มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 46
ตอนที่ 46 ฝ่าฝันทุกอุปสรรค์
หยางเย่ที่เพิ่งเข้าไปในหอคอยผู้รับใช้ดาบ ฉากตรงหน้าในดวงตาเขาเปลี่ยนไปทันที ไม่นานเมื่อวิสัยทัศน์กลับมาอีกครั้ง เขาสังเกตว่ากำลังยืนอยู่ในห้องโถงที่กว้างใหญ่ นอกจากบันได มันเป็นเพียงห้องโถงว่างเปล่าไร้สิ่งใด ไม่มีผู้ใดในที่แห่งนี้แม้กระทั่งคนอื่นที่เข้ามาพร้อมกับเขาเอง
ขณะที่หยางเย่กำลังสับสน ร่างสีดำปรากฏขึ้นในระยะห่างเพียงสิบเมตร ร่างสีดำถือดาบในมือและดาบก็เป็นสีดำเช่นกัน มันค่อนข้างยากที่จะเห็นรูปลักษณ์ที่แน่ชัด หยางเย่รู้สึกว่าร่างดำที่อยู่ตรงหน้าได้เจอเป้าหมายแล้ว
“นี่คือผู้รับใช้แห่งดาบงั้นหรือ?” หยางเย่กล่าวด้วยเสียงต่ำ
เมื่อนึกได้เขาพลิกฝ่ามือทำให้ดาบปรากฏขึ้น จากนั้นใช้ก้าววายุปล่อยคลื่นลมออกมาพร้อมแทงออกไปด้วยวิชาดาบพื้นฐาน
ทันทีที่หยางเย่เริ่มเคลื่อนไหว เงาดำตรงหน้าก็เริ่มโจมตีกลับเช่นกัน แต่หยางเย่ประหลาดใจที่เงาดำตรงหน้าแทงกลับด้วยวิชาดาบพื้นฐานด้วย ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นวิชาหรือความเร็ว มันดูคล้ายคลึงกับเขาอย่างมาก
หยางเย่ไม่มีเวลามานึกคิดสิ่งใด เขาเร่งความเร็วขึ้นพร้อมเหวี่ยงดาบทำให้ดาบในมือของร่างสีดำหลุดออก จากนั้นใช้ดาบในมือขวาฟันไปที่หน้าอกของมัน
ร่างสีดำหายไปในทันทีจากการโจมตีของหยางเย่
หยางเย่ไม่รู้สึกพอใจเท่าไหร่จากการทำลายผู้รับใช้แห่งดาบเพียงครั้งเดียว เพราะผู้รับใช้แห่งดาบอยู่ถึงระดับเจ็ดขั้นปราณมนุษย์
หลังจากเงียบอยู่ชั่วครู่ หยางเย่บ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงเบา ‘ดูเหมือนผู้รับใช้แห่งดาบจะคัดลอกกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ หากเป็นเช่นนี้ มันก็เป็นการดีที่จะฝึกฝนวิชาดาบของเรา แต่ผู้รับใช้แห่งดาบในชั้นนี้ช่างอ่อนแอเกินไป’ ทันทีที่กล่าวจบ หยางเย่เดินขึ้นไปยังชั้นที่สอง
เมื่อมาถึงชั้นที่สอง มีผู้รับใช้แห่งดาบสองตัวยืนเตรียมพร้อมอยู่ ความแข็งแกร่งของมันก็ไม่แตกต่างจากชั้นแรกเท่าไหร่นัก ทั้งสองอยู่ในขั้นปราณมนุษย์ระดับเจ็ด สิ่งเดียวที่เพิ่มมาคือผู้รับใช้แห่งดาบอีกหนึ่งตัวเท่านั้น
หยางเย่ไม่ลังเลที่จะใช้วิชาดาบพื้นฐานพร้อมก้าววายุ อย่างที่คาดไว้ ทันทีที่ใช้สองวิชานี้ ร่างทั้งสองก็ใช้สองวิชานี้เช่นกัน
