มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1133
หลัวซิวก็เบื่อที่จะพูดมากเช่นกัน เตาเทพที่อยู่เหนือหัวลอยขึ้นจนเสียงดังเลื่อนลั่น แสงอาทิตย์สาดส่อง อัคคีเทพหมุนวนเป็นเกลียว แผดเผาไปยังทุกซอกทุกมุมภายในหุบเขา
“ฉืออ!”
ตะขาบพันขาที่ถูกมหาจักรพรรดิยุทธ์จำนวนมากรุมโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกอัคคีเทพแผดเผา ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียวลำตัวของมันก็ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ และกรีดร้องฉือ ๆ อย่างบ้าคลั่ง
เหล่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลางต่างตะลึงกลัวเป็นอย่างมาก พากันถอยหลังออกไปจากหุบเขา
“เจ้า……”
มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 ที่เย่อหยิ่งจองหอง พูดจาไม่สุภาพเกรงใจในเมื่อกี้นี้ก็ตกใจจนสะดุ้งเช่นกัน เมื่อกี้เขายังดูถูกคนดังกล่าวอยู่เลย แอบนึกในใจว่าแค่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 1 กระจอก ๆ คนหนึ่งไม่มีทางแสดงอนุภาคของอัญมณีแห่งเทพออกมาได้มากแน่นอน แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าทันทีที่ฝ่ายตรงข้ามลงมือ อนุภาคของเตาเทพถูกกระตุ้น ทำให้เขารู้สึกราวกับมีเทพมารตนหนึ่งกำลังลงมือโจมตีตัวเองอยู่ยังไงอย่างนั้น
อนุภาคของเตาเทพถูกดึงออกมาเกือบเจ็ดแปดส่วน แทบจะเทียบเท่ากับการโจมตีครั้งหนึ่งของเทพมารทั่วไป
“นี่เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ข้า……”
ยอดฝีมือมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 คนนี้รีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันเขาก็ได้กระตุ้นหอคอยเวทย์ของตัวเองอย่างสุดความสามารถเช่นกัน ราวกับอยากต้านทานอนุภาคของเตาเทพ
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่พูดอะไรสักคำ เตาเทพพุ่งชนเข้าไป เสียงกวงดังขึ้น กระแทกจนหอคอยเวทย์ของฝ่ายตรงข้ามกระเด็นลอยออกไป และมีรอยแตกร้าว
ถัดจากนั้นก็มีแสงอาทิตย์สาดส่องออกมาจากเตา ก่อนที่จะมีหมอกเลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากร่างกายของยอดฝีมือมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 คนนี้
ศพที่ไร้วิญญาณได้ร่วงตกลงบนพื้น ปะทะกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ยอดฝีมือมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 คนนี้ก็ถูกเตาเทพสังหารไปในเสี้ยววินาทีเดียว
เป็นยอดฝีมือมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 เหมือนกัน แต่ศักยภาพความสามารถของคนดังกล่าวกลับอ่อนกว่าจูเฟยเฉียวไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ จึงไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิวอยู่แล้ว
“ในเมื่อจะอาศัยบารมีอำนาจข่มเหงคนอื่น ก็ต้องดูก่อนว่าฝั่งตรงข้ามคือใคร คนส่วนมากที่ดูถูกข้า มักจะได้ตายอย่างน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้!”หลัวซิวเก็บเตาเทพกลับมาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ก่อนที่เขาจะลอยขึ้นฟ้าแล้วค่อย ๆ เดินออกไปจากหุบเขา
สายตาของเหล่าจอมยุทธ์ที่ถอยออกไปถึงรอบนอกหุบเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อมองมาทางเขา ต่างพากันบินหนีจากไป ไม่กล้าอยู่ต่อ
มีการแสดงการเข่นฆ่าโรมรันเกิดขึ้นในเขาปีศาจมารอยู่ทุกวินาที พวกเขาไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อหรอกนะ ถ้าเกิดความดุร้ายของคนดังกล่าวปะทุออกมาแล้วอยากฆ่าคน มีใครจะสามารถต้านทานเขาได้บ้าง?
เวลาหนึ่งเดือนกว่าต่อจากนี้ หลัวซิวได้ตามหาร่องรอยของยาเซียนอยู่ในเขาปีศาจมารมาโดยตลอด
ผู้ที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่บริเวณรอบนอกของเขาปีศาจมารล้วนเป็นนักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนอยู่ในมหาจักรพรรดิยุทธ์ ปริมาณยาเซียนมีไม่เยอะมากนัก หลัวซิวใช้เวลาไปหนึ่งเดือนกว่าก็ตามหายาเซียนระดับ 1 ได้แค่ 23 ต้นเท่านั้น ในส่วนของยาเซียนระดับ 2 นั้น ก็หาได้แค่ดอกสายโลหิต 1 ดอก
หากต้องการตามหายาเซียนที่มากกว่าเดิม สถานที่ที่เหมาะกับการไปมากที่สุดก็คือส่วนลึกของเขาปีศาจมาร แต่บริเวณนั้นปีศาจมารเคลื่อนไหวไปมาอยู่ ซึ่งอันตรายอย่างมาก ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเทพมาร ก็จะไม่ยอมเข้าไปตามหาสมบัติที่นั่นง่าย ๆ
หลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าแม้ตัวเองจะดึงกำลังรบทั้งหมดออกมา มากสุดก็แค่สามารถเทียบทัดกับเทพมารขั้นปฐมภูมิ หากได้พบเจอกับเทพมารช่วงกลาง ก็คงทำได้แค่ใช้ความเร็วของปีกเทพดาราไร้มลทินหลบหนี เพราะฉะนั้นตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงในส่วนลึกของเขาปีศาจมาร
“หากมีร่างแยกกฎชีวิตอยู่ด้วยละก็ อาศัยการรวมสองขั้วเป็นหนึ่งบวกกับเกราะเทพเวหากาล กำลังรบของข้าสามารถเทียบทัดกับเทพมารขั้นสูงได้ การจะบุกเข้าไปในส่วนลึกของเขาปีศาจมารจึงทำได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก”
เกราะเทพเวหากาลเป็นสมบัติแห่งเทพฟ้าที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มาก มองในมุมทั้งโลกเสวียนเทียน คาดว่าคงไม่มีสมบัติชิ้นใดที่สามารถเทียบเคียงกับมันได้ เพราะฉะนั้นหากไม่ใช่อยู่ในสถานการณ์ที่จนตรอก หลัวซิวจะไม่มีทางเปิดเผยการมีอยู่ของเกราะเทพชุดนี้แน่นอน
อีกทั้งชื่อเสียงของเทพสงครามเอกภพได้โด่งดังไปทั่วโลก ถ้าเกิดถูกผู้แข็งแกร่งสักคนจำประวัติความเป็นมาของเกราะเทพเวหากาลได้ ถึงตอนนั้นต้องเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่สำหรับเขาแน่นอน
“ปัจจุบันเมื่อนับรวมยาเซียนติดตัวของข้าด้วย ก็มีหลายสิบต้นแล้ว น่าจะมีมากพอสำหรับการทำให้ข้าเลื่อนขั้นไปเป็นนักยาเซียนได้แล้วล่ะ”