต่กล่าวว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าวันนี้มาดูเรื่องสนุกกัน”
ความเย็นยะเยือกในดวงตาของแมวขาวแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอีกครั้ง ในใจครุ่นคิดว่าหรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?
อินซานลุกขึ้นยืน เตรียมจากไป
ในป่าด้านนอกตำหนักเฉิงฮว๋ามีเสียงกิ่งไม้หักดังขึ้น ลำแสงกระบี่สีแดงค่อยๆ เคลื่อนออกมาช้าๆ คล้ายก้อนเมฆยามเย็น
ร่างร่างหนึ่งแหวกอากาศออกมา มายืนอยู่บนมุมชายหลังคา นั่นคือเจ้าล่าเยวี่ย
นางถูกจิ๋งจิ่วโยนเข้าไปในป่าผืนนั้น มิได้กระแทกอะไรรุนแรง แต่จิตใจกลับรู้สึกสับสนเล็กน้อย จนกระทั่งในเวลานี้ถึงจะได้สติขึ้นมาบ้าง
นางมองสมณะหนุ่มรูปนั้น พลางกล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “เจ้าเป็นใคร?”
อินซานกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ไร้มารยาทจริงๆ มิน่าข้าถึงได้ไม่ชอบเจ้าตั้งแต่แรก”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ ปลายเท้าเขาก็ถีบมุมชายหลังคาเบาๆ ก่อนพุ่งตัวออกไปคล้ายนกตัวใหญ่ หายไปในป่าอีกด้านหนึ่งของตำหนักเฉิงฮว๋าอย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและลอยล่องเช่นนี้ เจ้าล่าเยวี่ยเคยเห็นจากคนเพียงคนเดียว ในใจนางเกิดความรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาอย่างรุนแรง แต่กลับขี่กระบี่ออกไปอย่างไม่ลังเล
กระบี่มิคำนึงกลายเป็นแสงสีแดงที่สวยงาม ก่อนจะหายไปในป่าแห่งนั้นเช่นเดียวกัน
ในที่สุดแมวขาวก็ได้รับอิสระอีกครั้ง มันเหลียวหน้ามองไปในป่า ก้าวเท้าเดินออกไปทางนั้นสองสามก้าว จากนั้นจึงหยุดฝีเท้าลง
มันเหลียวหน้ามองไปทางด้านหน้าสุดของชายหลังคาพร้อมทั้งเดินไป ทอดตามองไปทางสวนจิ้งหยวน เมื่อมั่นใจแล้วว่าจิ่งจิ่วไม่เป็นอะไรจึงค่อยๆ หยุดฝีเท้าลง
ควรจะเดินไปทางไหนกันแน่?
นี่เป็นคำถามที่ล้ำลึกที่สุดในโลกนี้ เป็นการเลือกที่ยากที่สุด
มันทั้งลังเล ทั้งรู้สึกสับสน เกิดความรู้สึกอับอายและหงุดหงิดขึ้นมาอย่างมาก สุดท้ายฟุบหมอบลงไปบนชายหลังคา ไม่ขยับไปไหน
ช่างหัวพวกเจ้า
ข้าไม่ยุ่งด้วยแล้ว
……
……
ในบรรดากระบี่หลักของยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน กระบี่ไร้อัตตาเร็วที่สุด กระบี่สามฉื่อหนาวเหน็บที่สุด กระบี่สุญตาเบาที่สุด กระบี่กาลนานอ่อนโยนที่สุด