ถึงแม้ผู้รับใช้แห่งดาบจะใช้วิชาเดียวกัน พวกมันก็ถูกหยางเย่จัดได้อย่างง่ายดายอยู่ดี ผู้รับใช้แห่งดาบที่อยู่ขั้นปราณมนุษย์ระดับเจ็ดนั้น หยางเย่แทบไม่ต้องเปลืองพลังในการจัดการแม้จะมีถึงสองร่างก็ตาม
ด้านนอกหอคอยเฉาหัวมองไปยังตัวอักษรสีเลือด ‘หก’ ตรงกลางหอคอยพร้อมกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ไม่เลว บางคนสามารถไปถึงชั้นหกได้รวดเร็วยิ่งนัก มันคงเป็นเจียงหยวนหรือไม่ก็ชิงเสวีย”
เฟิงอวี่ที่ยืนอยู่ข้างเฉาหัวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “คุณภาพและปริมาณของปีนี้ด้อยกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย แต่หากเทียบกับปีที่แล้ว ในแง่ของคุณภาพถือว่าไม่เลว ขั้นปราณมนุษย์ระดับเก้าสองคนด้วยอายุเพียงสิบหกปี หลังจากเข้าร่วมสำนักและสำนักส่งเสริมพวกเขาเพียงไม่นาน พวกเขาคงสามารถบรรลุขั้นปราณสวรรค์ได้ไม่ยาก”
เฉาหัวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มพร้อมกล่าว “หากพวกเขาสามารถบรรลุขั้นปราณสวรรค์ได้ในระยะเวลาแปดเดือน พวกเขาจะสามารถไปยังเมืองหลวงพร้อมกับบรรดาอัจฉริยะทั้งหลาย และเข้าชมเทียบอันดับสวรรค์ในปีนี้ได้ แม้จะยังไม่ผ่าเกณฑ์ แต่การได้ดูอัจฉริยะคนอื่นแข่งขันนั้นจะเป็นผลประโยชน์แก่พวกเขาอย่างมากแน่นอน!”
เมื่อเทียบอันดับสวรรค์ถูกเอ่ยถึง รอยยิ้มบนใบหน้าเฟิงอวี่หายไปทันที “พี่หัว ท่านคิดว่าจะมีอัจฉริยะสักกี่คนกันที่สามารถเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์ในปีนี้?”
ท่าทีเฉาหัวแสดงออกเคร่งขรึมเช่นกัน จากนั้นเขาเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะกล่าว “ข้าไม่กล้ากล่าวว่าบรรดาหัวกะทิของสำนักในที่ยังไม่บรรลุขั้นปราณราชันจะเข้าร่วมได้ แต่สตรีปีศาจของสำนักนอกจะสามารถทำได้แน่นอน และสิ่งที่จำเป็นคือต้องไม่ให้พวกสำนักภูตผีและมหาอำนาจอื่นตั้งเป้ามาที่สำนักดาบราชัน!”
เฟิงอวี่กล่าวด้วยเสียงต่ำ “สำนักภูตผีเล็งสำนักดาบราชันไว้อย่างแน่นอน แต่พวกเราก็ไม่ได้เกรงกลัวมันแต่อย่างใด ข้าสงสัยแค่หากโรงเรียนปราชญ์ตั้งเป้ามาที่สำนักดาบราชันเวลานี้ จากการพ่ายแพ้ในแต่ละปีที่ผ่านมา เงาของโรงเรียนปราชญ์สามารถคืบคลานเข้ามาทุกที!”
เฉาหัวที่กำลังจะกล่าวบางอย่าง ผู้อาวุโสเชียนที่เงียบมาตั้งแต่ต้นตะโกนออกมาอย่างประหลาดใจ “ดูนั่น มีบางคนไปถึงชั้นเก้าแล้ว!”
