มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 21
ตอนที่ 21 มันเป็นความผิดพลาดของหยางเย่!
นอกจากหยางเย่ ใบหน้าทุกคนในกลุ่มซีดเผือดยามเห็นกองทัพงูจู่โจมเข้ามา โดยเฉพาะชิงหงที่เกิดอาการสั่นกลัวข้างหยางเย่ หมานจื้อและเฉียวไห่เองก็ไม่มีท่าทีจะดีขึ้น บัดนี้ร่างกายของพวกเขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะวิ่งหนี
หากเป็นยามปกติ จิตใจพวกเขาคงไม่หวาดกลัวในการเผชิญหน้ากับงูนับหมื่นพัน แต่จากแรงกดดันที่สาหัสก่อนหน้านี้ ความคิดและสภาพจิตใจของพวกเขาไม่สามารถรับสิ่งใดไหวอีกต่อไป จากทุกสิ่งอย่างที่ได้เจอรวมเข้ากับกองทัพงูรอบด้าน ทั้งสามทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมตนเอง
ทันทีที่กองทัพงูจู่โจมเข้ามา หยางเย่ยังคงความสงบไว้ได้ เขาไตร่ตรองว่าสิ่งใดทำให้กองทัพงูจู่โจมอย่างคลุ้มคลั่ง
หยางเย่รีบลุกขึ้นยืนเมื่อกองทัพงูอยู่ห่างเพียงสิบเมตรข้างหน้า เขาหยิบแก่นภายในจากจ้าวอสรพิษปีกทมิฬโยนทิ้งออกไป
ขณะเดียวกันข้อมือของเขาบิดหมุนปรากฏดาบขึ้นในมือ เมื่อมองแก่นภายในหายเข้าไปในความมืด พลังปราณล้ำลึกในร่างกายถูกโคจรออกมา เขายังไม่พร้อมที่จะตายตรงนี้ แต่หากสิ่งที่คิดไว้ผิด ก็คงต้องยอมรับความตายเท่านั้น
โชคดีเขาคิดไม่ผิด ทันทีที่แก่นภายในหายไปในความมืด กองทัพงูหยุดชะงักลง พวกมันเลื้อยราวกับคลื่นน้ำทะเลไปยังทางที่แก่นภายในตกอยู่
เวลานี้หยางเย่รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ภาพที่ฝูงงูเลื้อยทับกันเป็นหมื่นตัวนั้นดูงดงามและไร้ที่สิ้นสุด กองทัพงูหันตรงไปทางแก่นภายใน มันเลื้อยไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามก่อนจะหมดไป
หยางเย่รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันทีที่เห็นฝูงงูหายไปหมดสิ้น แม้จะอาจหาญเพียงใด ก็ค่อนข้างหวาดกลัวยามที่มองกองทัพงูมหาศาลนั้น
ไม่เพียงแค่เขา กระทั่งยอดฝีมือขั้นจักรพรรดิที่บินได้ยังต้องย่อยยับเมื่อเจอกองทัพงูขนาดนี้ มันคือสถานการณ์ที่คู่ต่อสู้มีจำนวนมากกว่าความแข็งแกร่งที่มี
หยางเย่ก้มมองทั้งสามที่หน้ามืดอยู่บนพื้นพร้อมส่ายหัว แม้เหตุการณ์ก่อนหน้าจะดูสิ้นหวังเพียงใด การแสดงออกของพวกเขาก็ไม่ควรตกต่ำถึงเพียงนี้ จากที่ทราบมา การทดสอบของสำนักดาบราชันมีทดสอบเกี่ยวกับสภาพจิตใจรวมอยู่ การแสดงออกของพวกเขาคงไม่อยู่ในเกณฑ์เป็นแน่
หลังจากที่ฟื้นสติ พวกเขามองกวาดไปโดยรอบ พอสังเกตเห็นว่าไร้ฝูงงูรอบด้าน ทั้งสามลุกขึ้นนั่งพร้อมปาดเหงื่อบนหน้าผาก
“ในเส้นทางวิถียุทธ์เต๋า หนึ่งในความสำคัญยิ่งนักคือสภาพจิตใจและอารมณ์ ท่าทีพวกท่านก่อนหน้านี้อ่อนแอเกินไป” หยางเย่รู้สึกจำเป็นต้องเตือนพวกเขา เพราะไม่ว่ายังไงก็เป็นสหายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน หากสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของสภาพจิตใจทั้งสามได้ มันก็เป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง
ใบหน้าพวกเขาแสดงถึงความละอายใจออกมาเมื่อได้ยินหยางเย่กล่าว อันที่จริงหยางเย่ไม่จำเป็นต้องกล่าว เพราะพวกเขาเองก็ทราบดีว่ามันน่าละอายใจเพียงใด แม้ฝูงงูจะน่าหวาดกลัวอย่างมาก แต่สำหรับผู้ใช้พลังปราณล้ำลึก การสูญเสียความสามารถในการต่อสู้นั้นช่างดูขลาดเขลาเกินไป
หยายงเย่กล่าวต่อเมื่อสังเกตเห็นท่าทางละอายใจของทั้งสาม “ข้าไม่ได้คิดเย้ยหยันพวกท่าน ท่านทั้งสามต้องตระหนักเองว่าเป็นผู้ใช้พลังปราณล้ำลึก หากไร้ซึ่งความกล้าที่จะมองหาทางรอด เช่นนั้นแล้วท่านจะไปได้ไกลแค่ไหนในวิถียุทธ์เต๋า? ดั่งเช่นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ มันคือสถานการณ์ที่สิ้นหวังอย่างแท้จริง แต่พวกท่านก็ไม่ควรยอมแพ้แม้จะต้องตาย เมื่อไม่ยอมแพ้ความหวังย่อมมีเสมอ แต่หากยอมแพ้ นั่นหมายความว่าท่านไร้ซึ่งหนทางรอดแล้ว ไม่เพียงแค่เส้นทางวิถียุทธ์แห่งเต๋า แค่รักษาชีวิตไว้ยังยาก!”
