มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1130
“เสียดายจัง……”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เส้นทางการฝึกตนของเขานั้นก็ถือว่าค่อนข้างราบรื่นเลย น้อยมากที่จะประสบพบเจอโจทย์ยากอย่างวันนี้ เดิมทีคิดว่าหลังจากที่ได้รับวิชายาชิงเสวียนแล้ว เส้นทางชีวิตของเขาจะปูไปสู่นักยาเซียน แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างเป็นแค่ภาพลวงตา
“แต่ทว่ามีฉบับไม่สมบูรณ์ของวิชายาชิงเสวียนนี้แล้ว ข้าสามารถพัฒนาวิชากลั่นยาของข้าให้สูงขึ้นอีกระดับได้ ถึงตอนนั้นถ้าเอื้อมถึงขอบของการเป็นนักยาเซียนเมื่อไหร่ อย่างมากก็แค่ใช้ศักยภาพความสามารถของตน อนุมานวิชาการกลั่นยาเซียนขึ้นมาเอง!”
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที ด้วยเหตุนี้ทำให้อารมณ์กลัดกลุ้มที่ตนฝึกตนปิดขังแล้วตระหนักใจความสำคัญของการเป็นนักยาเซียนไม่ได้ก็หายไปด้วย
“เราไปกันเถอะ!”
มังกรทองที่ยาวสามร้อยกว่าเมตรลอยอยู่กลางอากาศ และหายวับไปจากสุดขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปทิศทางของเขาปีศาจมาร
เขตพื้นที่ของโลกเสวียนเทียนกว้างใหญ่มากเกินไป จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แม้จะเป็นความเร็วในการโบยบินของจินเฟยเทียนก็ใช้เวลาไปเจ็ดแปดวันเช่นกันกว่าจะถึงเขาปีศาจมาร
มองออกไปไกล ๆ พื้นที่ส่วนมากในเขาปีศาจมารล้วนมีชี่มารลอยคลุ้งอยู่ทั่วนภา ปราณปีศาจบดบังแสงอาทิตย์ แค่ดูก็รู้แล้วว่าอันตรายอย่างมาก
จุดประสงค์ของการมาเขาปีศาจมารในครั้งนี้ของหลัวซิวมีแค่ตามหายาเซียน
เท่านั้น เขาไม่มีแผนที่จะเข้าไปส่วนลึกของเขาปีศาจมารแต่อย่างใด
“จินเฟยเทียนความเร็วของเจ้าช้าเกินไป แต่ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะติดตามข้า เช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดพลังอมตะหนึ่งให้แก่เจ้า!”
ตัวสำนึกเคลื่อนไหว หลัวซิวนำวิธีการฝึกธรรมมหาฤทธิ์เหาะเหินหนึ่งถ่ายทอดเข้าไปยังตัวหยั่งรู้ของจินเฟยเทียน
“ขอบพระคุณท่านนาย!”
จินเฟยเทียนตื่นเต้นเป็นพิเศษ มันเป็นอสูรยักษ์ที่กำเนิดมาจากที่ที่ป่าเถื่อน วิชาที่ฝึกตนก็เป็นวิชาที่ได้มาจากการตระหนักรู้ของตนเองเช่นกัน ไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับเคล็ดวิชาจำพวกพลังอมตะประเภทนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ต่อให้เป็นผู้สืบทอดลูกศิษย์ในกองกำลังใหญ่ การที่จะฝึกพลังอมตะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ เช่นกัน แต่ตนกลับได้รับการถ่ายทอดความรู้พลังอมตะ นี่จึงทำให้จินเฟยเทียนรู้สึกซึ้งในพระคุณของหลัวซิวเป็นอย่างมาก มันแอบให้คำมั่นสัญญากับตัวเองอย่างลับ ๆ ว่าจะจงรักภักดีต่อท่านนาย ติดตามท่านนายไปตราบชั่วนิจนิรันดร์
และในความเป็นจริงสาเหตุที่หลัวซิวถ่ายทอดมหาฤทธิ์เหาะเหินให้จินเฟยเทียนนั้น ที่เขาคิดคือหลังจากที่ฝึกพลังอมตะนี้สำเร็จแล้ว ความเร็วในการบินของมังกรทองตัวนี้จะเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่ามาก อนาคตจะได้ใช้มันเป็นสัตว์พาหนะของตน
เมื่อถังหยุนที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอิจฉามาก อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่ได้เอ่ยปากบอกว่าจะถ่ายทอดพลังอมตะให้แก่นาง ถึงอย่างไรจินเฟยเทียนก็ถูกเขาย้ายเข้าไปในวิญญาณต้องห้ามแล้ว แต่ถังหยุนกลับไม่ถูกทำเช่นนั้น เขายังไม่ได้เชื่อมั่นและเปิดอกปฏิบัติต่อถังหยุนด้วยน้ำใสใจจริงขนาดนั้น
“เราลงไปกันเถอะ”
คนกลุ่มหนึ่งลอยลงมาจากฟ้า ปรากฏอยู่กลางป่าไม้เขาปีศาจมาร
จินเฟยเทียนก็กลายร่างเป็นมนุษย์เช่นกัน เป็นบุรุษร่างใหญ่ที่ใส่เสื้อแขนยาวสีทอง ยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิวอย่างเคารพนอบน้อม
หลัวซิวมีประสบการณ์ด้านการเข่นฆ่าโรมรันมานาน เขาจึงทราบเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าการบินอยู่บนท้องฟ้าในที่ที่อันตรายอย่างเขาปีศาจมารมันไม่ต่างอะไรจากการเป็นเป้ายิงปืนเลย มันง่ายต่อการถูกคนอื่นจ้องมองและถูกจู่โจม
ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามที่แหลมจิ๊ดก็ดึงดูดความสนใจของหลัวซิวไป หลังจากที่แผ่ตัวสำนึกของเขาไปรอบ ๆ แล้ว พบว่ามีเงาร่างของคนหลายคนได้บินผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขากำลังพุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกันเร็วปานลมกรด
“ท่านนาย มีคนไปที่นั่นเยอะเช่นนี้ ต้องมีของดี ๆ ปรากฏแน่นอนขอรับ!”จินเฟยเทียนพูดเสียงดังทุ้ม
“เราตามไปดูกันเถอะ”
หลัวซิวย่างเท้าอยู่กลางอากาศ ทุกก้าวล้วนแฝงไปด้วยความลึกลับและมหัศจรรย์ของกฎปริภูมิ ภายนอกดูเหมือนเป็นการเดินที่ชิลสบาย แต่ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขากลับรวดเร็วมาก ๆ แม้จินเฟยเทียนและถังหยุนจะดึงศักยภาพทั้งหมดที่มีอยู่ของตัวเองออกมาแล้ว แต่พวกเขาก็แค่สามารถฝืนไล่ตามหลังเขาไปได้อย่างยากลำบาก
นี่จึงทำให้จินเฟยเทียนและถังหยุนต่างรู้สึกเคารพเลื่อมใสและตะลึงต่อศักยภาพของเขามากยิ่งขึ้น ต้องท้าวความก่อนว่าหลัวซิวในตอนนี้อยู่แค่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 1 อนาคตถ้าเขาบรรลุสู่แดนเทพมาร ต้องกลายเป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกเสวียนเทียนแน่นอน