เมื่อได้ยิน ทั้งสองเงยหน้าขึ้นดูตัวอักษรขนาดใหญ่ ‘เก้า’ ได้ปรากฏขึ้นตรงกลางหอคอย
ไม่ใช่ผู้ใดแต่เป็นหยางเย่เองที่มาถึงชั้นเก้า ตลอดทางที่ผ่านมา เขาทราบสถานการณ์มากมายในหอคอยแล้ว นั่นคือชั้นหนึ่งมีผู้รับใช้แห่งดาบขั้นปราณมนุษย์ระดับเจ็ดตัวเดียว ชั้นสองมีสองตัว ชั้นสามมีสามตัว เมื่อมาถึงชั้นสี่ ผู้รับใช้แห่งดาบที่ปรากฏไม่ได้อยู่ระดับเจ็ดอีกต่อไป และมันเพิ่มระดับเป็นระดับแปดขั้นปราณมนุษย์ จากที่เห็นก่อนหน้านี้ เมื่อมาถึงชั้นที่เก้า เขาต้องเผชิญหน้ากับผู้รับใช้แห่งดาบขั้นปราณมนุษย์ระดับเก้าสามตัว
เมื่อหยางเย่ที่เพิ่งมาถึงชั้นเก้า ดาบทั้งสามก็โจมตีมาตรงหน้าทันที หลังจากที่ผู้รับใช้แห่งดาบกลายเป็นระดับเก้าขั้นปราณมนุษย์ พวกเขาเลิกใช้กระบวนท่าของหยางเย่ แต่ใช้วิชาดาบของตนเองแทน
เมื่อสัมผัสได้ถึงดาบทั้งสามที่จู่โจมเข้ามา ท่าทีของหยางเย่ยังคงสงบ เขาใช้ก้าววายุเพื่อเคลื่อนไหวราวกับสายลมไปด้านข้าง หยางเย่แค่ขยับหนีเมื่อดาบทั้งสามยังโจมตีมาอย่างต่อเนื่อง
หยางเย่เองไม่กล้าประมาท เขากระทืบพื้นด้วยเท้าขวาและใช้แรงส่งนั้นผสานเข้ากับวิชาก้าววายุ ไม่นานเขามาถึงยังฝั่งขวาของผู้รับใช้แห่งดาบ เขาแทงดาบใส่ด้วยความมุ่งมั่นและไม่ลังเล ส่วนพวกมันเองก็ไม่ได้ป้องกันหรือพยายามหยุดการโจมตีแต่อย่างใด แต่กลับหันแทงไปที่อกหยางเย่แทน ดูเหมือนผู้รับใช้แห่งดาบต้องการจะล้มหยางเย่ด้วยวิธีนี้
เพราะมันเป็นการโจมตีแรก ดาบของเขาจึงทะลุผู้รับใช้ดาบร่างแรกเท่านั้น ไม่นานดาบของผู้รับใช้แห่งดาบก็มาถึงอกของเขา แต่เมื่อดาบกำลังจะแทงไปที่ร่างกายหยางเย่ เขาใช้มือซ้ายขยับอย่างเบาก่อนปราณดาบจะยิงออกจากมือซ้าย
เคล้ง!
ดาบในมือผู้รับใช้แห่งดาบกระเด็นหลุดไปทันที
หลังจากสำเร็จการโจมตีแรก หยางเย่ใช้เท้ากระทืบอย่างเบา ทำร่างเขาหายไปราวกับภูตผีและมาถึงยังผู้รับใช้แห่งดาบตรงกลาง คราวนี้เขาเลิกใช้วิธีเดิมแต่กลับเพิ่มความเร็วขึ้นแทน ดาบของเขาส่งเสียงแผดร้องทะลุอกของผู้รับใช้แห่งดาบก่อนที่มันจะตั้งตัว
หลังจากผู้รับใช้แห่งดาบหายไป หยางเย่หันไปมองยังตัวสุดท้ายที่กำลังมาถึง ดาบในมือของมันกำลังแทงมาที่เขา ในชั่วพริบตาดาบแทงทะลุอกของผู้รับใช้แห่งดาบในทันที
หยางเย่ถอนหายใจโล่งอกเมื่อผู้รับใช้แห่งดาบตัวสุดท้ายหายไป เขายอมรับว่าหอคอยแห่งนี้คือสถานที่ที่ฝึกฝนอย่างดี แต่เดิมเขารู้สึกว่าวิชาดาบพื้นฐานนั้นสมบูรณ์แบบแล้ว แต่เมื่อต่อสู้มาตลอดทาง เขาสังเกตว่ามีบางอย่างที่บกพร่องอยู่ในวิชาดาบ