กระบี่มิคำนึงอยู่ในอันดับสุดท้ายของกระบี่ทั้งเก้า แต่ในฐานะที่เป็นกระบี่ข้างกายของนักพรตจิ่งหยางในอดีต พลังและระดับชั้นของมันย่อมมิได้อยู่ในอันดับสุดท้ายแน่นอน หากว่ากันในเรื่องของความเร็วแล้ว มันเร็วที่สุด
เป็นกระบี่ที่เร็วที่สุดในบรรดากระบี่ทั้งเก้าของชิงซาน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นกระบี่ที่เร็วที่สุดในโลก
เจ้าล่าเยวี่ยที่อยู่ในขั้นคเนจรระดับต้นขี่กระบี่มิคำนึงด้วยความเร็วเต็มที่ เรียกได้ว่าเทียบเท่ากับผู้ฝึกกระบี่ขั้นแหวกทะเลที่ขี่กระบี่ธรรมดา
เพียงชั่วพริบตา นางก็ข้ามป่าที่อยู่ด้านหลังตำหนักเฉิงฮว๋า ผ่านกุฏิที่อยู่ด้านนอกสุดของวัดกั่วเฉิง มาถึงหน้าผาที่อยู่ด้านนอกประตูข้าง
สิ่งที่ทำให้นางตกตะลึงก็คือสมณะหนุ่มผู้นั้นไม่มีกระบี่ แล้วก็ไม่ได้ใช้อาวุธวิเศษ แล้วก็มองไม่ออกว่าใช้วิชาเหาะเหินเดินอากาศอะไร เขาเพียงแต่สะบัดแขนเสื้อเบาๆ ก็สามารถบินได้รวดเร็วเช่นนี้แล้ว กระทั่งนางก็ตามไม่ทัน
หากสมณะหนุ่มเป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ก็ว่าไปอย่าง แต่ปัญหาก็คือเนตรกระบี่ของนางมีความเฉียบคม มั่นใจเป็นอย่างมากว่าสภาวะของอีกฝ่ายใกล้เคียงกับตนเองเท่านั้น
อีกฝ่ายใช้วิชาอะไรกันแน่? หรือว่าจะเป็นปีศาจนก?
เรื่องที่ทำให้นางตกตะลึงยิ่งกว่านั้นได้เกิดขึ้นแล้ว
สมณะหนุ่มผู้นั้นพลันหมุนตัวกลับมามองนาง พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่ใช่เยาจีหรอกนะ เจ้าอย่าเดาส่งเดชล่ะ”
สาเหตุที่ทำให้เจ้าล่าเยวี่ยตกตะลึงนั้นมีอยู่สองข้อ
สมณะหนุ่มผู้นี้หมุนตัวไปด้วยบินไปด้วย ดูผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ แต่ความเร็วกลับมิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ช่างน่ากลัวจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเอ่ยนามที่เป็นความลับที่สุดของท่านอินเฟิ่งออกมา แสดงให้เห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอย่างมากกับชิงซาน!”
“ผู้อาวุโสช้าก่อน!”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวเสียงทุ้มต่ำ แต่กระบี่บินกลับมิได้ลดความเร็วแม้แต่น้อย ยังคงไล่ตามอีกฝ่ายไป
เงานกและลำแสงกระบี่บินผ่านหน้าผาและสวนผักที่อยู่ด้านล่างหน้าผา
ภายในสวนมีเสียงแอ๊ดดังขึ้น
นั่งคือเสียงคนเปิดประตู
“ทำไมหรือ?”