ประโยคที่ถูกกล่าวนั้นมาจากใจหยางเย่อย่างลึกซึ้ง ปัญหามากมายรุมเร้าเขาตั้งแต่เด็กราวกับมะเร็ง แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ในทุกสถานการณ์ แม้จะถูกลดขั้นเป็นศิษย์ใช้แรงงานราวกับตกจากสวรรค์สู่นรก เขาก็ยังคงอดทนสู้อยู่ตลอดมา ด้วยความคิดไม่ยอมแพ้มันทำให้เขารอดชีวิตอยู่จนกระทั่งบัดนี้
ได้รับฟังคำกล่าว หมานจื้อและเฉียวไห่สูดหายใจลึกพร้อมกับยืนขึ้นโค้งคำนับหยางเย่ หมานจื้อกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ขอบคุณอย่างยิ่ง บัดนี้ข้าเข้าใจดีแล้วว่าความแข็งแกร่งพวกข้ายังอ่อนหัดนัก แม้มันจะเกี่ยวกับพรสวรรค์และทรัพยากรการบ่มเพาะด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะตัวพวกข้าเอง ความตั้งใจที่ไม่หนักแน่นพอ ทั้งยังยอมแพ้ทันทีเมื่อประสบปัญหา สมควรแล้วที่ไม่สามารถเหนือกว่าผู้อื่นได้!”
หมานจื้อกล่าวจากใจจริง โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงฉากก่อนหน้านี้ มันทำให้เขาทราบแท้ถึงปัญหาที่มี ในอดีตเขาและเฉียวไห่… ไม่หรอก กล่าวได้ว่าบรรดาทหารรับจ้างทั้งหลายต่างมีความคิด หากได้รับทรัพยากรบ่มเพาะพลังเพียงพอ ก็คงไม่ด้อยไปกว่าศิษย์สำนักและชนชั้นสูงในจักรวรรดิ เมื่อนึกถึงมันความคิดนี้ช่างน่าขันยิ่งนัก
ไม่ต้องกล่างถึงผู้อื่น เพียงแค่หยางเย่ที่ยืนตรงหน้า ก็มีการบ่นเพาะพลังที่ต่ำกว่า แต่ความแข็งแกร่งและสภาพจิตใจนั้นเทียบกันไม่ติด
ชิงหงมองไปที่หยางเย่พร้อมก้มหัวให้เขา นางเคยมีความคิดเช่นเดียวกับพี่ชาย หากได้เป็นศิษย์สำนัก ความแข็งแกร่งคงไม่ด้อยไปกว่าหยางเย่ แต่จากการแสดงออกในสถานการณ์ที่สิ้นหวังก่อนหน้านี้ ทำให้นางเข้าใจช่องว่างของทั้งสองขึ้นทันที และไม่ใช่เพียงแค่ช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งอย่างเดียว
หยางเย่รีบปลอบทันทีที่สังเกตเห็นทั้งสามหดหู่ใจ “ข้าไม่ได้ต้องการให้พวกท่านหมดกำลังใจ ข้าเพียงต้องการเรียกสติพวกท่านเพียงเท่านั้น สิ่งที่พวกท่านต้องเข้าใจยามนี้คือข้อบกพร่องและเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ ไม่ใช่หดหู่ใจเช่นนี้ อันที่จริงพวกท่านอายุยังยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น ยังมีโอกาสบรรลุขั้นปราณสวรรค์ระดับแรกได้”
หมานจื้อหัวเราะอย่างขมขื่น “โชคไม่ดี พวกข้าคงไม่มีโอกาสเข้าสู่ขั้นปราณสวรรค์แล้วในชั่วชีวิตนี้”
พอได้ยินสิ่งนี้ หยางเย่ไม่ได้กล่าวคำใด เพราะไม่อาจเปลี่ยนบางสิ่งได้จากคำไม่กี่คำ ทุกคนต่างมีเส้นทางของตนเอง พวกเขาก็เพียงแค่เดินในเส้นทางนั้น
ชิงหงมองไปยังหยางเย่พร้อมกล่าว “เหตุใดฝูงงูถึงเลื้อยไปอีกทางงั้นหรือ?”
