มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 44
ตอนที่ 44 หอคอยผู้รับใช้ดาบ
ภายในบ้านหิน หยางเย่ น้องสาว และมารดาของเขากำลังนั่งรับประทานอาหารเย็นกันบนโต๊ะที่ทำจากหิน มีจานอยู่สามใบและซุปอีกหนึ่งชามวางอยู่บนโต๊ะ จานทั้งสามนั้นสำหรับใส่เนื้อ และอาหารทั้งหมด หยางเย่ก้มกินมันทุกจาน โดยเฉพาะจานที่ใส่หมูผัดเปรี้ยวหวานที่อยู่กลางโต๊ะ มันไม่ใช่เพียงแค่ของโปรดของหยางเย่ แต่ยังเป็นของโปรดของเสี่ยวเหยาด้วย
ถึงแม้พวกเขาจะชอบกินหมูผัดเปรี้ยวหวานอย่างมาก แต่หากไม่ใช่โอกาสสำคัญ พวกเขาแทบจะไม่มีโอกาสได้กิน เพราะการกินเนื้อสำหรับครอบครัวนี้เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยเกินไป
“พี่ใหญ่ กินอีกสิ!” เสี่ยวเหยาคีบหมูเปรี้ยวหวานวางในชามข้าวหยางเย่ ส่วนอีกชิ้นให้ชามข้าวของท่านแม่ และคีบให้ตนเองในครั้งสุดท้าย แต่ดูเหมือนเสี่ยวเหยายังไม่กินมันทั้งหมด นางใช้ลิ้นพยายามชิมหมูเปรี้ยวหวานก่อน จากนั้นแสดงอาการราวกับคนเมา
“พวกลูกรีบทานสิ ยังมีเหลืออีกเยอะอยู่ในจานนะ!” นางยื่นมือมาลูบหัวเสี่ยวเหยาขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ในอีกด้านหนึ่ง หยางเย่รู้สึกราวกับมีก้อนเนื้อติดอยู่ในลำคอ ความรู้สึกผิดมากมายไหลเข้าไปในจิตใจของเขา ‘หากเรามีความสามารถมากกว่านี้ เสี่ยวเหยาและท่านแม่คงไม่ต้องถูกกลั่นแกล้งจากพวกตระกูลหลิวแน่ เราเป็นชายเพียงคนเดียวในครอบครัว แต่กลับทำให้น้องสาวและท่านแม่ต้องทนทุกข์กับความอยุติธรรม เรามันช่างไร้ค่านัก!’
“พี่ใหญ่รีบกินอีกสิ ท่านดูผอมมากเลย กินให้เยอะกว่านี้เพื่อให้ท่านแข็งแรงนะ!” เสี่ยวเหยาคีบหมูชิ้นให้หยางเย่
“ได้เลย!” มารดาของหยางเย่มองมาด้วยความรัก “ลูกทนทุกข์ยากลำบากมากมายในสำนักดาบราชัน กินอีกสิ” นางกล่าวพร้อมคีบหมูอีกชิ้นให้หยางเย่
น้ำตาหยางเย่ซึมออกมา เขาหยิบตะเกียบและฝืนยิ้มก่อนจะคีบเนื้อหมูกิน
สตรีผู้นั้นเผยรอยยิ้มเมื่อเห็นหยางเย่กำลังกินแต่กลับไม่กินของตนเอง นางแค่มองหยางเย่และเสี่ยวเหยา จากนั้นท่าทีอันพึงพอใจปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง
หลังจากที่กินหมูเปรี้ยวหวานในชามหมด เขาเงยหน้าขึ้นมองมารดาและเสี่ยวเหยาด้วยท่าทีสงบ ไม่มีความผันผวนของอารมณ์บนใบหน้าของเขาอีกต่อไป
“พี่ใหญ่ อย่ามองเหยาเอ๋อแบบนี้สิ เหยาเอ๋อค่อนข้างกลัวนะ!” เสี่ยวเหยารู้สึกกลัวเมื่อมองไปที่ดวงตาหยางเย่พร้อมกล่าวอย่างเขินอาย
“เกิดอะไรขึ้น? ลูกรู้สึกไม่ดีงั้นหรือ?” เมื่อสังเกตว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับหยางเย่ มารดาเขารีบยืนขึ้นและกล่าวอย่างเป็นกังวล
