มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 53
ตอนที่ 53 ชั้นที่ยี่สิบ!
“อัจฉริยะทัดเทียมกับสตรีปีศาจได้ปรากฏในสำนักแล้ว!” ไม่มีใครทราบว่าเป็นเสียงผู้ใด แต่มันทำให้ผู้อาวุโสนอกดูตื่นเต้นอย่างมาก ผู้อาวุโสบางคนที่ไม่ได้สนใจการทดสอบนอกยังต้องรีบร้อนมายังหอคอยผู้รับใช้แห่งดาบ แม้กระทั่งศิษย์หรือผู้อาวุโสที่ตัดขาดจากโลกภายนอกเพื่อบ่มเพาะพลังยังถูกพามาดู
เวลานี้บริเวณด้านนอกหอคอยผู้รับใช้แห่งดาบคึกคักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์เมื่ออายุสิบหก! ฮึ ฮึ! เจียงหยวนที่อยู่ในหอคอยผู้รับใช้แห่งดาบ เขาสมควรที่จะถูกเรียกว่าอัจฉริยะโดดเด่นที่สุดของเมืองธารหิมะในรอบร้อยปี!”
“ถูกต้อง เขาอยู่เพียงระดับหกขั้นปราณมนุษย์เมื่อตอนอายุสิบหก แต่กลับบรรลุไปยังขั้นปราณสวรรค์แล้ว ช่างน่าอายเมื่อเทียบกันกับข้า!”
“มีผู้คนมากมายในโลกนี้ที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ สำนักดาบราชันเรามีสตรีปีศาจอยู่แล้ว ตอนนี้มีเจียงหยวนด้วย สำนักดาบราชันของข้ากำลังจะยิ่งใหญ่อีกครั้ง!”
“ทั้งยังมีศิษย์แรงงาน หยางเย่ เขาสามารถคงอยู่ในหอคอยได้นานพอที่จะพิสูจน์ความสามารถของเขาแล้ว หากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่นนั้นหยางเย่ เจียงหยวน และชิงเสวียต้องได้เข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์แน่นอน!”
“ชีวิตต่างมีช่วงที่ดีและร้าย! เมื่อเขาถูกลดขั้นเป็นศิษย์แรงงานในวันนั้น ข้าเองก็ได้หัวเราะเยาะเขาพร้อมกับศิษย์คนอื่น แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเพียงเวลาอันสั้น เขาจะสามารถแซงหน้าพวกเราทั้งหมดแล้ว!”
“ใช่ ข้าทราบเรื่องนั้นดี เมื่ออาจารย์สอนวิชาข้า และเมื่อข้าไม่ตั้งใจเท่าที่ควร ผู้อาวุโสมักจะถามข้าว่าอยากเป็นหยางเย่คนที่สองงั้นหรือ! หากเขาถามตอนนี้อีก ข้าจะบอกว่าใช่แน่นอน!”
“ฮึ! พรสวรรค์ไม่เลวแล้วอย่างไร? เทียบกับเจียงหยวนแล้วก็เป็นได้แค่ของประดับวงนอก!”
