มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 30
ตอนที่ 30 หลบหนี
ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามที่หยางเย่หนีมาพร้อมกับสตรีชุดขาว ทันใดนั้นชายมีรอยสักวัยกลางคนปรากฏตัวที่ศพของหัตถ์โลหิต เขาอายุราวสี่สิบปี ร่างกายท่อนบนไม่สวมเสื้อผ้า ทั้งยังเต็มไปด้วยรอยสักที่เป็นรูปสัญลักษณ์แปลกประหลาด สัญลักษณ์เหล่านั้นบิดหมุนไปมาราวกับมีชีวิต มันช่างดูแปลกยิ่งนัก!
ชายรอยสักลุกขึ้นมองไปรอบด้านก่อนจะหันกลับมามองศพหัตถ์โลหิตที่ไร้ศีรษะ ขณะที่มองไปยังศพของหัตถ์โลหิต ชายรอยสักส่ายหัวด้วยท่าทีเคร่งขรึม จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “หัตถ์โลหิตบอกว่าศัตรูถูกผนึกด้วยผนึกโลหิตทมิฬแล้ว แต่เหตุใดเขาถึงตายอย่างเป็นปริศนาเช่นนี้? มียอดฝีมืออื่นมาจากสำนักดาบราชันงั้นหรือ?”
ทันทีที่กล่าวจบ ชายรอยสักเดินไปยังศพของหัตถ์โลหิต เขามองไปที่รูบนหน้าอก จากนั้นเพ่งมองไปที่บาดแผลก่อนจะสังเกตเห็นบางอย่าง เขากล่าวน้ำเสียงต่ำอีกครั้ง “รูทั้งสามมากจากวิชาดาบ ทั้งหมดคงเป็นของเทพธิดาซู แต่เหตุใดถึงมีปราณดาบขนาดเล็กด้านข้าง มันไม่ใช่ของเทพธิดาซูเป็นแน่”
ขณะมองไปยังรูเล็กบนอก ชายรอยสักเงียบไปชั่วขณะก่อนจะกล่าว “ปราณดาบดูตื้นเขินเกินไปและยังไม่เสถียรพอ ผู้ที่ใช้ปราณดาบนี้ต้องอยู่ขั้นปราณสวรรค์เป็นแน่!”
เมื่อกล่าวจบ ชายรอยสักเริ่มปะติดปะต่อเหตุการณ์ หัตถ์โลหิตไม่ได้ถูกสังหารโดยฝีมือของเทพธิดาซู เขาถูกสังหารโดยคนจากขั้นปราณสวรรค์ที่ปรากฏตัวอย่างฉับพลัน
จากนั้นชายรอยสักขยับแขนขึ้น จากนั้นขว้างยันต์สื่อสารขึ้นบนอากาศพร้อมกล่าว “หัตถ์โลหิตสิ้นชีพแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอีกต่อไป เทพธิดาซูถูกจำกัดพลังโดยผนึกโลหิตทมิฬเรียบร้อย นางสูญเสียการบ่มเพาะพลังไปแล้ว นี่เป็นโอกาสอันดี ลิ่มโลหิตและเคียวโลหิต มุ่งตรงไปยังป่าอสรพิษเพื่อปิดทางเสีย บรรดาผู้ที่อยู่ขั้นปราณสวรรค์ทั้งหลายหยุดสิ่งที่กำลังทำ จากนั้นไปตรวจสอบหุบเขาหมาป่าใต้และเหวมรณะ นางจะต้องไม่มีชีวิตรอดกลับสำนักดาบราชัน มิเช่นนั้นแผนของสำนักข้าจะต้องพังพินาศแน่!”