การค้นพบนี้ทำให้เขารู้สึกโชคดีอย่างมาก หากไม่เจอข้อบกพร่องที่นี่ และในอนาคตศัตรูของเขาทราบถึงข้อบกพร่องในการต่อสู้จริง ยิ่งหากศัตรูเป็นยอดฝีมือ เขาเองคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้แน่
หลังจากพักอยู่ชั่วครู่หนึ่ง หยางเย่มองไปที่บันได หากเป็นไปตามระดับขั้นของผู้รับใช้แห่งดาบ เช่นนั้นชั้นที่สิบคงเป็นขั้นปราณสวรรค์ที่รอเขาอยู่ แต่หยางเย่รู้สึกว่ามันยังไม่สมเหตุสมผล หากเป็นขั้นปราณสวรรค์ที่ปรากฏในชั้นสิบ เช่นนั้นผู้ที่บรรลุไปถึงชั้นยี่สิบคงต้องเก่งกล้าโดยแท้จริง
เมื่อไม่คิดสิ่งใดมากไปกว่านี้ หยางเย่เดินขึ้นถึงไปชั้นที่สิบ เขาสังเกตเห็นเพียงผู้รับใช้แห่งดาบคนเดียวในโถงนี้ เมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าหัวใจหยางเย่เต้นรัวขึ้นทันที ‘หวังว่ามันคงไม่ใช่ขั้นปราณสวรรค์นะ’
เมื่อหยางเย่เดินไปยังผู้รับใช้แห่งดาบ เขาถอนหายใจโล่งอกทันที เพราะผู้รับใช้แห่งดาบตรงหน้าไม่ใช่ขั้นปราณสวรรค์ แต่เป็นแค่ขั้นปราณมนุษย์ระดับเก้าเท่านั้น ที่แปลกไปคือรังสีที่ปรากฏออกมาดูแข็งแกร่งอย่างมาก หยางเย่รู้สึกว่ามันแข็งแกร่งกว่าสามตัวก่อนหน้านี้อีก
อย่างไรก็ตามเขายังโชคดีที่ไม่ใช่ขั้นปราณสวรรค์ ไม่งั้นมันคงยากเกินไปสำหรับหยางเย่
หยางเย่ถือดาบในมือก่อนจะก้าวตรงไป เขาเริ่มโจมตีผู้รับใช้แห่งดาบในทันที ดาบในมือของมันก็เหวี่ยงมาที่หยางเย่พร้อมกัน จากนั้นปราณดาบหิมะพุ่งไปยังหยางเย่ราวกับสายฟ้า
ปราณที่ปรากฏออกมาทำให้ท่าทีหยางเย่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มันไม่ใช่เพราะปราณที่ร้ายกาจ แต่เป็นเพราะผู้รับใช้แห่งดาบตั้งแต่ขั้นหนึ่งถึงเก้าไม่ใช้ปราณดาบมาก่อน แต่ตัวนี้กลับสามารถใช้ปราณดาบได้งั้นหรือ?
เขาไม่มีเวลามานึกคิดสิ่งใดนอกจากต้องหลบปราณดาบที่พุ่งมา จากนั้นใช้ก้าววายุพุ่งไปยังผู้รับใช้แห่งดาบ
ในอีกมิติหนึ่งภายในหอคอย เจียงหยวนรีบนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นหลังจากจัดการผู้รับใช้แห่งดาบ เขาฟื้นกำลังอยู่ประมาณครึ่งชั่วยามก่อนจะยืนขึ้นพร้อมมองไปที่บันได “ข้าคงเป็นคนแรกที่จะขึ้นไปชั้นสิบแน่!”
เมื่อกล่าวจบ เขานึกบางสิ่งก่อนหัวเราะอย่างเย็นเยือกพร้อมกล่าว “ช่างกล้าที่จะมาท้าเดิมพันกับข้า! พวกมันทั้งคู่ช่างโง่เง่าสิ้นดี!”
ทันทีที่กล่าวจบเขาเดินตรงไปยังทางบันได
เมื่อเจียงหยวนขึ้นไปยังชั้นที่สิบ สตรีชุดเขียวที่มีนามว่าชิงเสวียก็เข้าไปชั้นที่สิบเช่นกัน ส่วนหยางเย่ไปถึงชั้นที่สิบสองแล้ว