“ศิษย์น้อง คำของเจ้าส่อแววอิจฉาอยู่นะ แต่มันก็เป็นเรื่องจริง หลังจากการปรากฏตัวของสตรีปีศาจ อัจฉริยะของสำนักนอกต่างก็ไม่สามารถสร้างชื่อขึ้นได้อีก เวลานี้มีเพียงเจียงหยวนเท่านั้น ดังนั้นศิษย์น้องชิงเสวียที่กำลังบรรลุขั้นปราณสวรรค์ และศิษย์แรงงานผู้นั้นไม่อาจเปรียบกับเขาได้”
เมื่อเห็นว่าคนมากมายเริ่มทยอยกันเข้ามา เสียงรอบด้านก็เริ่มอึกทึกครึกโครมดังขึ้น เฉาหัวฝืนยิ้มพร้อมส่ายหัวในใจ ‘คนเหล่านี้ทิ้งการบ่มเพาะพลังเพื่อมาดูอัจฉริยะ’
แต่เฉาหัวก็ไม่ได้หยุดยั้งพวกเขา เพราะหากเป็นเขาที่ทราบข่าวเช่นนี้ ก็คงรีบมาดูไม่ต่างกัน
“ตาเฒ่า เมื่อไหร่ผู้ใช้แรงงานตัวจ้อยจะออกมา?” ทันใดนั้นเปาเอ๋อมองไปที่เฉาหัวพร้อมถามอย่างใจร้อน นางรอมาเป็นเวลาหลายชั่วยาม หากตาเฒ่าคนนี้ไม่ได้บอกว่าหยางเย่จะได้รับผลดีจากการเข้าไปในหอคอย นางคงเข้าไปดึงเขาออกมานานแล้ว
เมื่อมองไปที่ปีศาจน้อยตรงหน้า เฉาหัวรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย อันที่จริงเขาสงสัยอย่างมากว่าเหตุใดปีศาจน้อยตนนี้ถึงดีกับหยางเย่ ยิ่งกว่านั้นยังดูเหมือนจะเชื่อฟังหยางเย่ทุกคำ
“ตาเฒ่า ข้าถามเจ้าอยู่! ผู้ใช้แรงงานตัวจ้อยไม่เป็นอะไรแน่นะ?” เปาเอ๋อค่อนข้างกังวล
เฉาหัวรีบตอบด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน แน่นอน มันเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น ดังนั้นเขาไม่เป็นอะไรแน่นอนแม้จะตายลงในหอคอย สำหรับเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ออกมาสักที ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ข้าคาดว่าคงไม่นานนี้หรอก!”
เมื่อเฉาหัวกล่าวจบ สัญญาณจากหอคอยผู้รับใช้แห่งดาบเกิดประกาย จากนั้นร่างชายผู้หนึ่งได้ถูกส่งออกมา
“เขาออกมาแล้ว เขาออกมาแล้ว ศิษย์แรงงานออกมา…”
เมื่อได้ยินเสียงของศิษย์รอบข้าง เฉาหัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูสิ เขาออกมา…”
ทันใดนั้นเสียงของเฉาหัวหยุดไปเนื่องจากความเงียบที่ดูแปลกประหลาดจากรอบด้าน จากนั้นปีศาจน้อยมองอย่างชิงชังไปที่เขาอีกครั้ง
เฉาหัวหันไปดูตามสัญชาตญาณ เขาสังเกตว่าทุกคนรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสต่างนิ่งเงียบอย่างมากราวกับเจอผี เขาขมวดคิ้วเมื่อมองไปยังร่างที่ถูกส่งออกมา ตัวเฉาหัวแข็งทื่อเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของบุคคลนั้น
เหตุการณ์ประหลาดมากมายเกิดขึ้นนอกหอคอย เสียงอึกอึกครึกโครมก่อนหน้ากลายเป็นนิ่งเงียบอย่างเห็นได้ชัด เงียบจนกระทั่งสามารถกล่าวได้ว่ามันแปลกพิกล
เจียงหยวนส่ายหัวพร้อมเปิดตาออกในทันทีที่ได้สติคืนมา จากนั้นเขาชะงักในสิ่งเห็นไปชั่วขณะ ทุกคนที่มองดูเขาแทบจะไม่กระพริบตา มันจึงทำให้เขาตกตะลึงนัก
ในเวลาไม่นานรอยยิ้มกว้างของเจียงหยวนปรากฏขึ้น เขาคิดในใจ ‘มันต้องเพราะข้าแน่ที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง ใช่สิ ข้าอยู่ขั้นปราณสวรรค์แล้ว ทั้งยังไปถึงยังชั้นสิบห้า มันจะไม่ให้พวกเขาตกตะลึงได้ยังไง?’