ทันทีที่กล่าวจบ ร่างเขาพุ่งทะยานเป็นเงาสีดำไปตามทาง
……
ในป่าที่หนาทึบ หยางเย่ที่กำลังแบกสตรีชุดขาวไว้ด้านหลัง เขาพุ่งอย่างรวดเร็วราวกับคนคลุ้มคลั่ง ถึงแม้สัมผัสตรงหลังจะนุ่มนวลเพียงใด หยางเย่ก็ไม่อาจคิดสิ่งใดได้ในตอนนี้ มีเพียงเอาชีวิตรอดเท่านั้นที่อยู่ในหัวของเขา
เขาสังหารคนของสำนักภูตผี และไม่เชื่อว่าพวกมันจะปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นกำลังเสริมที่มายิ่งไม่ใช่กระจอกด้วย แม้จะกระจอก อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนที่ควรจะไปต่อกรด้วย
มันไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหัตถ์โลหิตต้องการสังหารเขา แล้วเหตุใดจึงไม่อาจตอบโต้กลับไปได้
“ข้าสัมผัสได้ว่ามียอดฝีมือกำลังตามหาพวกเรา!” ทันใดนั้นเอง เสียงของสตรีชุดขาวดังมาจากด้านหลัง
“พละกำลังท่านฟื้นฟูหรือยัง?” หยางเย่รู้สึกดีใจขึ้นมา ที่เขาทนแบกสตรีชุดขาวหนีมา เพราะกล้าเสี่ยงว่าหากนางฟื้นฟูพลังแล้วคงช่วยเหลือเขาได้บ้าง ยังไงก็ตามสำนักดาบราชันอยู่ใกล้ยิ่งนัก นางอาจสามารถใช้วิชาลับเพื่อช่วยได้
“ไม่!” สตรีชุดขาวเอ่ยอย่างเฉยชา “ผนึกโลหิตทมิฬคือวิชาต้องห้ามศักดิ์สิทธิ์ มันถูกใช้โดยหัตถ์โลหิตหลังจากแลกมาด้วยราคาที่สูงพอสมควร ข้าไม่อาจฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่หากไร้ซึ่งการช่วยเหลือจากผู้อื่น! เหตุผลที่ข้าทราบว่ามีคนตามมานั้นมาจากสัมผัสรู้แจ้งเท่านั้น แม้พลังข้าจะถูกผนึก แต่สัมผัสรู้แจ้งยังใช้ได้ปกติดี!”
ใจหยางเย่ดิ่งลงในทันทีที่ได้ยิน จากนั้นเขาเอ่ยถามต่อ “ท่านสามารถเรียกกำลังเสริมได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!”
“ทำไมล่ะ?” หยางเย่แทบจะร่วงลงพื้น แต่เดิมเขาคิดว่านางเรียกกำลังเสริมมาแล้ว ดังนั้นถึงแม้จะกังวลใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวมากเท่าไหร่ แต่ยามนี้…
“การบ่มเพาะพลังของข้าถูกผนึก เช่นนั้นแล้วข้าจะใช้วิชาใดแจ้งสำนักดาบราชันกันล่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หยางเย่จึงรีบกล่าว “งั้นใช้ยันต์สื่อสารสิ! หัตถ์โลหิตได้ใช้ไปครั้งหนึ่งแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่มี!”
หยางเย่ไม่มีคำกล่าวใดอีก เขาหยุดวิ่งทันที จากนั้นพุ่งตรงไปอีกทางหนึ่ง
เมื่อนางเห็นหยางเย่ตกอยู่ในภวังค์ สตรีชุดขาวกล่าวน้ำเสียงเรียบ “เจ้าคงผิดหวังที่พาข้ามาด้วยสินะ?”
“เล็กน้อย!” หยางเย่ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าหนีไปคนเดียวและวางข้าลงตรงนี้ บางทีเจ้าอาจจะมีโอกาสรอดเพิ่มขึ้น!” มันจี้เส้นหยางเย่อยู่เล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่เขาก็ส่ายหัวทันที หากนางไม่ตายหลังจากทิ้งไว้ที่นี่ ด้วยความแข็งแกร่งและสถานะของสตรีชุดขาว เขาเองที่จะเป็นคนที่ตายด้วยฝีมือนาง ยิ่งกว่านั้น เขาเชื่อว่าสำนักภูตผีจะปล่อยให้ตนเองมีชีวิตรอด ตั้งแต่สังหารคนของสำนักนั้นไป ค่าหัวของเขาก็สูงขึ้นมาทันที
“พวกเขาไม่มีทางปล่อยข้าไป ดังนั้นเจ้าจะเจอปัญหาในอนาคตอีกไม่หยุดหย่อนหากยังพาข้าไปด้วย!”
หยางเย่ฝืนหัวเราะออกมา “หลังจากข้าทิ้งท่านไว้ให้พวกมันสังหารท่าน คิดว่าพวกเขาจะลืมเรื่องราวทั้งหมดและไม่มาเอาเรื่องข้าหรือไง?”