หยางเย่ไม่กล่าวสิ่งใด เขาแค่มองอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่งไปที่พวกนาง จากนั้นจึงปิดตาลงก่อนจะใช้ปราณดาบกระจายออกไปรอบด้าน ปราณดาบผ่าร่างทั้งสองเลือดกระจายไปทั่วพื้นดิน ขณะเดียวกันหยางเย่รู้สึกสลดกับฉากที่เห็นนี้พร้อมกับอาการหน้ามืดเล็กน้อย
ชั่วอึดใจหนึ่ง หยางเย่เปิดตาขึ้น ผู้คนในยอดเขาบททดสอบ วงแหวนสีฟ้า และทุกสิ่งที่ดูคุ้นเคยปรากฏขึ้นในสายตาอีกครั้ง เขาสูดหายใจลึกและไม่สนสายตาผู้คนนับพันรอบข้าง จากนั้นเดินไปยังผู้อาวุโสเชียนพร้อมคารวะก่อนจะเดินไปอยู่ด้านข้าง
ผู้อาวุโสเชียนถอนหายใจโล่งอกทันที ถึงแม้เขาจะไม่ทราบว่าหยางเย่พบสิ่งใดในภาพมายา แต่อารมณ์หยางเย่ยังมั่นคงอยู่อย่างแท้จริงและไม่หลงมัวเมาไปกับมัน
เหตุใดเขาถึงไม่เลือกที่จะตื่นขึ้นทันที? หลังนึกคิดได้ชั่วครู่ ผู้อาวุโสเชียนจึงหยุดคิด เพราะไม่ว่ายังไงมันก็ดีแล้วที่หยางเย่ผ่านการทดสอบ
“เวลาพักผ่อนครึ่งชั่วยาม จากนั้นระดับต่อไปจะเป็นการทดสอบความแข็งแกร่ง!” ผู้อาวุโสเชียนกล่าว
เมื่อพวกเขาได้ยินทุกคนรอบด้านไม่มีผู้ใดกล้าโวยวายหยางเย่ว่าเหตุใดจึงผ่าน ทุกคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น พวกเขาถือหินพลังปราณที่สำนักดาบราชันให้เพื่อฟื้นฟูพลังปราณภายในร่างกาย
เจียงหยวนที่อยู่ไม่ไกลจากหยางเย่จ้องมองไปยังธูปที่เพิ่งหมดลง จากนั้นหันกลับไปจ้องมองหยางเย่ที่นั่งเงียบ เขากัดฟันแน่นพร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม ก่อนหน้านี้เจียงหยวนนึกว่าหยางเย่เป็นคนไม่ธรรมดา แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นศิษย์นอกที่ถูกลดขั้นมาก่อน เมื่อนึกถึงสิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสนอกขุ่นเคืองเพียงเพราะศิษย์แรงงาน เจียงหยวนรู้สึกแคลงใจอย่างมาก
“ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถขึ้นไปหนึ่งในสิบอันดับได้นะ!” เจียงหยวนกล่าวเสียงต่ำก่อนจะถอนสายตาออก
เหตุผลที่หวังว่าหยางเย่สามารถจะไปอยู่หนึ่งในสิบอันดับแรก เพราะสิบอันดับแรกจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ การแข่งขันนี้ไม่เพียงแค่รางวัลจากสำนักดาบราชันเท่านั้น มันยังมีความหมายอื่นแฝงอยู่เบื้องหลัง อันดับยิ่งสูงขึ้นไปในการแข่งขัน มันยิ่งง่ายที่จะถูกเลือกจากผู้อาวุโส ยิ่งกว่านั้นมันสามารถสร้างเครือข่ายในความสัมพันธ์จากการแข่งขันนี้
แน่นอนเขาหวังว่าหยางเย่จะสามารถไปอยู่ในสิบอันดับแรกได้ เพราะต้องการที่จะสั่งสอนบทเรียนให้
สายตาของชายไฝดำกวาดมองไปยังผู้ผ่านการทดสอบรอบสอง และสายตานั้นก็จ้องไปที่เจียงหยวนในที่สุด “ท่ามกลางหกร้อยคนที่ผ่านบททดสอบ เขาตื่นขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด และใช้เวลาเพียงร้อยลมหายใจเท่านั้น เขาคงจะเป็นอัจฉริยะจากเมืองธารหิมะโดยแท้จริง!”