เมื่อนึกได้เช่นนั้น เจียงหยวนลุกขึ้นยืนและเดินไปยังเฉาหัวพร้อมคารวะก่อนจะกล่าว “ผู้อาวุโส ข้าผ่านไปถึงชั้นสิบห้า!”
น้ำเสียงเจียงหยวนสงบอย่างมากเมื่อกล่าวคำ แต่ความหยิ่งผยองบนใบหน้ากลับเห็นได้ชัดยิ่งนัก
เมื่อได้ยินเสียงจากเจียงหยวน สติของเฉาหัวกลับคืนมาในทันที เขาไม่ตอบสิ่งใดและหันไปมองยังหอคอยผู้รับใช้ดาบ “มันเป็นได้ยังไง? มันเป็นได้ยังไงกัน?”
“ฮ่าฮ่า!!!!” ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะดังขึ้นกลบคำของเฉาหัว มันไม่ใช่เสียงของใครอื่นนอกจากผู้อาวุโสเชียน เมื่อเห็นว่าเป็นเจียงหยวนถูกส่งออกมา ใจเขานั้นได้เต้นอย่างรุนแรง เมื่อได้ยินเสียงเจียงหยวน เขาก็มั่นใจได้มากขึ้น เวลานี้ผู้อาวุโสเชียนจึงใช้เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนความตื่นเต้นในใจ
เหตุการณ์นี้ทำให้ทำทุกคนประหลาดใจอย่างมาก โดยเฉพาะบรรดาผู้อาวุโส ‘ผู้ใช้พลังปราณล้ำลึกขั้นปราณมนุษย์ระดับเก้าไปถึงชั้นที่สิบเก้า? มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?’
บางคนมีสุขกับสิ่งที่เห็น บางคนยังตกตะลึง บางคนก็สับสน และบางคนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
เวลานี้เจียงหยวนสับสนอย่างมาก เพราะเสียงและสายตาแห่งความชื่นชม ความพยายามที่จะมาประจบประแจงเขาต่างไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่คิดไว้ บรรดาผู้อาวุโสที่ไม่สนใจเขา สายตาแปลกประหลาดของศิษย์ที่มองมายังเขา
“เลิกสงสัยและเงยหน้ามองตัวเลขบนหอคอยเสีย!” ทันใดนั้นเสียงของชิงเสวียดังขึ้นขณะเดินไปยังเจียงหยวนพร้อมท่าทีไม่เป็นมิตร
กล่าวโดยแท้จริงคือนางก็ตกตะลึงเมื่อเห็นเจียงหยวนเหมือนกับผู้อื่นที่คิดว่าเจียงหยวนเป็นผู้ที่เข้าสู้ชั้นสิบเก้า บัดนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาผิดมหันต์ แต่ชิงเสวียก็สามารถยอมรับมันได้อย่างรวดเร็ว เพราะหากเปรียบกับเจียงหยวนนางเลือกที่จะยืนข้างหยางเย่มากกว่า
เจียงหยวนไม่สนใจน้ำเสียงชิงเสวียพร้อมเงยหน้าขึ้นมองหอคอย ทันทีที่เห็นตัวอักษร ‘สิบเก้า’ บนหอคอย ดวงตาเจียงหยวนเปิดกว้างทันที จากนั้นใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นตกใจ
ความกังวลโดยธรรมชาติของหลิวชิงอวี่ปรากฏขึ้นเมื่อเห็นเจียงหยวน เขาไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจแต่กลับตกใจมากกว่า เพราะไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นเจียงหยวน เขาคำนวณตลอดเวลาว่าหยางเย่อยู่ข้างในนานเท่าไหร่ ยิ่งนานวันเข้ายิ่งเหมือนทรมานเขาในทุกชั่วยาม เพราะยิ่งคงอยู่ข้างในนานเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งและความสามารถเขาก็มากขึ้นทุกครั้ง!
เวลานี้มันมันไม่ใช่การทรมานอีกต่อไปแต่กลับเป็นหายนะ!