หยางเย่ไม่ลังเลที่จะบอกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ฝูงงูเข้าล้อมกรอบ
ชิงหงขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินหยางเย่บอกว่าโยนแก่นภายในออกไป “เจ้า เจ้าเก็บแก่นภายในไว้ในเสื้อแทนที่จะเก็บไว้ในแหวนมิติงั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินชิงหงถาม หมานจื้อและเฉียวไห่มองไปที่หยางเย่เช่นกัน แม้จะรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง หยางเย่ยังคงพยักหน้าตอบ
ทั้งสามแสดงท่าทีแปลกใจเมื่อเห็นหยางเย่พยักหน้า ชิงหงตบหน้าผากพร้อมกลอกตาไปยังหยางเย่ “น้องชาย เจ้าทราบหรือไม่ว่าแก่นภายในนั้นดึงดูบรรดาสัตว์อสูรทมิฬยิ่งนัก? แก่นภายในสามารถทำให้พวกมันเข้าสู่การบ่มเพาะพลังขั้นสูงได้ ตั้งแต่แรก ข้าคิดว่าเจ้าเก็บมันไว้ในแหวนมิติแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่าเก็บมันไว้ใต้เสื้อแทน”
หยางเย่ปาดจมูกทันทีที่ได้ยิน เขามองไปยังทั้งสามพร้อมเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงเบา “หมายความว่าเป็นข้าเองที่พางูเข้ามาใช่หรือไม่?”
ทั้งสามพยักหน้าตอบ
หยางเย่ค่อนข้างละอายใจทันทีที่ทราบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเพราะเขา เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หยางเย่รีบกล่าวคำขอโทษ เพราะไม่ว่ายังไงมันคือความผิดพลาดของเขาที่เกือบทำให้ทั้งสามถูกงูเขมือบ
แต่ทั้งสามกลับรู้สึกละอายใจแทนเมื่อได้ยินคำขอโทษ แม้จะเป็นความผิดพลาดของหยางเย่ เขายังคงช่วยชีวิตทั้งสามไว้ ยิ่งกว่านั้นมันเกิดขึ้นโดยไม่เจตนา ดังนั้นเมื่อหยางเย่กล่าวคำขอโทษ ความรู้สึกหดหู่ในจิตใจพวกเขาหายไปหมดสิ้น
เมื่อความรู้สึกอึดอัดในใจสงบลง ทุกคนจึงได้เริ่มสนทนากันอย่างอิสระอีกครั้ง ยามนี้พวกเขาสอนหยางเย่เกี่ยวกับทุกสิ่งที่ทหารรับจ้างมี อย่างเช่นสิ่งที่เขาไม่ควรทำและควรทำ ภายใต้การแนะนำของทั้งสาม หยางเย่ไม่เพียงได้รับผลประโยชน์อย่างมาก ทั้งยังรู้สึกโชคดีที่มีพวกเขาเป็นสหาย
การฝึกฝนพัฒนาตนเองนั้น จำเป็นต้องเข้าสู่สนามรบที่ขึ้นอยู่กับความเป็นความตาย แต่เดิมหยางเย่คิดไว้แค่นี้ แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คาดคิดไว้ หากไม่มีกลิ่นฉี่ของสัตว์อสูรราชันก่อนจะพักผ่อน เช่นนั้นแล้วแม้กระทั่งยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์มาพัก ผลที่ตามก็คงไม่สวยงามแน่นอน
เพราะเมื่อสู้รบกันในป่าอสรพิษที่มืดทึบ การต่อสู้มันยิ่งทำให้จำนวนงูเพิ่มขึ้นทุกที ในสถานการณ์เช่นนั้น กระทั่งผู้ที่อยู่ขั้นปราณสวรรค์ยังต้องพินาศ
มีวิธีมากมายที่จะเอาชีวิตรอดในขุนเขาไม่สิ้นสุด วิธีเหล่านี้ถูกสรุปผ่านบรรดาทหารรับจ้างทั้งหลาย หยางเย่พยายามจดจำวิธีเหล่านี้อย่างจริงจัง เพราะเขาตั้งใจมาเพื่อฝึกฝนตนเอง ไม่ได้ตั้งใจที่จะจบชีวิตที่นี่
การต่อสู้กับราชันอสรพิษยังพอทน แต่กับงูนับหมื่นนับแสนตัว นอกจากจะไม่ได้รับประสบการณ์ใดกลับมา มันยังนำชีวิตมาสู่ความตายด้วย
จากปัญหากองทัพงูก่อนหน้านี้ ทุกคนเปลี่ยนจากการพักผ่อนมาสนทนากันจนถึงเช้า เมื่อถึงเวลา พวกเขาเตรียมตัวออกเดินทางกันอีกครั้ง