“ไม่มีอะไร”
……
……
แสงอาทิตย์เคลื่อนไปเล็กน้อย เงาต้นไม้ทอดยาวขึ้นหลายชุ่น ออกมาจากวัดกั่วเฉิงได้เจ็ดลี้กว่าแล้ว
แสงสีแดงหายไป เจ้าล่าเยวี่ยปรากฏกาย เหยียบกระบี่ลอยอยู่บนอากาศ มองไปทางไทรย้อยต้นใหญ่ที่อยู่ริมถนนหลวง
วันสุดท้ายของปีเก่า ผู้คนต่างอยู่ในบ้านรอฉลองปีใหม่ บนถนนไม่มีคน ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะตกใจหรือถูกลูกหลงจากการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญพรตจนเสียชีวิต
ในต้นไทรมีเสียงขลุ่ยที่ทอดยาวดังออกมา ความรู้สึกยินดีภายในเสียงขลุ่ยมิได้มากมายเหมือนการฉลองปีใหม่ คล้ายกำลังแสดงความยินดีแทนเจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนเท่านั้น
อินซานนั่งอยู่บนกิ่งไทร สองมือถือขลุ่ยกระดูก เป่าบทเพลงออกมาอย่างสบายๆ สองสามท่อนก่อนจะวางขลุ่ยลง
เขาเองก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย หายใจได้ไม่สะดวก จำเป็นต้องพักผ่อนครู่หนึ่ง
“ไม่ต้องรีบ ท่านพักนานหน่อยก็ได้ ข้าคิดว่าท่านเป่าขลุ่ยได้ไม่เลวเลยทีเดียว”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถึงแม้การที่มาเป่าขลุ่ยในเวลานี้มันออกจะแปลกประหลาดไปเสียหน่อย ดูเสแสร้งเกินไป”
ตามนิสัยของนางแล้ว เมื่อไล่ตามขึ้นมาทันอย่างยากลำบากเช่นนี้ นางควรจะปล่อยกระบี่ออกไปสังหารเขาทันที มิใช่มาพูดอะไรไร้สาระเช่นนี้
คำวิพากษ์วิจารณ์ที่โลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีต่อนางก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
นี่นางทำเช่นนี้ เพราะนางอยากจะถ่วงเวลา
ขี่กระบี่ตามมาด้วยความเร็วขนาดนี้ สำหรับนางแล้วก็ถือว่าเป็นภาระอย่างมากเช่นเดียวกัน นางต้องการเวลาเพื่อฟื้นฟูพลัง
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือนางไม่มีความมั่นใจ…ว่าจะสามารถรั้งตัวสมณะหนุ่มผู้นี้เอาไว้ได้
ไม่ว่านางจะถ่วงเวลาหรือว่าไม่มีความมั่นใจ สำหรับนางแล้วก็ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก
นี่มีความเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหนกันพิสดารล้ำลึกที่สมณะหนุ่มผู้นี้แสดงออกมา แล้วก็เป็นเพราะภาพที่นางได้เห็นบนหลังคาตำหนักเฉิงฮว๋ายังคงฝังลึกอยู่ในใจนาง
ตอนนั้นท่านไป๋กุ่ยถูกสมณะหนุ่มผู้นี้กอดเอาไว้ อีกทั้งยังแสดงออกว่าเชื่อฟังเป็นอย่างมาก
อยู่บนยอดเขาเสินม่อมานานขนาดนี้ ไม่ว่านาง กู้ชิงหรือว่าหยวนฉวี่ก็ล้วนแต่ไม่เคยเห็นมันเป็นเช่นนี้มาก่อน
แต่สมณะหนุ่มผู้นี้กลับควบคุมท่านไป๋กุ่ยเอาไว้ได้…ต่อให้นางจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน ก็ย่อมต้องรู้ว่าตัวเองมิใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้
“อยากจะถ่วงเวลาหรือ? ไม่เหมือนกับเจ้าล่าเยวี่ยที่เล่าลือกันเลย”
อินซานเอาขลุ่ยกระดูกเสียบไว้ข้างเอว มองดูนางพลางกล่าวยิ้มๆ
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้สนใจที่อีกฝ่ายมองออกว่าตนเองกำลังถ่วงเวลา เพราะนางรู้ว่าตัวเองมิใช่พระสนมหู แล้วก็มิใช่เสี่ยวเหอ ไม่ถนัดในการแสดงละคร
“เช่นนั้นท่านผู้อาวุโสคือใครอย่างนั้นหรือ?”
อินซานมิได้ตอบคำถามนาง หากแต่กล่าวว่า “จิ๋งจิ่วไม่กล้าพาหมากับไก่มาด้วย เจ้าเต่าแก่ก็พามาด้วยไม่ไหว อย่างนั้นก็ได้แต่ต้องพาแมวมา แต่ปัญหาก็คือ…แต่ไหนแต่ไรมาแมวมันขี้ขลาด ดังนั้นความจริงแล้วสภาวะของข้ามิได้สูงส่งเหมือนอย่างที่ข้าคิดเอาไว้หรอก เจ้าอยากจะลองฆ่าข้าดูไหมล่ะ?”