ศิษย์นอกเทียบอันดับทุกคนต่างมองไปยังหลิวชิงอวี่ เมื่อพวกเขาเห็นหลิวชิงอวี่กำหมัดแน่น ทั้งยังอยู่ในท่าทีที่มืดครึ้ม พวกเขาทำได้เพียงส่ายหัวในใจ มันเป็นการนับถอยหลังสู่ความตายโดยแท้จริง
เรื่องนี้ทำพวกเขาเข้าใจหลักการหนึ่ง คืออย่าได้ปรามาสคู่ต่อสู้ หรือเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นหายนะกล้ำกลายเฉกเช่นหลิวชิงอวี่
เวลานี้หลิวชิงอวี่เต็มไปด้วยความเสียใจเช่นกัน หากทราบว่าหยางเย่จะเก่งกาจขึ้นได้ขนาดนี้ เขาคงไม่สนใจผู้และลงมือสังหารหยางเย่ในวันนั้นเสีย โชคร้ายที่มันสายไปแล้ว อย่าว่าแต่จะสามารถสังหารหยางเย่ได้ เพียงจะแตะต้องหยางเย่ยังแทบจะทำไม่ได้แล้ว หากกระทำเช่นนั้นบรรดาผู้อาวุโสต้องไม่ไว้ชีวิตเขาไว้แน่!
หลิวชิงอวี่ไม่อาจทนดูได้อีก เขามองไปที่หอคอยผู้รับใช้แห่งดาบอย่างสุขุมก่อนจะหันหลังจากไป เขาไม่สนใจว่าหยางเย่จะไปถึงชั้นไหน เพราะตอนนี้ต้องคิดเพียงหนทางที่จะต่อกรกับหยางเย่ เขาทราบดีว่าทั้งตระกูลหลิวและหยางเย่เป็นปรปักษ์กันมานาน หากหยางเย่สามารถเพิ่มสถานะในสำนักดาบราชันได้อีก เช่นนั้นตระกูลหลิวจะไม่อาจต่อกรใดได้อีก่!
เวลานี้เขาต้องคิดวิธีรับมือหายนะที่กำลังตามมา
หลังจากนั่งสมาธิได้หนึ่งชั่วยาม หยางเย่เปิดตาที่ปิดสนิท ประกายแห่งความเพลิดเพลินปรากฏขึ้นในดวงตา “ไม่คาดคิดว่าการต่อสู้นี้จะทำให้เราบรรลุระดับเก้าขั้นปราณมนุษย์ได้ การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายช่างเป็นประโยชน์นัก!”
ถูกต้อง จากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เขาได้บรรลุระดับเก้าขั้นปราณมนุษย์แล้ว การปรับปรุงความแข็งแกร่งที่ตนมี ได้ทำให้เขามีความมั่นใจในความสามารถที่จะต่อสู้กับระดับต่อไปของหอคอย!
หยางเย่ยืนขึ้นพร้อมเหยียดแขนขา เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินเสียงลั่นกระดูกจากร่างกาย หากเขาต่อกรกับผู้รับใช้แห่งดาบขั้นปราณสวรรค์ก่อนหน้านี้อีกครั้ง รอบนี้คงใช้เวลาไม่นานที่คว้าชัยชนะ เพราะไม่เพียงแค่ระดับขั้นการบ่มเพาะที่พัฒนา พลังทางกายภาพก็ยังพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด
หยางเย่ไม่ลังเลที่จะก้าวขึ้นไปอย่างรวดเร็วยังชั้นยี่สิบ เวลานี้เขาเต็มไปด้วยพลังใจแห่งการต่อสู้!
เมื่อมาถึงชั้นที่ยี่สิบ หยางเย่ชะงักอยู่ชั่วครู่ทันทีที่เห็นคู่ต่อสู้ตรงหน้า จากนั้นดวงตาเขาได้หรี่เล็กลงพร้อมแสดงท่าทีกดดันยิ่งกว่าตอนสู้กับผู้รับใช้แห่งดาบขั้นปราณสวรรค์!