สตรีชุดขาวกล่าว “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ระดับขั้นของกำลังเสริมที่ตามมาแน่ชัด แต่คงไม่ยากเกินไปที่จะทราบว่าผู้ใดสังหารหัตถ์โลหิตโดยไม่ใช่ฝีมือข้า ยิ่งกว่านั้น ข้าสูญเสียการบ่มเพาะพลังไปแล้ว ดังนั้นมันเป็นไปได้ยากที่จะไปไกลกว่านี้ บางทีพวกมันอาจทราบแล้วว่ามีคนพาข้าหลบหนีอยู่ ด้วยวิธีการที่ไร้ความปรานีของสำนักภูตผี พวกมันคงไม่ไว้ชีวิตเจ้าเป็นแน่!”
“ถูกต้อง!” หยางเย่ฝืนหัวเราะพร้อมกล่าว “ตั้งแต่ที่พวกมันไม่คิดไว้ชีวิตข้า เช่นนั้นแล้วการพาท่านมาด้วยหรือปล่อยทิ้งไว้ก็ไม่ต่างกัน ยิ่งกว่านั้นข้ารู้สึกปลอดภัยยิ่งกว่าหากมีท่านอยู่ข้างกาย!”
เขากล่าวความจริงทั้งหมด ความแข็งแกร่งของนางเป็นที่ประจักษ์มานานแล้ว หากนางไม่ประมาท เขาจะมีโอกาสสังหารหัตถ์โลหิตได้ยังไง? บางทีมันอาจจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์หากมียอดฝีมืออยู่ข้างกาย! ไม่ว่ายังไง ครั้งนี้เขาพร้อมที่จะเสี่ยงกับนางอีกครั้ง!
สตรีชุดขาวเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยคำ “เหตุใดเจ้าไม่วิ่งไปทางป่าอสรพิษแต่กลับเปลี่ยนทิศทางแทน? เจ้าน่าจะทราบดีหากพวกเรากลับไปยังสำนักดาบราชัน โอกาสรอดคงมีมากกว่าอยู่แล้ว!”
“หากท่านเป็นกำลังเสริมของหัตถ์โลหิต สิ่งแรกที่ท่านจะคิดคืออะไร?”
สตรีชุดขาวเงียบอยู่ชั่วขณะ หากนางเป็นกำลังเสริมของหัตถ์โลหิต นางคงเริ่มจากการปิดกั้นทางกลับสำนักดาบราชันแน่นอน ทันทีที่นึกถึงสิ่งนี้ นางก้มมองไปที่หยางเย่ แววตานางมองดูยกย่องเขาขึ้นมา ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ไม่เพียงแค่จะครอบครองพลังปราณห้าธาตุทองคำ ความแข็งแกร่งและสติปัญญายังเยี่ยมยอดอีกด้วย หากสำนักดาบราชันส่งเสริมเขาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพียงไม่กี่ปี บางทีเขาคงสามารถบรรลุขั้นสูงสุดของเขตแดนใต้ได้เป็นแน่! ไม่มีผู้ใดสามารถบรรลุขั้นสูงสุดของเขตแดนใต้ในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ยามนี้หยางเย่หวังเพียงจะมีความสามารถของสหายตัวจ้อย หากมีความว่องไวของมัน เช่นนั้นเขายังจะหวาดกลัวการไล่ล่าของสำนักภูตผีอยู่งั้นหรือ?
หลังจากวิ่งมาเกือบสองชั่วยาม หยางเย่ค่อนข้างเหนื่อยล้าเต็มที เขานำสตรีชุดขาวไปซ่อนไว้ในต้นไม้ใหญ่
ขณะที่มองไปยังใบหน้าที่งดงามอันไร้ที่ติของสตรีชุดขาว ใจหยางเย่เหมือนจะเริ่มทรยศเขาพร้อมเต้นแรงขึ้น เขารีบระงับความรู้สึกนั้นไว้ในใจก่อนจะกล่าว “วิ่งต่อไปอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ ไม่นานคงถูกจับได้เป็นแน่ ท่านมีความคิดเห็นอื่นหรือไม่?”
