มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1148
และตอนนี้จางเสี่ยวหลินก็คือหนึ่งในจำนวนคนที่มีน้อยถึงมากที่สุด มีการฝึกพลังอมตะสองพลัง ปัจจุบันนางได้รับบัญชาอมตะเพิ่มมาอีกหนึ่งชิ้น อีกไม่นานนางต้องฝึกพลังอมตะที่ 3 สำเร็จแน่นอน และศักยภาพก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก!
“ข้ารู้ว่าเจ้าชื่อหลัวซิว เจ้าคอยดูเลยนะ รอข้าฝึกพลังอมตะที่ 3 สำเร็จเมื่อไหร่ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของคุณหนูข้าเอง!”
จางเสี่ยวหลินเก็บบัญชาอมตะ กัดฟันแน่นแล้วทิ้งคำขู่ไว้ให้หลัวซิว ก่อนที่นางจะลอยขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว และหายไปจากขอบฟ้า
หลัวซิวเบ้ปาก สิ่งของที่เป็นดั่งของล้ำค่าในสายตาคนอื่น แต่มันกลับไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงสำหรับเขา
จางเสี่ยวหลินคิดเองเออเองว่าหากฝึกพลังอมตะที่ 3 สำเร็จศักยภาพของตนก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่หารู้ไม่ว่าพลังอมตะที่หลัวซิวยึดกุม ไม่ว่าจะเป็นจำนวน อนุภาพหรือระดับ ล้วนอยู่เหนือกว่านางไม่รู้ตั้งกี่เท่า
ย้อนกลับไปที่ถ้ำบนเขาสุดหล้า หลัวซิวนำสมบัติทั้งหมดที่แลกมาได้โดยการขายบัญชาอมตะออกมา แสงและรังสีที่แวววาวจับตาส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องลับภายในพริบตา
“ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจางเสี่ยวหลินนั่นเป็นเศรษฐีนีจริง ๆ”
หลัวซิวแอบรู้สึกตะลึง แม้ระดับบุคลิกของจางเสี่ยวหลินนั่นจะต่ำมาก ๆ แต่ทว่าสมบัติทั้งหมดที่นางเอาออกมา พอจะเห็นได้เลยว่านางมีทรัพย์สินเยอะกว่าหลัวซิวจริง ๆ
แต่ทว่าการซื้อบัญชาอมตะในครั้งนี้ของจางเสี่ยวหลิน ก็ทำให้นางแทบจะใช้ทรัพย์สินทั้งหมดของตนจนหมดเกลี้ยงแล้วเช่นกัน เพราะสำหรับนางแล้ว แม้สรรพทิพย์และสมุนไพรเพิ่มพลังเหล่านี้จะล้ำค่ามาก ๆ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบัญชาอมตะ นางให้ความสำคัญกับผลการฝึกพลังอมตะที่ 3 มากกว่าว่าจะทำสำเร็จหรือไม่
เขาหยิบไฟทิพย์ออกมาก่อนสองดวง วางลงกลางฝ่ามือ มีแสงเขียวสลัว ๆ เป็นประกายอยู่บนหนึ่งในไฟทิพย์ ซึ่งมีนามว่าอัคคีทิพย์ยู่ชิง
ส่วนไฟทิพย์อีกดวงหนึ่งนั้นกลับมืดมนดั่งหมึก และมีนามว่าอัคคีทิพย์ผีทมิฬ
เมื่อมีไฟทิพย์สองดวงนี้ หลัวซิวก็สามารถฝึกพลังอมตะภูตอัคคีร้อยแปรบรรลุถึงแดนแปรที่หกได้แล้ว ฝึกจนกลายเป็นอัคคีเทพชิงเทียน!
“หลังจากที่ฝึกอัคคีเทพชิงเทียนสำเร็จแล้ว หมื่นจักรวาลไร้รูปของข้าก็จักสามารถยึดพลังอมตะภูตอัคคีร้อยแปรเป็นรากฐาน แล้วปรับปรุงพลังอมตะธาตุไฟให้สมบูรณ์!”
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวจึงไม่ล่าช้า เริ่มกลั่นแปรไฟทิพย์สองประเภทนี้ในทันที
หลังจากผ่านไปหลายวัน อัคคีเทพสีเขียวที่วนเป็นเกลียวอยู่รอบกายเขา ทำให้อากาศบริเวณรอบ ๆ ถูกแผดเผาจนรูปร่างเปลี่ยนแปลงไป พลานุภาพของอัคคีเทพเช่นนี้ เพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งเทพมารหวาดหลัวและถดถอยกลับไปได้เลย
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น หากใช้หมื่นจักรวาลไร้รูปผสมกับอัคคีเทพชิงเทียนแล้วแสดงพลังอมตะธาตุไฟ พลานุภาพก็สามารถเทียบทัดกับการโจมตีของผู้แข็งแกร่งเทพมารเช่นกัน
ถัดจากนั้นหลัวซิวก็ได้กลั่นแปรภูตสายฟ้าทั้งสองดวงและภูตพระพายอีกหนึ่งดวง ขายบัญชาอมตะและได้รับภูตสายฟ้ามาหนึ่งดวง ในส่วนของภูตสายฟ้าอีกหนึ่งดวงนั้น เป็นดวงที่เขาได้รับมาจากโลกแสงดาวเมื่อคราวก่อน
นอกจากจิตฟ้าดินสามดวงนี้แล้ว หลัวซิวยังแลกยาเซียนและสมุนไพรเพิ่มพลังที่อัดแน่นไปด้วยพละกำลังมหาศาลมาได้จำนวนมากด้วย
สามารถนำยาเซียนมากลั่นเป็นยาเซียน ซึ่งสามารถยกระดับผลการฝึกตนและร่างยุทธ์ร่างเนื้อ ส่วนสมุนไพรเพิ่มพลังที่อัดแน่นไปด้วยพละกำลังนั้น สามารถนำมันมาฝึกวิชาบรรพเทพโลหิต เพื่อยกระดับพลังสายเลือด
หลังจากที่จัดวางค่ายกลหลายชั้นอยู่รอบห้องลับเสร็จเรียบร้อย หลัวซิวก็ได้ปลดผนึกโลกาศุภร เริ่มฝึกตนปิดขัง
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน เขาก็เดินออกมาจากถ้ำ แววตาทั้งสองข้างอิ่มเอิบมีชีวิตชีวามาก
“คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะประเมินค่าวิชาบรรพเทพโลหิตนี้ต่ำไป ในขณะที่พลังสายเลือดได้รับการยกระดับนั้น ไม่เพียงเพิ่มศักยภาพของตัวนักยุทธ์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้ร่างเนื้อแข็งแกร่งขึ้นได้อีกด้วยอย่างนั้นหรือ?”
การฝึกตนปิดขังในครั้งนี้กลั่นแปรสมุนไพรเพิ่มพลังไปไม่น้อย หลัวซิวฝึกวิชาบรรพเทพโลหิตขั้น 1 สำเร็จโดยตรง ผนึกรวมพลังและเลือดของเทพมารได้
เดิมทีเขาคิดว่าการยกระดับพลังสายเลือดแค่สามารถทำให้ศักยภาพของตัวนักยุทธ์เพิ่มขึ้น ทำให้ตัวนักยุทธ์มีโอกาสที่จะพัฒนาขึ้นไปอีกก้าวได้
แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาก็บรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 8 ด้วยอย่างนั้นหรือ พูดได้เลยว่าเป็นผลสำเร็จที่คาดไม่ถึงจริง ๆ