ชายหน้ากลมด้านข้างพยักหน้า “ข่าวลือคงเป็นเรื่องจริง เขาอยู่ระดับเก้าขั้นปราณมนุษย์ และความแข็งแกร่งนั้นน่าจะอยู่ในจุดสูงสุดตอนนี้ หลังจากกลายเป็นศิษย์สำนักแล้วคงถูกอุปถัมภ์จากสำนัก จากนั้นเขาคงสามารถบรรลุขั้นปราณสวรรค์ได้ในไม่นาน ยิ่งกว่านั้นหากไม่มีอัจฉริยะใดปรากฏขึ้นมานับจากนี้ เขาคงเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในสำนักนอกก่อนจะไปสู่สำนักในเป็นแน่!”
ชายหนุ่มไฝดำกล่าวอย่างเย็นชา “ช่างเป็นพรสวรรค์โดยแท้จริง เพียงอายุสิบหกปีก็บรรลุระดับเก้าขั้นปราณสวรรค์ได้แล้ว หลังจากที่ถูกอุปถัมภ์จากสำนัก เขาคงจะเป็นความหวังของสำนักเช่นกัน แต่จากที่เห็นแล้วดูเขาเป็นคนหยิ่งผยองพอควรและไม่ทราบว่าจะควบคุมได้ยังไง หากยังเป็นเช่นนี้เขาจะต้องทุกข์ทนอย่างมากในอนาคต”
ชายหนุ่มหน้ากลมเผยยิ้มกล่าว “เป็นเรื่องปกติที่คนหนุ่มสาวซึ่งมีความสามารถจะหยิ่งผยอง แต่พอคิดดูแล้ว พวกเราเองก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันครั้งสตรีปีศาจผู้นั้นยังไม่เผยตัว พวกเราแทบไม่เห็นใครในสายตาด้วยซ้ำ และแม้ความหยิ่งผยองเหล่านั้นถูกเก็บงำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าข้าก็ทราบกระจ่างดี ว่าความภาคภูมินั้นยังคงฝังแน่นคงอยู่ไม่แปรเปลี่ยน หากมันจะเปลี่ยน ก็คงต้องเป็นความพ่ายแพ้อย่างสิ้นรูป!”
ชายหนุ่มไฝดำพยักหน้า จากนั้นเขามองไปที่หยางเย่ก่อนจะเงียบชั่วขณะ “เขาผู้นั้นก็แปลกยิ่งนัก ดวงตาเปล่งประกายและสดใสตั้งแต่ตื่นมาจนถึงบัดนี้ ทั้งยังไม่มีความสับสนภายในท่าทีบนใบหน้า สิ่งนี้มันพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามั่นคงอยู่แล้วตั้งแต่แรกที่เข้าไปในภาพมายา ดังนั้นเหตุใดเขาจึงทนอยู่ในภาพมายาเป็นเวลานาน?”
“บางทีเขาอาจจะพบกับความงดงามภายในภาพมายา!” มันไม่ใช่ชายหน้ากลมกล่าว แต่เป็นเสียงของหลิวชิงอวี่ที่เงียบอยู่ข้างหลังมาตลอด เขาไม่ขัดที่ทั้งสองสนทนาเกี่ยวกับเจียงหยวน แต่ไม่อาจทนได้เมื่อได้ยินพวกเขากล่าวถึงหยางเย่
ชายหนุ่มไฝดำมองอย่างเฉยชาไปที่หลิวชิงอวี่พร้อมกล่าว “ในฐานะศิษย์นอกเทียบอันดับเดียวกัน ให้ข้าแนะนำเจ้าสักอย่าง อย่าประเมินคู่ต่อสู้ของเจ้าต่ำเกินไป!”