“ไม่มี!” คำกล่าวของสตรีชุดขาวเรียบง่ายตรงไปตรงมา
ใบหน้าหยางเย่บิดเบี้ยว เขาแทบจะโกรธจนอาเจียนเป็นเลือด จากนั้นเขากล่าว “ได้โปรดเถอะ ความแข็งแกร่งของท่านร้ายกาจถึงเพียงนี้ ไฉนจึงไม่มีความคิดเห็นใดเลย?”
สตรีชุดขาวมองอย่างเฉยชาไปที่หยางเย่ “พาข้ากลับไปยังสำนักดาบราชัน จากนั้นข้าจะพาพรรคพวกมาสยบพวกมันเสีย นั่นคือทั้งหมดที่ข้าทำได้!”
หยางเย่ไม่กล่าวสิ่งใดนอกจากคิดในใจ ‘เราต้องการพานางกลับไปยังสำนักดาบราชันอยู่แล้ว! แต่จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ? มียอดฝีมือดักรอระหว่างทางกลับแน่นอนอยู่แล้ว มีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้งหากกลับไปทางนั้น!’
“เจ้าครอบครองพลังปราณห้าธาตุ เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินชื่อเจ้าในสำนักดาบราชัน?” สตรีชุดขาวแสดงท่าทีจริงจังและสนใจผ่านดวงตา
“ข้าเป็นเพียงศิษย์ใช้แรงงาน” หยางเย่มีหินพลังปราณในมือและกำลังดูดซับมันอยู่ เขาตอบคำถามอย่างจริงจังเมื่อได้ยินคำถามจากนาง
“ศิษย์ใช้แรงงานงั้นหรือ?” คิ้วที่งดงามของนางขมวดชนกัน “มันเป็นไปได้ยังไง? ถึงแม้ระดับการบ่มเพาะของเจ้าจะยังต่ำ แต่ความแข็งแกร่งนั้นไม่ใช่ ยิ่งกว่านั้นยังมีพลังปราณห้าธาตุทองคำ เหตุใดเจ้ายังเป็นเพียงศิษย์ใช้แรงงาน?”
“เป็นศิษย์ใช้แรงงานถือเป็นเกียรติหรือไม่ใช่? ข้ายังจะมีเหตุผลอันใดต้องปิดบัง?” หยางเย่กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ สตรีชุดขาวยังมีอารมณ์ถามคำถามไร้สาระกับเขา ‘นางไม่ทราบงั้นหรือว่ามีคนที่ร้ายกาจกำลังไล่ตามเราอยู่?’
สตรีชุดขาวเงียบไปอีกครู่หนึ่ง จากนั้นดูเหมือนนางจะมีความคิดบางอย่าง ใบหน้าที่งดงามเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก “หากมีผู้อาวุโสนอกสำนักคนใดพยายามจะยับยั้งการพัฒนาของเจ้า จงอย่ากังวลอีกต่อไป หากพวกสามารถกลับไปได้ ข้าจะตรวจสอบมันด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ข้าจะไม่ยกโทษให้คนที่บังอาจมาขัดขวางอัจฉริยะที่มีศักยภาพขนาดนี้เป็นแน่!”
หยางเย่รู้สึกประหลาดใจทันที สถานะสตรีชุดขาวในสำนักดาบราชันไม่ได้ต่ำต้อยแน่นอน!
ขณะที่กำลังจะถามสถานะของนาง สตรีชุดขาวรีบหันไปมองทิศทางหนึ่งก่อนจะกล่าว “มีคนที่ขั้นสูงกว่ายอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์กำลังตรงมาทางเรา พวกมันมาจากสำนักภูตผี!”
หยางเย่รีบลุกขึ้นทันทีที่ได้ยิน เขาไม่ลังเลที่จะแบกนางด้านหลังอีกครั้ง จากนั้นเขากระโจนลงจากต้นไม้พร้อมพุ่งทะยานไปตามทางต่อไป
ขณะที่วิ่งหนีอย่างคลุ้มคลั่ง หยางเย่เอ่ยถาม “หากข้ามียันต์สื่อสาร ท่านจะสามารถใช้มันแจ้งให้ยอดฝีมือสำนักดาบราชันทราบได้หรือไม่?”
สตรีชุดขาวงุนงงก่อนจะกล่าว “แน่นอน อย่างน้อยต้องเป็นยันต์ระดับกลาง เจ้ามีงั้นหรือ?”
“ตอนนี้ยังไม่มี!”
“…”