มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1140
“มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 8 สังหารเทพมารอสูร?”หลัวซิวหยีตาลง มีรังสีแห่งความเคร่งขรึมปรากฏบนใบหน้าเล็กน้อย
ความหมายโดยรวมของการตีเสมอและสังหารมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย ต่อให้เป็นศักยภาพความสามารถของหลัวซิวในตอนนี้ ก็คงมีเพียงใช้ไพ่เด็ดใบสุดท้ายของตนถึงจะสามารถสังหารเทพมารอสูรทั่วไปได้ ซึ่งอย่างนี้ก็หมายความว่าศักยภาพของหลิงเฟิงผู้นี้ไม่ได้ด้อยกว่าเขาเท่าไหร่
“ในบรรดาศิษย์สนิททั้งหมดของเจ้าศักดิ์สิทธิ์ หลิงเฟิงถูกยกย่องให้เป็นยอดฝีมืออันดับ 1…..”
ระยะเวลาที่ถังหยุนเข้าร่วมสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินยังไม่นานนัก แม้จะเป็นแค่ศิษย์นอกสำนักคนหนึ่ง สำหรับยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างหลิงเฟิง นางต้องได้ยินชื่อเสียงของเขามาอย่างดังก้องหูเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
สีหน้าหลัวซิวดูแข็งทื่อลงไปเล็กน้อย เขาไม่อยากเปิดเผยศักยภาพความสามารถของตนเองมากนัก เนื่องจากการที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 คนหนึ่งมีศักยภาพเทียบเท่ากับเทพมารนั้น เป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถยอมรับได้อยู่ แต่ถ้าหากเขาที่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 แล้วมีศักยภาพระดับนี้ หรือแข็งแกร่งกว่า เช่นนั้นเขาต้องตกเป็นที่สงสัยของผู้คนแน่นอน
ไม่แน่เขาอาจจะถูกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน ผู้แข็งแกร่งแดนเทพฟ้าขั้นสูงท่านนั้นเพ่งเล็งอีกด้วย หากฝ่ายตรงข้ามจะถามเจาะลึกความลับที่อยู่บนตัวตนเองละก็ เขาไม่มีทางต้านทานได้แน่นอน
ตอนนั้นหญิงชุดกระโปรงฟ้าที่ถูกหลัวซิวใช้กระบวนท่าตราเปิดฟ้าโจมตีจนจนกระเด็นออกไปคนนั้นเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสซุ๋นซินเหลียน
ส่วนหลิงเฟิงที่อยู่ตรงหน้านี้ก็เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสหวู่หยา ผู้อาวุโสหวู่หยานั่นคือซุ๋นหวู่หยา เป็นท่านพี่ใหญ่ของซุ๋นซินเหลียน
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ทราบประวัติความเป็นมาของหลิงเฟิง หลัวซิวก็ทราบแล้วว่าคนดังกล่าวมาออกหน้าแทนหญิงชุดกระโปรงฟ้าผู้นั้น
ตัวสำนึกของหลิงเฟิงได้กวาดไปบนตัวหลัวซิวอย่างอุกอาจ เขาแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “เมื่อครึ่งปีก่อนข้ากำลังฝึกตนปิดขัง หลังจากที่ฝึกตนออกมาถึงจะทราบว่าศิษย์น้องเสี่ยวหลินถูกเจ้ารังแก ผลการฝึกตนของเจ้าก็อยู่แค่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 กระจอก ๆ แต่กลับสามารถเอาชนะศิษย์น้องเสี่ยวหลินได้ เห็นได้เลยว่าเจ้าก็เป็นผู้ที่มีสติปัญญาพรั่งพรูเช่นกันนี่”
สายตาของหลิงเฟิงยโสโอหังมาก ๆ ดูเผด็จการและไม่เก็บผู้ใดไปไว้ในสายตา เขาพูดด้วยเสียงที่ก้องกังวาน: “ข้าหลิงเฟิงก็ไม่ใช่ผู้ที่อาศัยผลฝึกตนและแดนที่สูงกว่ามารังแกเจ้าหรอกนะ ข้าจะประลองกับเจ้าด้วยผลการฝึกตนและแดนที่เทียบเท่ากับเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แววตาหลัวซิวก็เป็นประกายขึ้นมา พลางแอบนึกดีใจ เมื่อกี้ตนยังกลัดกลุ้มใจอยู่เลยว่าหากประลองกับเขา จะทำให้ศักยภาพที่แท้จริงของตนถูกเปิดเผยไหม คิดไม่ถึงเลยว่าฝ่ายตรงข้ามจะเสนอประลองกับเขาด้วยผลการฝึกตนและแดนในระดับเดียวกัน หากเป็นเช่นนั้นแล้วยังมีอะไรต้องพะวงอีก?