หลิวชิงอวี่รีบพยักหน้าด้วยความเคารพ ดูเหมือนว่าเขาจดจำไว้อย่างดี แต่ในใจกลับไม่ได้สนใจ เขายังจำได้ว่าหยางเย่ไม่อาจป้องกันกระบวนท่าเดียวจากเขาได้ในวันนั้น ดังนั้นแล้วมันจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดกันด้วยเวลาเพียงหนึ่งเดือน?สำหรับเขาลงมือเพียงสองกระบวนท่าก็พอแล้ว!
หยางเย่ค่อย ๆ ปิดตาลง เขาไม่ดูดซับพลังจากหินพลังปราณ กล่าวโดยแท้จริงคือ ภาพมายาก่อนหน้ายังคงส่งผลกระทบแก่เขาอยู่ ในอดีตเขาอุทิศชีวิตเพื่อน้องสาวและมารดา และค่อนข้างประหลาดใจที่ทั้งสองมาปรากฏตัวหลังจากไม่ได้พบกันมานานในภาพมายา
เขาทราบดีอยู่แล้วว่ามันเป็นเพียงภาพมายา แต่กลับไม่คิดที่จะตื่นขึ้น และยังทราบว่าควรอยู่ถึงตรงไหน เพราะค่ายกลมายานี้เป็นเพียงค่ายกลธรรมดา หากมันเป็นค่ายกลระดับสูง ก็คงตายไปแล้วจากการทนอยู่ในนั้น
กล่าวโดยย่อคือเส้นทางแห่งเต๋าของเขานั้นยังมีจุดอ่อนอยู่ และจุดอ่อนนั้นคือมารดาและน้องสาว หากไม่จัดการปัญหานี้ ปัญหาในอนาคตคงจะตามมาอีกแน่นอน
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หยางเย่สูดหายใจลึกพร้อมกล่าว ‘เมื่อจบการทดสอบ มันจะเป็นเวลาที่เรากลับไปเยี่ยมบ้าน!’
ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสเฉาหัวเดินไปยังผู้ทดสอบทั้งหกร้อยคน ขณะที่มองความผิดหวังที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซึ่งมันยากที่จะปกปิด จำนวนของผู้คนที่ผ่านการทดสอบนั้นช่างน้อยมากหากเทียบกับครั้งล่าสุด หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก สำนักนอกของสำนักดาบราชันคงน่าขายหน้าแน่ที่ไม่อาจหาผู้มีความสามารถได้
“ข้าหวังว่าจะมีอัจฉริยะที่สามารถเข้าสู่เทียบอันดับสวรรค์ได้นะ มิเช่นนั้นอนาคตของสำนักดาบคงน่าเป็นห่วง!” เฉาหัวบ่นพึมพำด้วยเสียงเบาก่อนจะมองไปที่ผู้ผ่านเข้ารอบ
จากนั้นไม่นานเฉาหัวปรับอารมณ์ก่อนจะกล่าว “ระดับต่อไปจะทดสอบประสบการณ์การต่อสู้ของพวกเจ้า ตามข้ามา!”
เมื่อพวกเขาได้ยิน ผู้ทดสอบทุกคนรีบยืนขึ้นและตามเฉาหัวไป
“หอคอยผู้รับใช้ดาบ?” ชายหนุ่มไฝดำกล่าวเสียงต่ำ
ชายหนุ่มหน้ากลมหัวเราะพร้อมกล่าว “เวลานั้น สตรีปีศาจสามารถไปถึงระดับยี่สิบ และทำลายสถิติของศิษย์พี่ซูเมื่อสิบปีก่อน ข้าสงสัยว่าจะมีใครกล้าทำลายสถิติสตรีปีศาจในยามนี้ได้หรือไม่!”
“มันจะเป็นไปได้งั้นหรือ?” ใครบางคนกล่าวจากด้านหลัง