สำหรับสมณะหนุ่มผู้นี้แล้ว ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของชิงซานเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงที่เพื่อนบ้านเลี้ยงเอาไว้…จากนั้นเจ้าล่าเยวี่ยคิดขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่ตนเองคิดว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจนกหรือเปล่า อีกฝ่ายก็ได้ให้คำตอบออกมา จากนั้นตอนนี้ตัวเองคิดถึงท่านไป๋กุ่ย เขาก็อธิบายออกมาอีก สีหน้านางจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หรือว่าอีกฝ่ายจะอ่านใจได้?
“วิชาอ่านใจคนมันคืออะไร นั่นมันลูกไม้ของพวกนักต้มตุ๋น ข้าใช้วิชาเต๋า มิใช่ลูกไม้หลอกลวง”
อินซานถอนใจกล่าวว่า “ชิงซานนับวันจะแย่ลงจริงๆ ด้วย จิ๋งจิ่วไม่ได้สอนเจ้าเรื่องหลักการหนึ่งกระบี่โอบอุ้มสรรพสิ่งหรือ?”
การคาดเดาของเจ้าล่าเยวี่ยได้รับการยืนยันแล้ว สายตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ในใจครุ่นคิดว่าตัวเองได้เจอกับสัตว์ประหลาดแบบไหนเข้ากันแน่
ทันใดนั้นเอง นางก็กำจัดความคิดเหล่านี้ออกไปจากหัวจนหมด เจตน์กระบี่สงบนิ่ง ใจแห่งเต๋าใสกระจ่าง พยายามหยุดไม่ให้อีกฝ่ายแอบมองจิตของตัวเอง
ในเวลานี้เอง นางคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา
อินซานเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไร กล่าวเย้ยหยันเล็กน้อยว่า “ทำไมถึงไม่คิดแล้วล่ะ? เพราะกลัวว่าจะถูกคนอื่นคาดเดาความคิดของตัวเองได้ ก็เลยไม่คิดเสียเลย มันก็เหมือนกับกังวลว่าจะถูกเรื่องราวบนโลกรบกวนใจแห่งเต๋าของตัวเอง ก็เลยไม่เข้าสู่โลก? เพราะกังวลว่าจะถ่ายหนัก ก็เลยไม่กินข้าว เพราะกลัวว่าจะตาย ก็เลยไม่ยอมมีชีวิตอยู่?”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ท่านจะคิดอย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าจะคิดอย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวกับท่าน”
อินซานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงไม่ชอบเจ้า? เพราะเจ้าคล้ายเขาเข้าไปทุกที อะไรก็ไม่สนใจ รู้จักแต่เพียงใช้กระบี่ปกป้องตัวเอง บำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุสภาวะ น่าเบื่อเป็นยิ่งนัก ธรรมวิถีอยู่ในใต้หล้า แล้วก็อยู่ในระหว่างมื้ออาหาร หนทางในการการดับอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ มันช่างหยาบกระด้างจริงๆ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “นี่คือหน้าที่ของผู้บำเพ็ญพรต”
อินซานส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ไม่ เจ้าถูกเขาพาเดินไปในทางที่ผิด เขารู้ว่าเดิมทีเจ้านั้นชอบกินหม้อไฟมาก แต่ดูแล้วตอนนี้คงจะไม่ได้ชอบแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ย “ท่านผิดแล้ว ตอนนี้ข้ายังคงชอบกินหม้อไฟอยู่”
สายตาของอินซานเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวว่า “หรือเขาไม่สนใจเจ้า?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดวงตาเขา พลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “เขาเคยบอกข้า ทุกคนล้วนแต่มีเส้นทางของตัวเอง ดังนั้นเขาไม่ชอบกินหม้อไฟ แต่ก็มิได้ห้ามข้าไม่ให้กินหม้อไฟ ส่วนท่านชอบกินหม้อไฟ แต่อยากจะให้คนทั่งทั้งใต้หล้า หรือกระทั่งคนของดินแดนหมิงมากินหม้อไฟ นี่ต่างหากที่ผิด”