หลิงเฟิงไม่รู้เรื่องทั้งหมดมีแต่อย่างใด เขายังคงพูดเองเออเองอยู่ว่า: “หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องไปก้มกราบขอโทษศิษย์น้องเสี่ยวหลิน”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลิงเฟิงก็ได้ก้าวเท้ายาวขึ้นมา ใช้เคล็ดวิชาผนึกผลการฝึกตน กดอัดลงมาถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 แม้จะทำเช่นนี้แล้ว แต่พลังออร่าของเขาก็ยังคงดูแข็งแกร่งยิ่งใหญ่อยู่เช่นเคย ทำให้ถังหยุนและจินเฟยเทียนต่างสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่สั่นผวาและกดดัน
“แล้วถ้าเกิดข้าเป็นฝ่ายชนะล่ะ?”หลัวซิวยิ้มพลางถาม
หลิงเฟิงกลับหัวเราะฮ่าฮ่าเมื่อได้ยินเช่นนี้ ราวกับได้ฟังมุกตลกที่น่าขำที่สุดในโลก ทำเสียงหึอย่างเย็นชาแล้วพูด: “เจ้าไม่มีทางชนะหรอก!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็เบื่อที่จะเปลืองน้ำลายกับหลัวซิว ขยับร่างกาย ฝ่ามือหนึ่งก็ได้ร่วงลงมาจากฟ้า มีร่อยรอยกฎเรียงไหลเวียนอยู่รอบนิ้ว สยบทุกสรรพสิ่งไว้ในฝ่ามือ
เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่คือวิชาตราประทับระดับพลังอมตะวิชาหนึ่ง พึ่งอำนาจและอิทธิพลเล่นกลอุบาย สยบคู่ต่อสู้ อนุภาคมหาศาล
ดั่งคำกล่าวที่ว่าภายใต้ชื่อเสียงที่โด่งดัง ไร้ซึ่งคนไม่แน่จริง ในบรรดาลูกศิษย์ที่นับไม่ถ้วนในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน การที่หลิงเฟิงผู้นี้สามารถแสดงความสามารถออกมาได้เต็มร้อยนั้น ต้องเป็นเพราะเขาเคยเข่นฆ่าต่อสู้มาเป็นเวลานานแน่นอน ใช้วิชาตราประทับระดับพลังอมตะออกมาได้โดยที่ผลการฝึกตนอยู่แค่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 อนุภาคที่ปล่อยออกมาเพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายคนหนึ่งหวาดหวั่นพรั่นพรึงได้เลย
“มังกรกระบี่!”
หลัวซิวชี้ไปบนอากาศที่ว่างเปล่า กฎความตายและกฎปริภูมิทั้งสองซัดสาดออกมา กลายเป็นมังกรดำที่โกรธเกรี้ยว ทำให้สูญญากาศแตกเป็นชิ้น ๆ เคลื่อนไหวและเปลี่ยนทิศไปมา ทำให้วิชาตราประทับนี้ของหลิงเฟิงแตกสลาย
“โครมม!”
ชั่วพริบตาเดียว เงาร่างของทั้งสองต่างพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ปล่อยพลังวิชายิ่งเลิศต่าง ๆ ออกมาได้ในทันที โจมตีจนเกิดเป็นพลังอมตะบ้างเป็นครั้งคราว คลื่นพลังที่แผ่กระจายออกมาเหมือนดั่งคลื่นใหญ่ที่ซัดเข้าฝั่ง อำไพโชติช่วงเป็นอย่างมาก